คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2264 ยอดน้ำแข็ง ตอนที่ 2264 ยอดน้ำแข็ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2264 ยอดน้ำแข็ง ตอนที่ 2264 ยอดน้ำแข็ง
“แมงมุมซิวหลัวนั้น ข้าเคยได้ยินผู้ที่แข็งแกร่งท่านหนึ่งพูดถึงเล็กน้อย ตอนที่มันยังเป็นตัวเพิ่งเกิดในแดนซิวหลัว ก็มีพลังน่าสะพรึงกลัวในระดับก่อกำเนิด เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตขึ้น อิทธิฤทธิ์ของมันก็เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตไม่หยุด ตอนที่พวกมันโตเต็มวัย พลังของมันก็ใกล้เคียงกับระดับมหายาน แมงมุมซิวหลัวบางตัวที่มีพรสวรรค์มาก อาจกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังมากผิดปกติเทียบเท่าได้กับวิญญาณที่แท้จริง แมงมุมตัวที่ท่านนักพรตพูดว่าจะสามารถหลอมไหมแห่งการเวลาได้ อย่างน้อยร่างกายก็ต้องโตเต็มวัยแล้ว!” มั่วเจี่ยนหลีพูดออกมาอย่างช้าๆ
“น้องมั่วเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดจากแดนซิวหลัวนี้เป็นพิเศษ เปิ่นหวางจะไม่ปิดบังพวกท่านทุกคน เป็นเรื่องจริงที่มีเพียงแค่แมงมุมซิวหลัวที่โตเต็มวัยแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างไหมแห่งกาลเวลาได้ อีกทั้งโดยพื้นฐานแล้วมีเพียงแมงมุมแค่สามตัวเท่านั้นที่สามารถสกัดเส้นใยไหมแห่งกาลเวลาออกมาได้ แน่นอนว่าหากพบเจอแมงมุมพี่มีพลังแข็งแกร่งอย่างที่พี่มั่วพูดถึง แกนผลึกแค่อันเดียวก็เพียงพอแล้ว “ หลิงอ๋องที่บนใบหน้ามีความประหลาดใจตอบออกมา
มั่วเจี่ยนหลีหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น แล้วไม่ถามอะไรออกมาอีก
เซวี่ยหรานและเฮยหลินได้ยินดังนี้ ใบหน้ามืดครึ้มลงหลายส่วน
ผ่านไปสักพัก เซวี่ยหรานจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แดนเสี่ยวซิวหลัวนั้นอันตรายมากโดยเนื้อแท้ แมงมุมที่โตเต็มวัยก็มีอิทธิฤทธิ์ประหลาดที่สามารถควบคุมเวลาได้ แม้พลังจะนับได้ว่าไม่ได้อยู่ในระดับมหายาน เกรงว่าก็จะมิต่างกับระดับมหายานทั่วไป หากต้องการหลอมไหมแห่งกาลเวลา พวกเราต้องฆ่าแมงมุมสามตัวขึ้นไปต่อหนึ่งคนจึงจะสามารถทำได้ พี่มั่วคงไม่รู้ตัว เพียงเพื่อยันต์เหลยเซียวผืนเดียว พวกเราต้องเสี่ยงชีวิตอย่างมากเพื่อการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลกระมัง”
“ข้าไม่คิดว่ามันไม่ได้ไม่เหมาะสมอันใด นอกจากยันต์เหลยเซียวแล้ว ข้ายังนำหัวใจแห่งซิวหลัวออกมาอีกสองก้อนด้วย ดูจากมูลค่าของพวกมันแล้ว มูลค่าคงน้อยกว่ายันต์เหลยเซียวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ แดนเสี่ยวซิวหลัวก็มีชื่อเสียงในด้านทรัพยาการหายากมากมายจากเมื่อหลายพันปีก่อน หากพวกเจ้าเข้าไปแล้วไม่เจอแมงมุมซิวหลัว สมบัติอื่นๆ ที่ได้เจอก็คุ้มค่ามากแล้ว สิ่งของพวกนี้ พวกเจ้าสามารถเก็บมันไว้ได้ เปิ่นหวางจะไม่ขอแบ่งมาสักนิดเลย!” ชายชราในชุดขาวตอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“นี่มันไม่เหมือนกัน! หัวใจแห่งซิวหลัวตัวมันเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่แดนเสี่ยวซิวหลัว ไม่ว่าพี่หลิงจะหาใครมาช่วย ก็ล้วนแต่ต้องเริ่มนำออกมา จะเรียกว่าเป็นหนึ่งในของตอบแทนได้อย่างไร นอกจากนี้ หลังจากที่หัวใจแห่งซิวหลัวจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ทำให้พวกเราอยู่ในแดนนั้นได้เพียงไม่เกินสิบกว่าวันโดยประมาณ แล้วยังต้องจดจ่อกับการตามหาแมงมุมซิวหลัวอีก แล้วจะเอาเวลาไหนไปหาสมบัติอื่นกัน? เหอะๆ ทำไมพี่หลิงถึงใช้คำเท็จเหล่านี้มาล่อลวงพวกเรา นอกจากนี้แม้ว่าพวกเราจะโชคดีในโลกวิญญาณ พบเจอสมบัติที่ไม่เลว จะเทียบกับความเสี่ยงที่พวกเราต้องพบเจอได้อย่างไร เทียบกับพลังยุทธ์ของพวกเราตอนนี้แล้ว ความปลอดภัยของพวกเราล้วนสำคัญที่สุด พวกเราสองพี่น้องมาที่นี่ด้วยเพราะต้องการยันต์เหลยเซียว ไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงความตายจากทัณฑ์สวรรค์ในอนาคตหรอกเหรอ” เซวี่ยหรานหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ
ดวงตาของมั่วเจี่ยนหลีกะพริบติดต่อกันสองสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาก็เห็นด้วยกับคำพูดของเซวี่ยหราน
หานลี่และเฮยหลิน คนหนึ่งแสดงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม อีกคนเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
ชายชราในชุดขาวได้ยินคำพูดนี้ คิ้วขมวดเล็กน้อย หลังกวาดสายตามองหานลี่และคนอื่นๆ จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นักพรตทั้งสี่ท่าน ในเมื่อคิดว่าข้อตกลงเช่นนี้ไม่เป็นธรรม ถ้างั้นเช่นนี้เถอะ ขอเพียงแค่พวกเจ้านำไหมแห่งกาลเวลากลับมาจากแดนเสี่ยวซิวหลัวได้ นอกจากยันต์เหลยเซียวแล้ว สมบัติของข้าที่อยู่ในรายการสมบัติเมื่อครู่ พวกเจ้าสามารถเลือกได้เพิ่มอีกสามอย่าง นี่เป็นเงื่อนไขสุดท้ายของข้าแล้ว หากท่านทั้งหลายยังไม่พอใจ เช่นนั้นก็แยกย้ายกันกลับไปเถอะ ผู้เฒ่ายอมที่จะหาคนอื่นมาช่วยเรื่องนี้แทน”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ใบหน้าของชายชราพลันเคร่งขรึมลง
“เลือกได้อีกสามชิ้น! ดี…เช่นนี้ก็ตกลง ค่ายกลที่จะพาเข้าไปยังแดนเสี่ยวซิวหลัวนั้น พี่หลิงเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเราไม่อยากรออยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” เซวี่ยหรานได้ยินข้อเสนอนั้น บนใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มดีใจ ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
“นักพรตเซวี่ยวางใจเถิด ค่ายกลส่งตัวเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว อีกทั้งยังตั้งอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี่แหละ เพียงแค่ท่านพร้อมที่จะออกเดินทาง ครู่หนึ่งก็สามารถส่งท่านไปยังแดนเสี่ยวซิวหลัวนั้นได้ น้องมั่ว นักพรตหาน พวกท่านตัดสินใจอย่างไร” บนใบหน้าของชายชราก็ปรากฏรอยยิ้มด้วยเช่นกัน พูดออกมาหลังจากเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว
หลังจากสีหน้าของมั่วเจี่ยนหลีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง เขาก็กัดฟันตอบมา
“ข้าต้องนำยันต์เหลยเซียวมาให้ได้ แล้วก็ยอมที่จะลองเข้าไปในแดนเสี่ยวซิวหลัวด้วย”
“ในเมื่อพี่มั่วก็ยอมที่จะไปยังแดนเสี่ยวซิวหลัว แน่นอนว่าข้าย่อมต้องไปด้วยเช่นกัน เพียงแต่ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง ตำแหน่งหลังจากที่กลับมาจากแดนเสี่ยวซิวหลัว ข้าน้อยต้องการกำหนดเอง เรื่องนี้น่าจะไม่เปลืองพลังของพี่หลิงกระมัง” หานลี่ลูบคางไปมา พูดออกมาอย่างสบายๆ
“นักพรตหาน นี่หมายความว่าเยี่ยงไร เจ้าไม่ไว้ใจเปิ่นหวางงั้นรึ” สายตาของชายชราจ้องไปยังหานลี่อย่างไม่มีความสุขเล็กน้อย
“ไม่มีอันใด ข้าน้อยเพียงแค่เคยชินกับการควบคุมสิ่งที่ไม่รู้ด้วยมือของตนเอง และยังหวังว่าท่านนักพรตจะสามารถให้กันได้ ข้าน้อยมีความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับค่ายกลส่งตัวนี้ การใช้อาวุธอาคมเปลี่ยนจุดส่งกลับเล็กน้อยคงมิใช่เรื่องหนักหนาอันใด” หานลี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า
“คำพูดของนักพรตหาน สอดคล้องกับความคิดลึกๆ ของข้าเช่นกัน ข้ามีความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับค่ายกลในส่วนนี้เช่นกัน จุดส่งตัวกลับก็ให้ตัวเองเป็นคนกำหนดเถิด หากพี่หลิงไม่รับปากละก็ ข้าน้อยคงมีข้อกังขาเกี่ยวกับความจริงใจของท่านเสียแล้ว” เซวี่ยหรานได้ยินคำพูดของหานลี่ก็หัวเราะออกมา แล้วพูดกับชายชราด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะ
“ทุกท่านคิดมากเกินไปแล้ว ในเมื่อทุกท่านล้วนมีความคิดเช่นนี้ เช่นนั้นจุดส่งตัวกลับให้พวกท่านเป็นคนกำหนดเองแล้วกัน ทางที่ดีขอเพียงแค่อย่าอยู่นอกเผ่าวิญญาณของพวกเรา มิเช่นนั้นถ้าเกิดพวกท่านกลับมาช้าไป ผู้เฒ่าอาจเข้าใจผิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน แล้วทำลายยันต์เหลยเซียวทิ้งเสีย พวกเจ้าคงเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ว่ายันต์พวกนี้เหมือนเป็นสิ่งที่เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก หากมีคนรู้ว่าผู้เฒ่ามีพวกมันอยู่ในมือ ไม่แน่ว่ามีนักพรตมากมายที่จะขึ้นมายังที่แห่งนี้ ไม่สามารถเก็บพวกมันไว้ในครอบครองได้นานเกินไป” แววตาของชายชราในชุดขาวเป็นประกาย และเขาก็เห็นด้วยโดยไม่ต้องยืนกรานอันใดมาก
“ฮ่าๆ พี่หลิงวางใจเถิด ด้วยพลังของชีพจรโลหิตของพวกเราพี่น้อง โอกาสที่จะพบเจอแมงมุมซิวหลัวมีมากถึงเจ็ดแปดส่วน หลังจากเวลาเพียงสิบกว่าวัน ทั้งท่านและข้าจะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ” เซวี่ยหรานแสดงสีหน้าพอใจออกมา พลางตอบด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น
“หลังจากที่ข้าและนักพรตหานเข้าไปยังแดนเสี่ยวซิวหลัวแล้ว พวกเราก็จะทำอย่างสุดความสามารถเช่นกัน” มั่วเจี่ยนหลีตอบพลางถอนหายใจออกมาเบา
“ดีมาก ในเมื่อทั้งสี่ท่านไม่มีปัญหาแล้ว เช่นนั้นพักที่นี่สักคืนหนึ่ง เตรียมพร้อมให้ดี ตอนเช้าพรุ่งนี้ ข้าจะส่งพวกท่านทั้งสี่เข้าไปยังแดนเสี่ยวซิวหลัวนั้น” ชายชราในชุดขาวกลับมาสงบดังเดิม จากนั้นปรบมือ “แปะๆ” สองสามครั้ง
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก หญิงสาวอายุน้อยหลายคนในชุดเครื่องแบบในวังเดินออกมาจากด้านใน หลังจากโค้งคำนับต่อหานลี่และคนอื่นๆ ก็ยืนอยู่สองข้างด้วยความเคารพ
เซวี่ยหรานพยักหน้า ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเฮยหลิน เดินตามหญิงสาวสองคนออกไปทางประตู
ในชั่วพริบตา เงาร่างของทั้งสองคนก็หายไปจากห้องโถงใหญ่แล้ว
เวลานี้ มั่วเจี่ยนหลีจึงกำหมัดคารวะไปทางชายชราชุดขาว ทักทายหานลี่เล็กน้อยก่อนที่จะไปพักผ่อนเช่นกัน
หลังจากหานลี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาไม่ได้ออกไปในทันที กลับยิ้มให้ชายชราในชุดขาวแล้วพูดว่า
“ในใจของข้าน้อยตอนนี้มีเรื่องที่ไม่เข้าใจบางเรื่องจึงอยากถามท่านนักพรต แต่มิรู้ควรถามดีหรือไม่”
“โอ้ หากท่านมีคำถามอยากถามก็ถามได้เลย” ชายชราประหลาดใจเล็กน้อย แต่พูดออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ข้าน้อยได้ยินข่าวลือบางอย่างมาจากโลกภายนอกว่าราชาวิญญาณเป็นคนเดียวกันนับตั้งแต่เผ่าวิญญาณสร้างตัวในแดนวิญญาณ หากแต่มิทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ อายุขัยที่แท้จริงของพี่หลิงคือเท่าไหร่” หานลี่ถามคำถามหนึ่งออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ทำให้มั่วเจี่ยนหลีที่อยู่ข้างกายตะลึงไปคู่หนึ่ง
“ฮ่าๆ ข่าวลือพวกนี้เปิ่นหวางก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน แต่ย่อมเป็นเรื่องไร้แก่นสาร เผ่าผู้หญิงนี่มีมานานหลายล้านปีแล้ว แม้ว่าทัณฑ์สวรรค์ของพวกเราเผ่าวิญญาณระยะเวลาจะห่างกว่าเผ่าอื่นทั่วไป แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้ อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์ของเผ่าพวกเรามีราชาวิญญาณที่มีระยะเวลาในการปกครองนาน อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ จึงทำให้ข่าวลือนี้แพร่กระจายโดยคนต่างเผ่านิรนามที่ไม่ได้รู้แจ้งถึงความจริง” ชายชราในชุดขาวหัวเราะออกมาเบาๆ และอธิบายเพิ่มสองสามประโยค
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าแดนวิญญาณไม่ใช่แดนเซียนที่แท้จริง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีผู้ที่อายุยืนมากกว่าล้านปี” หานลี่ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาและมั่วเจี่ยนหลีก็เดินออกไปทางประตูอีกบานภายใต้การนำทางของหญิงสาวเผ่าวิญญาณอีกสองคน
หลังจากที่เงาของทั้งสองคนหายไปจากประตู ชายชราที่คอยมองแผ่นหลังของทั้งสองคนอยู่ตลอด รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าพลันเลือนหาย
“เหอะๆ แดนเซียนที่แท้จริง! หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้สังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง แต่แน่นอนว่าคนที่ถามคำถามเช่นนี้ต่อหน้าเปิ่นหวางโดยตรงไม่ได้มีแค่คนสองคน” ชายชราพึมพำบางอย่างออกมาโดยแทบจะไม่ได้ยินสองสามประโยค
จากนั้นชายชราในชุดขาวพลันทำท่าบางอย่างด้วยมือข้างเดียว หลังจากแสงสีขาวสว่างวาบ ร่างทั้งร่างของคนที่เคยยืนอยู่พลันหายไป
เวลาผ่านไปสักพัก ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาฟู่หลิงลูกนี้ ในห้วงความว่างเปล่าสีดำมืด ลำแสงสีขาวคล้ายน้ำนมพลันสว่างขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า ร่างของชายชราชุดขาวก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ
หลังจากที่หานลี่กวาดตามองความว่างเปล่าสีดำสนิทรอบตัว เขาก็ขมวดคิ้ว แต่ทันทีที่กระตุกแขนเสื้อขึ้นไปบนฟ้า
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มลูกบอลแสงหลายสิบลูกบินออกมา หลังจากหมุนวนราวกับกำลังเต้นรำอยู่พักหนึ่ง ก็ไปแขวนอยู่บนท้องฟ้า
จากนั้นชายชราทำท่าทางด้วยมือข้างเดียว ฉับพลันลูกบอลแสงก็สว่างพร่างพราว พื้นที่ทั้งหมดที่สว่างไสวอย่างชัดเจนผิดปกติ
ในพื้นที่ที่ห่างจากชายชราไม่เกินสามสี่ชุ่น ทันใดนั้นก็มียอดเขาน้ำแข็งใสราวกับผลึกแก้วที่สูงกว่าหนึ่งพันจั้ง มีแสงสีน้ำเงินส่องประกายเป็นเส้นๆ อยู่บนพื้นผิว และถูกปกคลุมครึ่งภูเขาด้วยอักษรรูนสีทองขนาดใหญ่
เมื่อมองผ่านน้ำแข็งโปร่งใสไปยังส่วนล่างของยอดเขาน้ำแข็ง จะเห็นชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีทองหมดสติและทั่วทั้งร่างถูกพันธนาการด้วยโซ่อาคมเส้นหนึ่ง
บนคิ้วของเขามีลวดลายสีทองที่เหมือนกันกับอักษรรูนบนกำแพงน้ำแข็งทุกประการ
ชายชราชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ก้าวไปข้าวหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เอื้อมแขนออกไปแล้วกดฝ่ามือลงบนกำแพงน้ำแข็งตรงหน้า
แสงสีขาวเป็นเส้นๆ ไหลทะลักออกจากกลางฝ่ามือเขาเข้าไปยังกำแพงน้ำแข็ง