คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2343 ปรากฏขึ้นมาบนโลก
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2343 ปรากฏขึ้นมาบนโลก
“เรื่องนี้…ในตอนต้นความทรงจำของข้ายังไม่ได้ถูกปลดผนึกออกมาทั้งหมด จึงได้เข้าใจผิดว่าซวีเทียนติ่งคือกุญแจของจริง แต่ข้ารับรองได้ว่า หากว่าใช้กุญแจดอกนี้แล้วไม่อาจเข้าสู่พระราชวังเทียนติ่งได้ ก็คงไม่กล้าที่จะขอร้องให้ผู้อาวุโสบุกเข้าไปยังพระราชวังแห่งนี้ แต่ว่าเมื่อเข้าไปยังด้านในได้แล้วจริงๆ ข้าเชื่อว่าสมบัติล้ำค่าด้านในคงจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสหานผิดหวังเป็นแน่” เซวี่ยพั่วเอ่ยออกมาด้วยความอึดอัดใจ
“เรื่องในปีนั้นของเทียนติ่งเจินเหริน เจ้าเองก็เล่าออกมามากแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ที่สามารถบรรลุจนเป็นเซียนที่หลงเหลือในถ้ำพำนักของโลกเบื้องล่าง แน่นอนว่าเพียงพอจะทำให้ข้าสนใจ แต่ว่าต่อให้ไม่ใช่เพื่อสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ในเมื่อในตอนนั้นรับปากนักพรตเอาไว้แล้วว่าจะช่วยนำกายเดิมออกมา ข้าก็จะไม่ผิดสัญญาง่ายๆ วางใจเถอะ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของข้าในตอนนี้ ต่อให้ไม่มีกุญแจใด ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เข้าไปยังพระราชวังเทียนติ่งนั้นได้ ตอนนี้มีกุญแจซวีเทียนติ่งแล้ว เข้าไปยังด้านในนั้นก็มีความมั่นใจมากกว่าเก้าส่วนแล้ว” หลังจากที่หานลี่มองไปยังเซวี่ยพั่วอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
“ขอบคุณความกรุณาจากผู้อาวุโสหาน รอเมื่อได้กายเดิมออกมาแล้ว ชนรุ่นหลังจะต้อง…”
“เอาละ คำขอบคุณเหล่านั้น รอจนช่วยนักพรตปิงพั่วออกมาได้แล้วค่อยว่ากันเถอะ แต่ทว่า ในเมื่อกุญแจของพระราชวังเทียนติ่งไม่ได้มีเพียงแค่ดอกเดียว ในตอนนั้นนักพรตปิงพั่วและคนอื่นๆ ยังใช้เคล็ดวิชาลับจากหนังสือหยกทองคำสร้างกุญแจเลียนแบบออกมามากมาย เมื่อถึงเวลานั้นคงจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายมารวมตัวกันยังเทือกเขาแห่งนี้ไม่ไปไหน คิดว่าที่ข้าพบเข้ากันฮูหยินวั่นฮวาทั้งสองคนที่เมืองเซวี่ยพั่วนั้น ก็คงจะมาหาผู้อาวุโสไท่ซั่งของสำนักกระดูกโลหิตเพราะเรื่องนี้เช่นกัน” หานลี่เอ่ยออกมาอย่างครุ่นคิด
“อะไรนะ ผู้อาวุโสได้พบหน้ากับมหายานสำนักกระดูกโลหิตผู้ดูแลอารักขาเมืองเซวี่ยเฮ่อแล้ว ข้านึกออกแล้ว ในปีนั้นผู้ที่เข้าไปยังพระราชวังเทียนติ่งพร้อมกับกายหลักนั้น มีผู้แข็งแกร่งของสำนักกระดูกโลหิตอยู่ด้วย และในมือของคนจากสำนักกระดูกโลหิตนั้นยังเก็บรักษากุญแจเอาไว้หนึ่งถึงสองดอก ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ถ้าหากว่าสำนักกระดูกโลหิตเข้าสู่เทือกเขาวั่นเย่ว์อย่างใหญ่โตแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเกินไปแล้ว” เซวี่ยพั่วเมื่อได้ยินเข้า สีหน้าก็ดูเปลี่ยนไป
“ข้าเห็นว่าผู้อาวุโสไท่ซั่งของเมืองเซวี่ยเฮ่อท่านนั้น ดูไม่เหมือนว่าจะเชิญคนจากสำนักเดียวกันมา ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่มีมหายานจากต่างที่มาหาจนถึงหน้าประตู เขาอาจจะปกปิดเรื่องของพระราชวังเทียนติ่งและกุญแจเอาไว้ ผู้ที่มีกุญแจส่วนใหญ่แล้วก็อาจจะมีความคิดเหมือนกัน และนอกจากผู้ที่มีกุญแจแล้ว คนอื่นที่เข้ามายังเทือกเขาวั่นเย่ว์ โดยมากแล้วก็คงจะเป็นผู้ที่ได้ยินข่าวลือมาเมื่อเร็วๆ นี้ คนพวกนี้ต่อให้มีมากขึ้น ก็ไม่อาจเข้าสู่พระราชวังได้ ไม่ได้เป็นภัยอะไรต่อพวกเรา” หานลี่ส่ายศีรษะออกมาพร้อมเอ่ยตอบ
“แต่ว่าถ้าหากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าผู้อื่นเองก็คงจะไม่ยินยอมให้ผู้ที่มีกุญแจเข้าสู่พระราชวังเทียนติ่งได้โดยง่าย” จูกั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกออกมา
“ก่อนที่จะเข้าสู่พระราชวังเทียนติ่งนั้น จะต้องมีการต่อสู้ขึ้นเป็นแน่ แต่ในเมื่อมีข้าอยู่ด้วยยังจะต้องกลัวอะไรอีกหรือ แต่หากว่าเป็นในพระราชวังเทียนติ่งแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ฮวาสือ เจ้าและจูกั่วเอ๋อร์รอ
อยู่ที่นี้ รอข้าและนักพรตเซวี่ยพั่วออกมาก็พอแล้ว ระวังอย่าให้ถูกผู้อื่นพบเข้า ผู้ที่กล้าข้ามายังเทือกเขาวั่นเย่ว์ในตอนนี้นั้น ล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดาทั้งสิ้น” หานลี่เอ่ยสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาสือเมื่อได้ยินแล้ว ในใจก็แข็งค้าง แล้วเอ่ยรับคำด้วยความเคารพ
“นักพรตเซวี่ยพั่ว ตามที่เจ้าว่ามานั้น พระราชวังเทียนติ่งก็คงจะเปิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เวลาที่จะปรากฏออกมาจริงๆ ซวีเทียนติ่งจะสัมผัสมันได้ แล้วนำทางพวกเราไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องได้ เรื่องนี้ไม่ผิดใช่หรือไม่!” หานลี่หันกลับไปถามเซวี่ยพั่วอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสพูดมาไม่ผิดนัก เพราะเหตุนี้ต่อให้เป็นเพียงกุญแจเลียนแบบก็ยังมีคนคอยแย่งชิง เป็นเพราะมีประโยชน์เช่นนี้เป็นหลัก” เซวี่ยพั่วเอ่ยตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ดี สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คือบำรุงรักษาพลังเอาไว้ รอจนพระราชวังเทียนติ่งปรากฏออกมา” หานลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ
เซวี่ยพั่วหญิงสาวคนนี้ แน่นอนว่าไม่มีความคิดเห็นใดๆ พยักหน้าตอบรับซ้ำๆ กัน
ส่วนผู้ร่วมเดินทางของหานลี่ ก็พำนักอยู่ในถ้ำนี้เป็นการชั่วคราว
วันเวลาผ่านไป ผู้บำเพ็ญเพียรในเทือกเขาวั่นเย่ว์ที่แต่เดิมมีไม่มากนัก ก็ค่อยๆ ดูครื้นเครงขึ้นมา
มีข่าวเกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของพระราชวังเทียนติ่ง ก็แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเมืองเซวี่ยพั่ว
ผู้บำเพ็ญเพียรในที่อยู่ใกล้เคียงหรือทรงพลัง เมื่อได้ยินข่าวลือก็ทยอยเคลื่อนไหวมารวมตัวกันยังเทือกเขาแห่งนั้นที
และเป็นเพราะว่าเมืองเซวี่ยเฮ่อนั้นอยู่ใกล้กันกับเทือกเขา ผู้บำเพ็ญเพียรในส่วนใหญ่ที่เข้ามาก่อนนั้น แปดเก้าส่วนล้วนแต่เป็นคนของเมืองนี้
ลูกศิษย์ของสำนักกระดูกโลหิตเองก็อยู่ในนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ค่อยๆ มีคนจากดินแดนอื่นปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับเทือกเขา ในแต่ละวันที่ผ่านไป คนจากต่างถิ่นก็เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ
แต่ว่าในฐานะที่วั่นเย่ว์นั้นเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในรอบๆ นี้แล้ว ต่อให้มีคนเข้ามาอีกมากก็ไม่ได้ดูสะดุดตาจนเกินไป ก็เหมือนกับวัวในปลักโคลนที่จมหายลงไปในทะเลจนมองไม่เห็นร่าง
แต่ว่ามีผู้ที่มีพลังพิเศษหรืออารมณ์หงุดหงิดรุนแรง กลับเริ่มที่จะฆ่าผู้ที่สงสัยว่าจะมีกุญแจทิ้งเสียแล้ว
ถึงแม้ว่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ แต่ในสักวันหนึ่ง เมื่อความขัดแย้งระดับกลางนี้สิ้นสุดลง ผู้ชนะก็จะพบกับหม้อใบเล็กจากกายของผู้ที่ตายไปแล้ว ทันใดนั้นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองสังหารขนาดใหญ่ก็กระจายไปทั่วทั้งเทือกเขา
และสถานที่ห่างไกลออกไปจากเทือกเขา ยังมีชาวนภาสีเลือดอีกมากมายที่ได้รับข่าวลือ และกำลังเร่งเดินทางไปยังเทือกเขาวั่นเย่ว์
แต่ทว่าคนเหล่านี้กลับมาไม่ทันกาลเสียแล้ว
หลังจากนั้นอีกเพียงครึ่งเดือน บริเวณแอ่งน้ำไม่มีชื่อแห่งหนึ่งภายในเทือกเขาวั่นเย่ว์ จู่ๆ ก็มีลำแสงลึกลับห้าสีพุ่งขึ้นไปยังบนท้องฟ้า จากนั้นก็กลายเป็นอักษรรูนนับไม่ถ้วนแล้วหายไปกลางอากาศ
เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้น หานลี่กำลังนั่งหลับตาฝึกฝนอยู่ภายในห้องลับกลางหุบเขา จู่ๆ แขนเสื้อก็ขยับขึ้น จากนั้นหม้อใบเล็กที่มีลำแสงสีฟ้าแวววาวก็ลอยออกมาจากด้านใน
“เซวี่ยพั่ว เตรียมตัวเถอะ ถึงเวลาออกเดินทางกันแล้ว” หานลี่จ้องมองไปยังผิวกายของหม้อใบเล็กสีฟ้าที่มีอักษรรูนแปลกประหลาดปรากฏออกมา จึงไม่ลังเลที่จะส่งเสียงออกไปด้านนอกประโยคหนึ่ง
เซวี่ยพั่วที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในอีกห้องหนึ่งของถ้ำพำนัก ก็ลุกขึ้นยืนในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นเพียงครู่ ลำแสงสีฟ้าสูงหลายสิบจั้งก็พุ่งออกมาจากกลางหุบเขา มุ่งตรงไปยังที่แห่งหนึ่งของเทือกเขาวั่นเย่ว์
เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นในสถานที่ลับที่ซ่อนอยู่อีกสามสิบกว่าแห่งในเทือกเขา
สถานที่เหล่านี้เกิดเสียงดังทะลุออกมากลางอากาศ บ้างก็มีแสงเดียว บ้างก็มีหลายแสง กระทั่งนับสิบจนถึงร้อยทยานออกมาพร้อมกัน โผทยานออกไปยังทิศทางเดียวกันอย่างบ้าคลั่ง
และคนเหล่านี้ไม่ได้อำพรางตนเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าสะเทือนไปจนถึงผู้บำเพ็ญเพียรของแดนนภาสีเลือดมากมายที่หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขา และพากันทำตามโดยไม่ลังเล
มีบางคนที่ความเคลื่อนไหวรวดเร็ว กระทั่งสามารถตามจนทันผู้ที่อยู่ด้านหน้า จนเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น
หานลี่ที่รู้สึกว่าความเคลื่อนไหวของเซวี่ยพั่วนั้นช้าจนเกินไป ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงได้กระจายลำแสงของตนเอาไว้ แล้วจึงม้วนเอาลำแสงของหญิงสาวคนนี้มาไว้ด้านใน รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วพุ่งทยานไปต่อข้างหน้า
และด้วยความเคลื่อนไหวที่เร็วขึ้น และต่อให้ด้านข้างจะมีผู้ใดพบกับลำแสงของพวกเขา อยากจะไล่ตามมาให้ทันนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
คนส่วนใหญ่รู้สึกได้เพียงแค่มีลำแสงสีฟ้าส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า และสายรุ้งสีฟ้าก็เคลื่อนจากขอบด้านนี้ไปยังสุดปลายขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็พร่ามัวไป แล้วก็หายออกไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้เพียงร่องรอยเสียงดังกังวานของการระเบิดออกในท้องฟ้าสูง
ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้เข้าต่างก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ จากนั้นก็ละทิ้งความคิดอื่นที่เกิดขึ้นในใจออกไปในทันที รีบไปหาเป้าหมายอื่นในทันที และด้วยความแข็งแกร่งของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดแล้ว ผู้กล้าหาญและอวดดีเช่นนี้ไม่เคยมีปรากฏออกมาก่อน
ในตอนที่สายรุ้งสีฟ้าผ่านหุบเขากว้างแปลกตานั้น จู่ๆ ด้านล่างนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นมา อักษรสันสกฤตนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา แล้วเพียงแค่ในชั่วพริบตาก็รวมกันกลายเป็นเขตอาคมลำแสงลึกลับอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อนท่านนักพรต ข้าน้อยมีเรื่องที่ต้องการปรึกษากับท่านสักเล็กน้อย” ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังกึกก้องดังออกมาจากกลางเขตอาคมลำแสงแห่งนั้น
คำพูดของคนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะเกรงใจ แต่ว่าการกระทำก่อนหน้าของเขาไม่ได้หยุดลง หลังจากที่เขตอาคมลำแสงนั้นหมุนไปรอบๆ ทันใดนั้นก็มีพลังดึงดูดอันน่าหวาดกลัวพุ่งออกมาจากในนั้น แล้วก็ม้วนตัวกลิ้งไปยังสายรุ้งสีฟ้าในทันที
หานลี่เมื่อเห็นเข้า ในใจก็กรุ่นโกรธขึ้นมา ตั้งใจที่จะไม่เอ่ยปากรับคำเลยแม้แต่น้อย ฝ่ามือข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาจากแขนเสื้อของเขา ฟาดลงไปยังหุบเขาด้านล่างนั้นแผ่วเบา แต่ก็มีแรงดูดมหาศาลมากกว่าสิบเท่ากดข่มเอาไว้
“ปัง” ดังสะเทือนฟ้าดินออกมา
ไม่เพียงแต่แรงดูดและเขตอาคมลำแสงนั้นจะถูกฟาดจนกระจายออกไปแล้ว ทั่วทั้งหุบเขาเองก็พากันพังทลายลงไป
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างจากระดับเดียวกับเขาซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในนั้นก่อนหน้านี้ ไม่อาจหลบหนีได้ทันจนถูกกดข่มกลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิต แม้แต่ปราณก่อกำเนิดด้านในก็ไม่อาจหนีได้ทันจนไม่อาจรอดพ้นจากการทำลายตนเองไปได้
ส่วนสายรุ้งสีฟ้ากลางอากาศสูงนั้นไม่แม้แต่จะหยุดลง แวบผ่านกลางอากาศเหนือหุบเขานั้นไป แล้วหายลับไปยังท้องฟ้าไกลออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น ภูเขาเล็กใกล้กลับหุบเขาที่พังทลายลงไปนั้น จู่ๆ ก็มีลำแสงสีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ทั้งหมดทยานไปยังเหนือหุบเขานั้น จากนั้นก็ทยอยปรากฏกายออกมา
เป็นกลุ่มคนที่แต่งกายแตกต่างกันออกไป
หนุ่มสาวชราเด็กล้วนมีอยู่ มากถึงเจ็ดแปดคน แต่ว่ารัศมีบนกายของแต่ละคนดูไม่ธรรมดานัก
ในขณะนี้ กลุ่มคนเหล่านี้มองไปยังบริเวณที่เปื้อนเลือดด้านล่างนั้น สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
“ตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี หรือว่าจะตามไปล้างแค้นให้กับนักพรตหยาดี” เด็กสาวชุดเขียวเอ่ยถามออกมาอย่างกะทันหัน
“อย่าได้ล้อเล่นไปเลย นักพรตหยาเลือกคู่ต่อสู้ผิดแล้ว ถึงกับเลือกบรรพชนมหายานผู้หนึ่งเข้า เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษผู้อื่นได้” ชายหนุ่มผมยุ่งเหยิงเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล
“ไม่ผิด พลังยุทธ์ของพี่หยาไม่ได้ด้อยไปกว่าข้ากับเจ้า ตามหลักการแล้วหากว่าตกอยู่ในมือของบรรพชนมหายานแล้วก็คงทำได้เพียงแค่รับมือได้เพียงครู่เดียว ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ฟาดลงมาก็สามารถฆ่านักพรต
หยาจนดับสลายไปได้ คาดว่าคงจะเป็นบรรพชนมหายานขั้นสุดยอด จัดการกับพวกเราก็คงจะไม่สิ้นเปลืองพลังนัก ท่านเซียนเยี่ยหากว่าอยากจะช่วยแก้แค้นให้แล้ว ก็เชิญไปคนเดียวเถิด พี่น้องของข้าไม่มีทางที่จะเข้าร่วมเรื่องนี้เป็นแน่” ชายชราใบหน้าน่าเกลียดคนหนึ่ง เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าสั่นเทา
“น้องสาวเพียงแค่พูดออกไปเท่านั้น ศัตรูผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ผู้ใดจะกล้ายั่วยุด้วย น้องสาวคงจะไม่หาเรื่องอับอายให้ตนเองหรอก แต่ว่าในเมื่อตอนนี้กลายมาเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราคงไม่อาจยึดติดไม่ปรับตัวแบบนี้ต่อไปได้อีก คงทำได้เพียงแต่รีบไปยังสถานที่พระราชวังเทียนติ่งปรากฏขึ้นโดยเร็วเท่านั้น ดูว่าจะยังตกปลาในแม่น้ำได้อีกหรือไม่” หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ ตอบออกมาสองคำ
หลังจากที่คนเหล่านี้กำลังปรึกษากันอยู่นั้น ก็กลายเป็นลำแสงพุ่งทยานไปยังทิศทางเดียวกัน
…
เสียง “ปัง” อู้อี้ดังขึ้นมา
ด้านหน้านั้นมีชายร่างยักษ์กายสูงหลายจั้งยืนขวางอยู่ ถูกลำแสงหานลี่นั้นใช้หนึ่งนิ้วมือขยับทำท่าทาง ศีรษะและปราณทารกด้านในส่งเสียง “หึ่ง” แล้วระเบิดกระจัดกระจายออกมา
ศพไม่มีหัวตกลงมาจากท้องฟ้าในทันที
หลังสายรุ้งสีฟ้าพร่าวพราวขึ้นอีกครั้ง ก็ตรงทะลุผ่านไปยังกายของอีกหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายร่างยักษ์ ชั่วขณะนั้นก็ผ่าเอาร่างของคนเหล่านั้นเป็นสองส่วน จากนั้นก็พร่ามัวหายไปยังกลางอากาศด้านหลัง