คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2352 คุกโลหิต
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2352 คุกโลหิต
“ถ้าหากไปพื้นที่ส่วนอื่น เราก็ไม่สามารถไปส่วนกลางของพระราชวังได้โดยตรง แบบนั้นไม่ได้แน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่น อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยตามเขาไป ต้องระวังหน่อย อย่าให้โดนจับได้ หลังจากเข้าไปแล้ว ต้องใช้โอกาสในตอนที่เขาเข้าไปหาสมบัติชิ้นอื่นๆ พวกเราค่อยนำหน้าเขาเข้าไปในส่วนใจกลางหนึ่งก้าว” หลังจากเซียวหมิงคิดอย่างถี่ถ้วน เขาก็เอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ในเมื่อมีทางนี้เท่านั้น แต่ว่าพื้นที่ที่พ่อมดทั้งสามเลือกนั้นก็ดูผิดปกติเช่นกัน เหมือนว่าทางนั้นจะเป็นคุกโลหิตที่อรหันต์เทียนติ่งเคยใช้ปราบปรามศัตรูเมื่อปีนั้น” หลังจากนักพรตชิงผิงพยักหน้า เขาก็กล่าวขึ้นอย่างกังวลใจ
“ข้าเห็นแล้ว แต่ว่าตอนนี้พวกเราก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว ด้วยความสามารถของพวกเขา ต่อให้มีสมบัติของคนที่เคยอยู่ในเรือนจำนั้นจะหลงเหลืออยู่หรือ? แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” เซียวหมิงขมวดคิ้วแล้วพูดเบาๆ
“น่าเสียดายจริงๆ ตามที่เรื่องราวที่ได้สืบทอดมาของข้าน้อย ได้ยินมาว่า ตอนแรกคุกโลหิตแห่งนั้นได้ใช้ปราบปรามยอดฝีมือมากมายที่มีความแข็งแกร่งเกือบจะเทียบเท่าอรหันต์เทียนติ่ง ผ่านมาหลายปี แม้ว่าพวกเขาจะตายกันไปหมดแล้ว แต่สมบัติเหล่านั้น เกรงว่าจะมีไม่น้อยเลย” นักพรตชิงผิงกล่าวอย่างเสียดาย
“เดิมทีพวกเราจะใช้คุกโลหิตเป็นเป้าหมายที่สอง สหายชิงผิง พ่อมดทั้งสามนั้นวิ่งลุยเข้าไปโดยตรงแบบนั้น เขาคงจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคุกโลหิตใช่หรือไม่” ฮูหยินวั่นฮวาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เรื่องนี้พูดได้ยาก แม้ว่าคนที่สืบทอดสายเลือดของอรหันต์เทียนติ่งจะมีเพียงข้า แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่ายอดฝีมือคนอื่นๆ ที่อยู่ยุคสมัยเดียวกับอรหันต์เทียนติ่งจะไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ เมื่อปีนั้นเรื่องราวของคุกโลหิตนั้นโด่งดังมาก มันทำให้คนในแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดทั้งหมดตกตะลึง” ใบหน้าของนักพรตชิงผิงมืดครึ้ม
“ช่างเถอะ ในเมื่อเราไม่สามารถเลือกไปที่คุกโลหิตได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปคาดเดาอะไรมาก เวลามีไม่มากแล้ว พวกเราควรออกเดินทางกันได้แล้ว” เซียวหมิงมองไปที่เส้นทางที่หานลี่เดินจากไป เหมือนว่าเสียงคำรามที่อยู่ด้านในค่อยๆ เงียบเสียงไปแล้ว เซียวหมิงจึงพูดขึ้น
ฮูหยินวั่นฮวาและนักพรตชิงผิงเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงออกเดินทางไป พร้อมพุ่งเข้าไปในม่านแสงสีฟ้าอ่อนนั้น เพียงแต่ทางที่เข้าไปนั้นอยู่ไกลจากที่จุดที่หานลี่เข้าไปสักหน่อย
…
“หนาว หนาวมากเลย”
หานลี่ลอยอยู่กลางอากาศบนแผ่นดินที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งสีขาวเหมือนขนห่าน เขาแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา เขาสัมผัสได้ถึงปราณเย็นประหลาดที่อยู่โดยรอบ มีบางส่วนที่โดนลมพัดแล้วมากระทบผิวหนังโดยตรงจนกลั่นตัวเป็นเกล็ดหิมะสีฟ้าอ่อน
หลังจากที่เขาสำเร็จวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่ายากนักที่เขาจะได้สัมผัสอากาศเย็นๆ อีก
เห็นได้ชัดว่ามิติมายาแห่งนี้จะมีความหนาวเย็นอย่างมาก จะต้องเขตต้องห้ามที่ทะลวงกว่าเขตต้องห้ามครั้งก่อนๆ แน่นอน
หานลี่ลอยอยู่กลางอากาศต่อไปสักพัก หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็มีเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินปรากฏขึ้นมาทันที ความรู้สึกหนาวเย็นเสียดกระดูกหายไปทันที
หานลี่ขยับตัวพร้อมค่อยๆ บินตรงไปด้านหน้า หลังจากที่เข้าบินมาประมาณระยะหนึ่ง จู่ๆ รอบข้างก็มีลมพัดอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่เกล็ดหิมะพวกนั้นควบแน่นกัน จนเกิดเป็นนกกระจอกน้ำแข็งหลายพันตัว หลังจากที่พวกมันกางปีกสองข้างออก กลุ่มแสงสีน้ำเงินก็พวยพุ่งออกมา
จิตสัมผัสของหานลี่ก็สามารถจับพลังของกลุ่มแสงเหล่านั้นได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา เปลวเพลิงสีเงินก็โหมกระหน่ำมากกว่าเดิม
ตอนนั้นเองนกกระจอกน้ำแข็งทั้งหมดก็พุ่งเข้าโจมตีหานลี่ แต่เมื่อกระทบกับเปลวเพลิงสีเงินมันก็ค่อยๆ ระเบิดและหายไป ตอนนั้นเองเปลวไฟสีเงินและแสงสีฟ้าอ่อนประสานกัน กลายเป็นพายุลูกใหญ่เกิดขึ้น
ทางเมืองเหมันต์ของอีกฝั่งหนึ่ง ด้านเซียวหมิงและพรรคพวก สละสมบัติมากกว่าสิบชิ้น ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับคนยักษ์หลายสิบตัวที่มีขนาดเท่ากับภูเขาขนาดย่อมๆ ยักษ์นับสิบตัวนี้ไม่สามารถควบคุมน้ำแข็งและหิมะได้โดยตรง แต่มันมีเกราะและอาวุธครบมือ ต่อให้บาดเจ็บสาหัสมากแค่ไหน ขอเพียงแค่เหลืออวัยวะส่วนเล็กๆ พวกมันก็สามารถสร้างร่างขึ้นมาใหม่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก ราวกับว่ามันเป็นอมตะอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าความสามารถของเซียวหมิงและพรรคพวกจะสูงกว่ายักษ์พวกนี้ แต่ก็เหมือนถูกบังคับให้กลับไปที่เดิม
…
กลางท้องพระโรงขนาดใหญ่มีเสายักษ์สีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน พ่อมดทั้งสามขี่แมลงยักษ์ของตนเอง พวกมันเดินไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง และเว้นระยะให้ห่างจากเสาพวกนั้น
เสาพวกนั้นมองไกลๆ ก็เหมือนเสาธรรมดา แต่เมื่อมองดูดีๆ แล้ว ก็พบว่ามีกะโหลกมนุษย์สีแดงถูกฝังอยู่จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และบางครั้งก็มีเลือดไหลออกมาด้วย
“สหายอวี๋ พวกเราไม่ได้มาผิดที่ใช่หรือไม่? ที่นี่คือทางเข้าของคุกโลหิตจริงๆ หรือ?” ชายชราคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนตะขาบยักษ์ ถามเพื่อนร่วมทางที่นั่งอยู่ด้านข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมั่นใจในเส้นทางนี้เท่าไหร่
“พี่อู๋ท่านวางใจเถอะ ใช่ว่าท่านจะไม่เคยเห็นเขตต้องห้ามเช่นนี้ที่ด้านนอกมาก่อน จากจุดที่เรายืนอยู่ตอนนี้สามารถทำให้เรามั่นใจได้ว่าสิ่งที่จารึกอยู่ในแผ่นหินโบราณเป็นเรื่องจริง ที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ปราบปรามศัตรูของอรหันต์เทียนติ่งเมื่อปีนั้นแน่นอน หึๆ “ใต้เท้าเทียนอู” สายเลือดของพวกเราที่แข็งแกร่งที่สุด เคยประมือกับอรหันต์เทียนติ่งที่มหาสงครามเจ็ดวันเจ็ดคืน จากนั้นถึงโดนเขาจับมาที่คุกโลหิตหากไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยพลังและความสามารถของใต้เท้าเทียนอู เขาจะต้องขึ้นไปยังแดนเซียนอย่างราบรื่นแน่นอน” ชายชราอีกคนที่นั่งอยู่บนหัวแมงป่องกล่าวขึ้นมาด้วยความมั่นใจ
“ที่นี่เป็นสถานที่แปลกประหลาดจริงๆ นั่นแหละ มิน่าพี่อู๋จึงกังวล แต่ว่าด้วยการฝึกฝนและระดับพลังของพวกเรา มันแตกต่างจากพลังทั่วไปมาก ไม่แน่ว่าผ้าเหลืองของอรหันต์เทียนติ่งอาจจะไม่มีผลกับพวกเรา ในกลับกันเราก็จะได้สมบัติที่อยู่ในคุกโลหิตกลับไปด้วยเช่นกัน กำไรเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้พวกเราสามารถขึ้นแดนเซียนได้ ดังนั้นแม้ว่าคุกโลหิตจะอันตราย แต่เราก็ต้องลุยเข้าไป” ชายชราผอมแห้งคนสุดท้ายพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ น่าเสียดายที่แผ่นศิลาแผ่นนั้นเสียหายไปมากกว่าครึ่ง จึงมีแค่การทำลายเขตอาคมชั้นนอกเท่านั้นที่ถูกบันทึกเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากเขียนวิธีทำลายเขตอาคมด้านในเอาไว้ด้วย พวกเราก็เข้าไปอย่างสบายๆ แล้ว” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้น
“หึๆ สามารถทราบตำแหน่งที่อยู่ของคุกโลหิต ก็นับว่ามีวาสนาไม่น้อยแล้ว ต่อให้เขตอาคมด้านในจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พวกเราทั้งสามคนร่วมมือกันก็ไม่เห็นมีอะไรที่ต้องกลัวไม่ใช่หรือ?” ผู้อาวุโสแซ่อู่หัวเราะขึ้น
“ถูกต้อง ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จะหันหลังกลับก็ไม่ได้แล้ว แต่ว่าเด็กน้อยคนที่กลายร่างเป็นวานรยักษ์ผู้นั้น ดูไม่อ่อนแอเลย หากไม่ใช่เพราะตาแก่เซียวนั่นเข้ามาขัดจังหวะ ข้าเองก็อยากได้เลือดของเขามาหลอมหุ่นเชิดนะ” หลังจากผู้อาวุโสแซ่อวี๋พยักหน้าแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง และพูดถึงหานลี่คนที่เขาเพิ่งเจอเมื่อครู่
“คนผู้นั้นที่กลายร่างเป็นวานรยักษ์นั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ ส่วนร่างที่สองที่เขาเปลี่ยน เหมือนมีวิชามารผสมอยู่ด้วย ต่อให้พวกเราสามคนร่วมมือกัน ก็ไม่น่าจะเอาชนะได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นเหตุผลที่เราเลือกต่อสู้เพราะกันไม่ให้ตามเข้ามาที่คุกโลหิตแห่งนี้ ตอนนี้พวกเขาวางท่าแบบนั้นไปแล้ว พวกเขาคงไม่ทำตามใจตนเองแล้วตามมาแน่นอน” ผู้อาวุโสแซ่อู่พูดพร้อมหัวเราะเย็นๆ
“นี่เป็นแผนที่คิดเอาไว้นานแล้ว เมื่อเข้ามาแล้วเราก็ต้องได้อะไรกลับไป ลืมคนอื่นๆ ไปได้เลย ในจำนวนคนที่เข้าพระราชวังเทียนติ่งมา มีเพียงเซียวหมิงและพรรคพวกเท่านั้น ที่เป็นภัยคุกคามของเราจริงๆ ในปีนั้นเซียวหมิงที่รู้จักกันในนาม “ปีศาจคลั่ง” เขาไม่ใช่แค่บรรพชนคนธรรมดา เมื่อรวมกลุ่มกับฮูหยินวั่น
ฮวา นักพรตชิงผิง เมื่อจะต้องสู้กัน โอกาสชนะของพวกเรานั้นมีไม่เยอะเลย” ผู้อาวุโสคนสุดท้ายพูดขึ้น ดวงตาก็เปล่งประกาย
“จากที่ข้าดู เซียวหมิงพวกเขาไม่ได้ตามมาทางนี้ แปลว่าเขามีเป้าหมายอื่น เช่นนั้นพวกเราก็สามารถพุ่งเป้าทั้งหมดไปที่คุกโลหิตได้” ผู้อาวุโสแซ่อู่พูดขึ้นด้วยแววตามืดครึ้ม
ในตอนที่คนอื่นๆ กำลังจะตอบคำถามคำถามนี้ แมลงยักษ์ทั้งสามก็ชะงักตัว พร้อมส่งเสียงกรีดร้องแปลกๆ ท่าทางเตือนอะไรบางอย่าง
ผู้อาวุโสทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นร่างกายก็ส่องสว่างขึ้น สมบัติวิเศษทุกชนิดลอยออกมา มันลอยวนอยู่รอบๆ เพื่อเป็นการปกป้องตัวเขา
ผู้อาวุโสสามคน หกตา จ้องมองไปด้านหน้าตาเขม็ง
แต่กลับไม่พบอะไรสักอย่าง เลือดที่ไหลออกจากเสาในท้องพระโรงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันสีก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ
“ซ่าๆ” มีเสียงดังออกมาจากด้านหน้า
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหน้า ก็มีเปลวไฟสีเขียวดวงเล็กๆ ปรากฏขึ้น ผีเสื้อกระดูกขนาดเท่านิ้วโป้งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละตัว
ผีเสื้อกระดูกเหล่านี้มีแสงไฟกะพริบปริบๆ มองดูแล้วช่างน่าประหลาดอย่างมาก จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย จนน่าจะมีมากกว่าหมื่นตัว
“แย่แล้ว นี่มันผีเสื้อกลืนกระดูก ถอยเร็วเข้า”
เมื่อผู้อาวุโสแซ่อู่เห็นลักษณะของผีเสื้ออย่างชัดเจน เขาก็ร้องเสียงหลงทันที
ผู้อาวุโสอีกสองคนก็หน้าซีดขาว
พวกเขาทั้งสามกระโดดลงจากแมลงยักษ์พร้อมกัน แล้วบินถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าผีเสื้อพวกนั้นก็บินตามติดพวกเขาทั้งสามคนมาอย่างไร้เสียง
ชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็บินหนีไปได้หลายร้อยจั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าตอนขาเข้าหลายร้อยเท่าตัว
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังขึ้น
เสาสีแดงพวกนั้นก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน แต่มันควบเลือดสีดำแดงไว้ที่เสาอย่างแน่หนา จากนั้นก็ปล่อยปราณสีดำออกมา ทันใดนั้นก็มีกะโหลกหล่นลงมาจากด้านบน
ทันทีที่กะโหลกของพวกมันหล่นออกมา ชนาดก็ขยายใหญ่ขึ้น เท่ากับล้อรถม้า อีกทั้งมีเสียงแปลกอะไรบ้าง ขวางทางพวกเขาเอาไว้ทันที
“นี่มันวิญญาณโลหิต เมื่อก่อนเขาคือยอดฝีมือที่ตกลงมาในคุกโลหิต จนตอนนี้กลายเป็นวิญญาณโลหิต พี่อวี๋ พี่ใช้เคล็ดวิชากระตุ้นวิญญาณ พวกเราสองคนจะยื้อเวลา พร้อมรั้งผีเสื้อกลืนกระดูกและวิญญาณโลหิตด้วย” เมื่อผู้อาวุโสแซ่อู๋เห็นดังนั้น แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ค่อยดี แต่เขาก็ยังพูดด้วยท่าทางใจเย็น
“ได้ เช่นนั้นรบกวนสหายทั้งสองแล้ว” ผู้อาวุโสอู๋วางแผนค่อนข้างแม่นยำ เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบรับ หลังจากสั่งให้ตะขาบหยุด เขาก็สะบัดแขนเสื้อ พร้อมนั่งลงทำสมาธิ
ตอนนั้นเองป้ายหยกสีเขียวดำแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมาจากร่างกายของเขา จากนั้นก็กลายเป็นวงแหวนขนาดใหญ่และยกร่างกายขึ้น