คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2356 โครงกระดูก
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2356 โครงกระดูก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังอึ่มๆ มาจากมีดสั้น รูปแมลงแปลกๆ ที่สลักอยู่นั้นก็เดินไปทั่ว เหมือนว่ามันมีชีวิต
ผู้อาวุโสแซ่อวี๋สะบัดมีดสั้นนั่นหนึ่งครึ่ง จากนั้นมันก็กลายเป็นลำแสงสีเลือดตรงเข้าโจมตีกรงเหล็กนั้นทันที
เสียงระเบิดดังลั่น “เปรี้ยง” ทันทีที่ลำแสงสีเลือดสัมผัสกับกรงเหล็ก ก็มีเสียงคล้ายฟ้าผ่าเกิดขึ้นทันที ประจุสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา
พริบตาเดียวแสงสีเลือดก็โดนสะท้อนกลับทันที และกลับคืนรูปร่างกลายเป็นมีดสั้นอยู่ในมือของผู้อาวุโสแซ่อวี๋
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย”
นี่ทำให้ชายชราผู้นั้นหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ และรีบปล่อยมีดสั้นในมือของตัวเองออก ตอนนั้นเองก็ก็พบว่าที่กลางฝ่ามือของเขามีรอยปริแตกเล็กๆ อยู่ รูปลักษณ์ของมีดก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย
หากหานลี่มาเห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง จะต้องตกใจไม่น้อยแน่นอน
เมื่อมองประจุสายฟ้าสีทองที่แผ่กระจายออกมาจากกรงเหล็ก จะพบว่ามันคืออัสนีเทวา แต่เมื่อมองดูดีๆ มันกลายมีข้อแตกต่างอยู่
แม้ว่าประจุสายฟ้าสีทองนั่นจะเป็นสีทองสว่างไสวเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่มันระเบิดขึ้น มันจะมีอักษรรูนสีม่วงทองปรากฏขึ้นตามมาตลอด พลังนั้นอยู่เหนือกว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของหานลี่ไปหลายขุมแล้ว
“เป็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจริงๆ… ไม่สิ เหมือนว่าจะไม่ใช่อัสนีเทวาธรรมดา จริงด้วย ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่าอรหันต์เทียนติ่งนอกจากจะเชี่ยวชาญในพลังสายฟ้าหลายรูปแบบแล้ว เหมือนว่าเขายังจะมีความสามารถกลั่นสายฟ้าบริสุทธิ์ได้ ซึ่งสามารถเพิ่มพลังให้สายฟ้าทั่วไปได้สิบเท่า” ผู้อาวุโสคนสุดท้ายเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ก็ยังคงตกตะลึงอยู่ แต่เขาก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้น
“แบบนี้ก็เรื่องใหญ่แล้ว เดิมทีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายก็มีผลต่อสายเลือดวิญญาณพ่อมดของพวกเราอยู่แล้ว ยิ่งเป็นอัสนีเทวาที่มีความบริสุทธิ์เช่นนี้ เราจะจัดการกับมันอย่างไร?” หลังจากผู้อาวุโสอวี๋หยิบมีดสั้นขึ้นมา เขาก็พูดอย่างขื่นขม
แม้ว่ามีดเล่มนี้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันมีพลังที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก ยิ่งตอนนี้มันได้รับความเสียหายอย่างหนัก ย่อมทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
“วางใจเถอะ ต่อให้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายร้ายกาจกว่านี้ แต่หากไม่มีคำสั่งให้ลงมือมันก็จะไม่ทำอะไรพวกเรา ดังนั้นอาจจะต้องใช้เวลามากในการถอดรหัส แต่ที่ข้ากังวลก็คือ กรงเหล็กนี้ยังมีการป้องกันที่แน่นหนาขนาดนี้ เกรงว่ากรงอื่นที่อยู่ด้านหลังน่าจะยิ่งยากมากขึ้น” ผู้อาวุโสแซ่อู๋มองไปยังหนามแหลมและโซ่ที่พันรอบศพเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างครุ่นคิด
“ต่อให้ยาก เราก็ต้องเปิดให้ได้ ไม่เช่นนั้นการมาครั้งนี้จะเสียเปล่า ครั้งนี้ข้าผู้เฒ่าคนนี้จะลองใช้ธาราเจ้าโลกันต์ปราบอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายดู” ผู้อาวุโสคนสุดท้ายรู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย เขาอ้าปากออก จากนั้นก็คายน้ำเต้าสีเทาออกมาหนึ่งอัน
ชายชราผู้นั้นคว้าน้ำเต้าด้วยมือข้างหนึ่ง พริบตาเดียวมันก็หมุนไปมา พร้อมพ่นน้ำสีดำออกมา
เหมือนว่าน้ำนี้จะมีความเย็นอย่างมาก ขณะที่น้ำในน้ำเต้าลอยออกไป จึงทำให้อุณหภูมิที่อยู่ใกล้เคียงก็ลดต่ำลงไปด้วย ในขณะเดียวกันมันก็แผ่ปราณสีเทาออกมา พร้อมส่งกลิ่นเน่าเหม็นแปลกๆ
ชายชราผู้นั้นท่องคาถากระตุ้นไปอีก น้ำสีดำก็พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็กลายร่างเป็นมังกรสีดำ รูปร่างไม่ชัดเจน มันอ้าปากขึ้น พร้อมพุ่งเข้าไปที่กรงเหล็กนั้นทันที
ด้านนอกของกรงเหล็กมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และมีอักษรสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา พร้อมกับตาข่ายสายฟ้าสีทองขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น
เสียงฟ้าคำรามเปรี้ยงปร้าง!
น้ำสีดำและประจุสายฟ้าสีทอง ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
…
ทางด้านหานลี่ยืนอยู่ในท้องโถงที่มีเพดานสูงมาก เขามองดูรูปปั้นเสมือนจริงที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้าม ในแววตาของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
รูปปั้นนี้มีขนาดพอๆ กับคนจริงๆ รูปปั้นรูปนั้นคือชายวัยกลางคนสวมชุดนักพรตสีขาว ด้านหลังแบกกระบี่เล่มยาวสีเลือดเอาไว้
ดวงตาของรูปปั้นตัวนี้มองตรงมาด้านหน้า สีหน้าราบเรียบ ท่าทางไม่แยแสต่อสรรพสิ่งที่อยู่บนโลก
อีกทั้งข้างกายของรูปปั้นนักพรตคนนี้ ยังรูปปั้นชองอสูรวิญญาณนกอินทรีย์ยักษ์สีเขียวและอีกด้านคือตั๊กแตนตำข้าวสีเงิน ปั้นเหมือนมันมีชีวิตอยู่เลย ท่าทางมันดูดุร้ายอย่างมาก
“คนผู้นี้น่าจะเป็นอรหันต์เทียนติ่งล่ะมั้ง เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมีลักษณะท่าทางเช่นนี้” หานลี่มองอยู่สักพัก แล้วบ่นพึมพำขึ้น พร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ
จากนั้นก็เห็นหุ่นเชิดโลหิตสี่ตัวสูงสองจั้งและโครงกระดูกมนุษย์ไม่ทราบชื่ออีกสองศพ นอนอยู่ด้านข้าง
แม้ว่าหุ่นเชิดโลหิตทั้งสี่ตัวจะนอนอยู่ที่พื้นนิ่งๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน แต่เมื่อสังเกตดูแล้วเกราะของมันดูมันเงา ไม่มีรอยบาดแผลจากการต่อสู้ ในมือถือค้อนยักษ์ กระบี่ยักษ์เอาไว้อยู่ อาวุธยังไม่บุบสลาย ราวกับว่ามันจะสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ทุกเมื่อ แต่อย่างน้อยโครงกระดูกทั้งสองนั้น หนึ่งคนเปลี่ยนร่างไปครึ่งตัวแล้ว กระบี่บินทั้งสี่เล่มก็หักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ที่ข้างกายพวกเขาไปหมดแล้ว
ส่วนอีกคนส่วนหัวก็หายไปแล้ว ด้านข้างมีเพียงโล่สีม่วงที่แตกกระจายไปหมดแล้ว
ศพสองศพนี้นอนอยู่ตรงกลางระหว่างหุ่นเชิดโลหิต ดูไปแล้วเหมือนคนที่ต่อสู้ด้วยก็คือหุ่นเชิดพวกนั้นนั่นแหละ และสู้ตายพร้อมกัน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากปราณที่ติดอยู่บนตัวศพจางๆ นั้นแล้ว น่าจะเป็นคนที่สู้กับอสูรตัวนั้นในห้องโถงห้องที่แล้ว
แต่ว่าหลังจากที่หานลี่มองดูศพนั้นอย่างละเอียด เขาก็ไม่พบร่องรอยของสมบัติของวิเศษในตัวของศพนั้นเลย ร่างกายของสั่นไหวเล็กน้อย พร้อมหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหน้าของรูปปั้นอรหันต์เทียนติ่ง
ที่ตรงนั้นมีวงแหวนเวทย์เล็กๆ ที่ได้รับความเสียหายอยู่ ตรงกลางมีแท่นหินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบจั้งอยู่ ด้านนอกมีร่องรอยการขุด เหมือนว่าก่อนหน้านี้มีอะไรบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่ แต่มันว่างเปล่า แสดงว่ามันคนเอาออกไปแล้ว
อีกทั้งด้านรอบนอกของวงแหวน ยังมีโครงกระดูกอีกสองร่างนอนอยู่ที่พื้น แต่ว่าเกราะสีเงินถูกทำลายไปแล้ว เหมือนว่าอีกฝ่ายโดนทำลายจุดเถียนตันโดนตรง
ส่วนอีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียว แต่โครงกระดูกที่อยู่ด้านในกลับเป็นสีดำเหมือนหมึก ราวกับว่าเขาโดนพิษแปลกประหลาดและทำให้เขาตายในทันที
ในครั้งนี้หานลี่เพียงมองโครงกระดูกนั่นเฉยๆ จากนั้นเขาก็ยกมือหนึ่งขึ้นมาพร้อมร่ายคาถา ตอนนั้นเองก็เสียงดัง “ฟิ้วๆ” สร้อยข้อมือมิติหลากสีจากศพทั้งสี่ก็ลอยออกมาทันที พร้อมตกอยู่ที่กลางฝ่ามือของเขาอย่างแม่นยำ
หานลี่ใช้จิตสัมผัสสำรวจสิ่งของที่อยู่ภายในสร้อยข้อมือมิติ จากนั้นก็เก็บมันลงไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า พร้อมหันมามองเขตอาคมที่ได้รับความเสียหาย
“เขตอาคมส่งตัว”
หลังจากหานลี่ตรวจสอบแล้ว นี่เป็นเขตอาคมส่งตัวระยะไกลแบบดั้งเดิม แต่น่าเสียดายที่มันใช้ได้แค่ครั้งเดียว อีกทั้งเขตอาคมนี้ก็ได้รับความเสียหายมากแล้ว แม้ว่าเขาอยากจะซ่อมแซมมัน แต่ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากหานลี่สำรวจเขตอาคมนี้หลายรอบแล้ว จู่ๆ เขาก็เลิกคิ้วขึ้น เขาพบว่ามีรอยสีแดงหยดลงที่เขตอาคมนั้น เขาใช้มือข้างหนึ่งคว้ามันจากความว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีแสงสีเลือดกลุ่มเล็กๆ ดูอ่อนแรงและเปราะบางอย่างมาก พุ่งออกมาจากมัน และดูเหมือนว่าจะสามารถหายไปได้ทุกเมื่อ
หานลี่พลิกมือข้างหนึ่ง จากนั้นขวดที่บรรจุโลหิตบริสุทธิ์ของปิงพั่วของปรากฏออกมา
เขายังไม่ทันได้ร่ายคาถาอะไร ก็มีเสียงดัง “ตู้ม” เกิดขึ้น แสงสีเลือดเล็กๆ เหล่านั้นก็มาปรากฏอยู่ด้านข้างของขวดโอสถนั้น ทันใดนั้นมันก็บินหายเข้าไปในขวดอย่างไร้ร่องรอย
ภายในขวดก็ส่องแสงสว่างวิบวับ จากนั้นมันก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม
“นี่เป็นโลหิตบริสุทธิ์ที่สหายปิงพั่วเหลือทิ้งเอาไว้จริงๆ ด้วย เหมือนว่ามันจะหยุดอยู่ที่นี่จากนั้นก็ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้สินะ” หานลี่พูดกับตัวเองสองสามประโยค สายตาก็จับจ้องไปที่เขตอาคมที่เสียหายอันนั้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
เขาสะบัดแขนเสื้อขึ้น จากนั้นอุปกรณ์สร้างเขตอาคมเช่น ธงอาคม จานแปดเหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นมา และยังมีศิลาผลึกหลากสีขนาดเท่ากำปั้นหลายสิบอันด้วย ทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ เขตอาคมนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แบมือขึ้นจากความว่างเปล่า
เสียงดังขึ้น “ฟิ้ว” ปราณสีเขียวบางๆ ลอยออกจากปลายนิ้วของเขา จากนั้นก็เริ่มซ่อมแซมเขตอาคมและอักขระวิญญาณอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะไม่สามารถซ่อมแซมจนทำให้มันคงอยู่สภาพเดิมสิบส่วน แต่หานลี่ก็สามารถซ่อมแซมให้อยู่สภาพเจ็ดแปดส่วนได้ ซึ่งมันก็เพียงพอที่จะถ่ายเทพลังลงไปในเขตอาคมส่งตัวแห่งนี้…
หนึ่งวันต่อมา เกิดระลอกคลื่นที่น่าตกใจอยู่เหนือทะลาบเลือด อสูรกายครึ่งคนครึ่งกวางร่างสีดำ สวมเกราะสีดำ ถือดาบยักษ์สีเงินไว้ในมือ พร้อมปรากฏตัวออกมาท่ามกลางระลอกคลื่น มันยกดาบขึ้นและฟันลงมาอย่างลงแรง
เสียงดังสั่นสะเทือนไปทั่ว
ปราณสีเทาปรากฏออกมาจากดาบยักษ์สีเงิน และภายใต้ดาบเล่มนั้นก็มีลูกบอลแสงสีเขียวอ่อนโผล่ออกมา
หลังจากที่แสงสว่างสะท้อนกับดาบยักษ์เล่มนั้น ราวกับทุกสิ่งที่อยู่บริเวณนั้นพร่าเลือน และฟันโลกออกเป็นสองส่วน
พร้อมเสียงดังลั่นสะท้านโลกา
แสงสีเขียวนั้นสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นพระอาทิตย์ แสงสว่างก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ
รัศมีทำลายล้างกระจายออกไปทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง ทะเลสาบเลือดที่อยู่ด้านล่างก็ถูกบีบให้ซัดน้ำออกไปเป็นบริเวณมากกว่าร้อยลี้ จากนั้นก็ทำให้เห็นกองโครงกระดูกที่นอนก้นอยู่ด้านล่าง
“ตู้ม”
หลังจากที่กลางอากาศปรากฏประจุสายฟ้าสีเงินขนาดใหญ่ออกมา ทันใดนั้นก็มีเมฆครึ้มขึ้น จากนั้นก็เกิดฝนสีเลือดตกลงมา ปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบแห่งนี้
หลังจากที่แสงอาทิตย์สีเขียวค่อยๆ จางและหายไปในที่สุด ฝนสีเลือดก็ยังคงตกโปรยปรายอยู่
ตอนนี้พ่อมดทั้งสามกำลังกำลังยืนอยู่กลางอากาศ โดยยืนคนละทิศละทางกัน ในฝ่ามือของเขากำลังถือรูปปั้นรูปกวางที่ท่าทางแปลกประหลาดอยู่
ทั้งสามคนนั้นกำลังยืนล้อมรอบกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง ตอนนั้นเองที่ด้านบนก็มีรูช่องว่างขนาดสิบกว่าจั้งปรากฏขึ้นแล้ว
“ฮ่าๆ ดีมาก ไม่เสียแรงที่พวกเราพยายามทำลายกรงเหล็กมาขนาดนี้ ในที่สุดกรงก็พังแล้ว สหายทั้งสองยังรออะไรอยู่ล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” เมื่ออาวุโสแซ่อวี๋เห็นดังนั้น เขาก็หัวเราะเสียงดังพร้อมพูดขึ้น
จากนั้นเขาก็เก็บรูปปั้นกวางในมือลง พร้อมกลายร่างเป็นรุ้งสีเขียวพุ่งเข้าไปในกรงเหล็กทันที
ใบหน้าของผู้อาวุโสอีกสองคนก็มีความสุขอย่างมาก จากนั้นเขาก็กลายร่างเป็นแสงและบินเข้าไปทันที
หลังจากที่อสูรกายโจมตีออกไป มันก็ยืนอยู่บนกรงเหล็กนั้นเงียบๆ
ทันใดนั้นผู้เฒ่าทั้งนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้งที่ตรงหน้าโครงกระดูกครึ่งคนครึ่งม้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี และมองไปที่โครงกระดูกที่ถูกล่ามโซ่สีเลือดอย่างระมัดระวัง