คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2357 ศพปีศาจโลหิต
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2357 ศพปีศาจโลหิต
แต่ว่าเนื่องจากทั้งสามคนเป็นคนที่รอบคอบกันอยู่แล้ว จึงไม่ได้รีบพุ่งเข้าไปหาโครงกระดูกนั่นทันที แต่มองหน้ากันอยู่สักพัก จากนั้นผู้อาวุโสแซ่อู๋จึงสะบัดปลายนิ้วด้วยความระมัดระวัง มวลแสงสีดำกลุ่มหนึ่งจึงค่อยๆ ลอยออกมา
ทั้งสามคนประหลาดใจอย่างมาก เพราะเมื่อแสงสีดำเหล่านั้นไปสัมผัสโซ่สีเลือด เสียง แกร๊ก ก็ดังขึ้น จากนั้นไฟก็ลุกท่วมอย่างรุนแรง
แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที โซ่สีเลือดที่ผ่านการใช้งานอย่างยาวนานก็หายไปกลายเป็นเถ้าธุลี
แต่โครงกระดูกของใต้เท้าเทียนอูที่ลุกไหม้ท่ามกลางเปลวเพลิงกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงความเรียบเนียนดั่งเดิม
เมื่อผู้อาวุโสทั้งสามเห็นดังนั้นก็รู้สึกดีใจอย่างมาก
ผู้อาวุโสแซ่อู๋ไม่รอช้า ยกมือขึ้นมาร่ายคาถา จากนั้นไม่นานเปลวเพลิงสีดำก็หายวับไปทันที
ชายชราผู้นั้นก็มองซ้ายมองขวา พร้อมพุ่งเข้าไปหาโครงกระดูกหลังจากที่ลอบสำรวจอยู่นาน
ทันใดนั้นที่ใจกลางของโครงกระดูกนี้ก็มีเงาสีดำๆ เหมือนแผ่นหยกที่เขาเคยเห็นปรากฏขึ้น
ผู้อาวุโสอีกสองคนก็เห็นแบบนั้นเหมือนกัน จึงรู้สึกดีใจกันอย่างมาก
ตอนนี้สหายทั้งสองสามารถแยกแยะของด้านในนี้หรือไม่? หลังจากผู้อาวุโสแซ่อู๋มองไปยังเงาสีดำในกระดูกนั้นอย่างละเอียดแล้ว จึงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมา
ไม่ได้ ของที่ซ่อนอยู่ในกระดูกของใต้เท้าเทียนอูมีอะไรบางอย่างกำลังรบกวนการใช้จิตสัมผัสของข้า แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งน้อยกว่ากรงเหล็กด้านนอก แต่หากใช้จิตสัมผัสสำรวจมันเมื่อไหร่มันจะแตกกระจายออกไปได้ทุกเมื่อ ไม่มีทางเห็นหน้าตาที่แท้จริงของของสิ่งนี้ได้เลย หลังจากผู้อาวุโสแซ่อวี๋มองดูแล้ว เขาก็พูดขึ้นอย่างสังเวชใจ
จิตสัมผัสของข้ายังไม่แข็งแกร่งเท่าพวกเจ้า เมื่อสหายทั้งสองบอกไม่ได้ น้องชายเช่นข้ายิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่ ผู้อาวุโสคนสุดท้ายถอนหายใจพร้อมเอ่ยขึ้น
ช่างเถอะ ไม่ว่ามันจะเป็นของชนิดใด แต่ในเมื่อใต้เท้าเทียนอูเป็นคนทิ้งมันเอาไว้ มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสื้อคลุมนั้นแน่นอน พวกเราดึงมันออกมาตรงๆ เลยเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง หลังจากผู้อาวุโสแซ่อวี๋เลียริมฝีปาก เขาก็พูดขึ้นพร้อมยิ้มแปลกๆ
จากนั้นเขาก็ไม่รอให้สองคนนั้นตอบ แสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้น กระบี่กระดูกสีขาวเล่มบางเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น หลังจากมันสั่นอยู่สักพัก มันก็ฟาดลงไปที่เงาดำๆ อย่างรุนแรง
เสียงดัง ตู้ม เกิดขึ้น
ทันทีที่กระบี่กระดูกสีขาวสัมผัสกับโครงกระดูก พลังที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ถูกดูดหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมถูกสะท้อนกลับออกมาด้วยแรงมหาศาล
โครงกระดูกของเทียนอูแข็งแกร่งราวกับทองคำแท่ง
หลังจากพ่อมดทั้งสามเห็นดังนั้น สีหน้าท้อใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า หลังจากพวกเขามองหน้ากันไปมา ก็เห็นสีหน้าประหลาดใจออกมาจากฝ่ายตรงข้าม
แม้แต่โครงกระดูกที่ถูกทิ้งไว้ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนใต้เท้าเทียนอูตายนั้นวิชาของเขาวิเศษถึงขั้นไหน
สิ่งนี้ทำให้พ่อมดทั้งสามตั้งตารอคอยถึงเสื้อคลุมที่จะได้รับสืบทอด
ในเมื่อกระบี่กระดูกนรกใช้ไม่ได้ ดูเหมือนว่าของวิเศษระดับทั่วไปไม่มีทางใช้ได้ผล แต่หากเป็นสมบัติอื่นมันจะมีพลังรุนแรงเกินไปจนจะทำให้สมบัตินั้นโดนทำลายไปพร้อมกัน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ให้ข้าใช้วิชาลึกลับดึงมันออกมาก็แล้วกัน หลังจากผู้อาวุโสแซ่อู๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาก็พูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น
พี่อู่จะใช้วิชาเปลี่ยนผ่านหรือ? ผู้อาวุโสแซ่อวี๋ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ก็มีแค่วิชานั้นเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาความสมบูรณ์ของโครงกระดูกนี้ และยังสามารถนำของออกมาได้ด้วย ผู้อาวุโสแซ่อู๋ตอบเช่นนั้น
แต่วิชานี้จำเป็นต้องใช้พลังอย่างมาก ก่อนหน้านี้พี่อู๋ใช้ปราณไปมากแล้ว ตอนนี้ยังจะสามารถใช้วิชานั้นได้อีกหรือ? ผู้อาวุโสคนสุดท้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
วางใจเถอะ ในเมื่อข้าผู้เฒ่าพูดเช่นนั้นแล้ว ก็มั่นใจว่าจะสามารถทำได้ หากมันล้มเหลว สหายทั้งสองจะลองใช้วิธีอื่นมันก็ยังไม่สายเกินไป
เมื่อสหายอีกสองคนได้ยินอาวุโสอู๋พูดเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก
ดังนั้นจึงเห็นผู้อาวุโสแซ่อู๋หยิบโอสถสีแดงเลือดออกมาหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กลืนลงคอ พร้อมนั่งสมาธิอยู่อีกครู่หนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนอีกรอบด้วยมีแสงสีเลือดปรากฏขึ้นที่ใบหน้า ลมปราณที่อ่อนแอในตอนแรก ฟื้นสภาพขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากที่ชายชราจ้องมองเงาสีดำที่โครงกระดูก เขาก็ยกมือขึ้น สิบนิ้วเริ่มร่ายคาถาอย่างรวดเร็วและลึกลับ ในขณะเดียวกันริมฝีปากของเขาก็ร่ายคาถาออกมายาวเหยียด
ผู้อาวุโสอีกสองคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
จากนั้นเสียงร่ายคาถาก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ ปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ทะเลสาบโลหิตก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และยังคงสั่นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
ทันใดนั้นใกล้ๆ กับร่างของผู้อาวุโสอู๋ก็มีอักษรรูนสีขาวไม่ทราบชื่อปรากฏขึ้น มันสั่นไหวไปตามจังหวะของการสั่นสะเทือนด้านข้าง พร้อมส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา
คาถาที่ตรงฝ่ามือของผู้อาวุโสผู้นั้นหยุดลง ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ค่อยๆ สัมผัสไปที่เงาดำๆ ภายในโครงกระดูกนั้น ในตอนนั้นเอง อักษรรูนสีขาวที่อยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ หยุด และโปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสอู๋ยื่นมือออกมา แขนของเขาทั้งใสเหมือนผนึกแสง โปร่งแสงจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
ฉากที่น่าทึ่งก็ปรากฏขึ้น
ทันทีที่นิ้วทั้งที่โปร่งแสงของผู้อาวุโสอู๋สัมผัสกระดูก ราวกับว่าสามารถหลุดเข้าไปอยู่ในร่างนั้น เขาจึงคว้าเงาสีดำด้านในทันที
การกระทำที่ดูง่ายดายเช่นนี้ แต่กลับทำให้ผู้อาวุโสอู๋สูญเสียปราณไปอย่างมหาศาล วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาซีดขาว เหงื่อไหลโทรมกาย
ตู้ม เสียงดังขึ้น
ในที่สุดนิ้วทั้งห้าของผู้อาวุโสอู๋ก็สามารถคว้าเงาดำนั้นได้แล้ว เขาค่อยๆ หดแขนกลับคืนมา การเคลื่อนตัวดูช้ากว่าเมื่อก่อนมาก
แต่ว่าตอนนั้นเองอักษรรูนโปร่งแสงที่อยู่ด้านข้างกลับสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดเขาก็สามารถดึงนิ้วทั้งห้าออกจากกระดูกมาได้ พร้อมกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม
แทบจะในเวลาเดียวกัน อักษรรูนที่บินวนอยู่รอบๆ กลับส่งเสียงต่ำ จากนั้นตัวอักษรทั้งหมดมันก็ระเบิดตัวเองออกไป
แม้ว่าใบหน้าของอาวุโสแซ่อู๋จะเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เขาก็ยังดีใจอย่างมาก
พี่อู๋ เอามาให้พวกเราดูหน่อย ของสิ่งนี้เป็นม้วนคัมภีร์หยกที่บันทึกวิชาของเทียนอูไว้ใช่หรือไม่?
ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็มองมันอย่างดีใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ของที่อยุ่กลางฝ่ามือของเพื่อนร่วมทาง และเป็นผู้อาวุโสอวี๋ที่พูดขึ้นอย่างรีบร้อน
ผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ตอบคำถามสหายทั้งสอง หลังจากเขาสูดลมหายใจเข้า เขาก็ค่อยๆ คลายฝ่ามือออก
ทำให้เห็นป้ายหยกสีดำที่มีอักขระวิญญาณสลักไว้อย่างหนาแน่น
นี่มัน… ผู้อาวุโสอวี๋ชะงักค้าง
แต่เขายังไม่ทันจะพูดอะไร สีหน้าของผู้อาวุโสอู๋ก็เปลี่ยนไป พร้อมตะโกนกรีดร้องเสียงดังว่า แย่แล้ว เขาโยนป้ายหยกสีดำในมือขึ้นกลางอากาศทันที และล้มไปด้านหลังในเวลาเดียวกัน
ตู้ม เสียงระเบิดดังขึ้น ป้ายหยกในมือของเขาก็ระเบิดขึ้น ทันใดนั้นก็มีอักษรรูนสีดำพวยพุ่งออกมา
หลังจากอักษรพวกนั้นเลือนรางไปแล้ว มันก็ระเบิดออกมาทุกทิศทุกทางราวกับฝนตก เมื่อมันสัมผัสกับอะไรมันก็จะพยายามแทรกเข้าร่างนั้นอย่างสุดชีวิต
ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ แม้ว่าพ่อมดทั้งสามจะตกใจแต่ก็พยายามหลบอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังมีอักษรสีดำบางส่วน ที่สามารถเข้ามาในร่างกายของเขาได้
คาดไม่ถึงว่าลำแสงวิญญาณปกป้องร่างกายจะใช้ไม่ได้ผลเลย
ชายชรารูปร่างผอมทั้งสามตกใจอย่างมาก เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา สมบัติหลายชิ้นก็ลอยออกมาจากร่างกาย จากนั้นก็มีเสียงคำรามเบาๆ พร้อมเปลวเพลิงสีดำปรากฏตัวขึ้น
แต่ไม่ว่าพ่อมดทั้งสามจะใช้วิชาแบบใด ก็ยังได้ยินเสียง กุกกัก ตอนนั้นเขาพลิกตัวแล้วหล่นมาจากกลางท้องฟ้า แล้วหล่นเข้าที่โครงกระดูกนั้น
ในตอนนั้นเองพ่อมดทั้งสาม ไม่ว่าจะบนใบหน้าหรือแขนขา ต่างมีเสีนไหมสีดำปรากฏขึ้นอยู่ทั่วร่างกาย
ชายชราผอมแห้งทั้งสามรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นกายหยาบหรือปราณแท้ ล้วนเป็นอัมพาตทั้งหมด ไม่สามารถขยับร่างกายได้ หรือแม้แต่จิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดที่ซ่อนไว้ลึกที่สุดก็ยังไม่สามารถขยับได้เช่นกัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาตกใจและโกรธอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง โครงกระดูกครึ่งคนครึ่งม้าที่กองอยู่ใกล้ๆ บนร่างกายของเขาก็โดนตัวอักษรสีดำด้วยเช่นกัน ทำให้โครงกระดูกนั้นมีแต่รอยไหมสีดำปรากฏขึ้น มองผ่านๆ เหมือนร่างทั้งร่างถูกย้อมด้วยสีดำ
ดวงตาลึกโบ๋ของหัวกะโหลกนั้น ก็มีแสงสีเขียวปรากฏขึ้น จากนั้นมันก็หมุนไปหมุนมาสักพัก พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงสองดวงที่โหมกระหน่ำขึ้น
ในขณะเดียวกัน ร่างกายที่ใหญ่โตก็มีแสงสีเลือดสว่างขึ้น จากนั้นก็มีม่านแสงสีเลือดปรากฏขึ้นบางๆ หลังจากที่มันรวมกลุ่มควบแน่นกันแล้ว ก็กลายเป็นเส้นเลือดจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน พร้อมพุ่งเข้าไปในร่างของเขา
วินาทีถัดมา ก็มีเสียงดัง ฟิ้วๆ มาจากโครงกระดูก เส้นเลือดดำแดงพัวพันโรมรันกันอย่างกับพวกมันเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พวกมันกลืนกินกันและกันอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนั้นเอง รัศมีลำแสงสีดำแดงปรากฏขึ้นจากโครงกระดูกจนทำให้แสบตา
ศพปีศาจ มันคือการกลายร่างของศพปีศาจโลหิต เมื่อกี้ไม่ใช่เสื้อคลุมของใต้เท้าเทียนอู แต่เป็นอรหันต์เทียนติ่งที่ลงอักขระต้องห้ามไว้สำหรับทำให้คนหวาดกลัวศพ ผู้อาวุโสคนสุดท้ายที่เห็นแบบนั้น ใบหน้าของเขาก็ซีดขาว พร้อมกรีดร้องออกมาเสียงดัง
ชายชราอีกสองคนก็ตกใจเช่นกัน อีกทั้งเขาพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อปรับสมดุลปราณแท้ แต่น่าเสียดายที่ไหมสีดำเหล่านี้ฝังลึกลงไปในเส้นชีพจรแล้ว จึงทำให้วิชาลึกลับทั้งหมดใช้ไม่ได้ผล
เมื่อเห็นดังนั้นผู้อาวุโสทั้งสามก็หน้าซีด
ปรี๊ด เสียงร้องแปลกๆ ก็ดังขึ้น นั่นเป็นเสียงร้องที่ดังออกมาจากปากของโครงกระดูก จากนั้นเปลวเพลิงสีเขียวที่อยู่ในเบ้าตาก็เกิดแสงวูบวาบ โครงกระดูกที่นั่งนิ่งๆ มาตลอดก็เกิดสั่นกึกๆ ขึ้นในขณะเดียวกันเส้นเลือดก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากนั้นมันก็ค่อยๆ ฉีกเส้นไหมสีดำออก พร้อมกลืนมันเข้าไปในร่างกาย
พริบตาเดียว เส้นไหมสีดำและกล้ามเนื้อก็หายไปในชั่วพริบตาแล้ว โครงกระดูกที่ไม่เคยขยับมานาน จู่ๆ มันก็ยกแขนขึ้น ยันตนเองให้ลุกขึ้นมานั่ง ด้วยร่างกายอันใหญ่โต ขยับทีหนึ่งมันก็สั่นสะเทือนไปทั้งหมด
ตอนนั้นเองวิญญาณของผู้เฒ่าทั้งสามได้หลุดออกจากร่างแล้ว
หากเป็นเวลาปกติ แม้ว่าศพปีศาจนี้จะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ถ้าพวกเขาทั้งสามคนรวมพลังกันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันคือเขาเป็นเนื้อปลาที่วางอยู่บนเขียงคนอื่น มันจึงแตกต่างกันมาก
ตอนนี้โครงกระดูกของเทียนอูกลายเป็นศพปีศาจโลหิตดั่งคำสาปต้องห้ามที่อรหันต์เทียนติ่งวางไว้ในโครงกระดูกของอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสามคนรู้สึกถึงความสิ้นหวังขึ้นพร้อมกัน
หลังจากเห็นผู้อาวุโสอวี๋และอาวุโสอู๋กรีดร้องขึ้น ทันใดนั้นเองกะโหลกศีรษะก็ระเบิด และจางหายไปในหมอก
เมื่อผู้อาวุโสคนสุดท้ายเห็นดังนั้น แววตาทั้งสองมีแสงสีเขียวปรากฏขึ้น ผิวหนังมีอักขระวิญญาณสีเขียวปรากฏขึ้น จากนั้นก็มีกิ่งก้านใบพวยพุ่งออกมาจากร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเขาก็กลายร่างเป็นต้นไม้ยักษ์ที่มีขนาดสูงมากกว่าสิบจั้ง