คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2358 ทิ้งชื่อ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2358 ทิ้งชื่อ
ทางด้านชายที่กลายร่างเป็นต้นไม้ ก็รีบฟื้นพลังกลับมาทันทีแขนขาทั้งสี่ส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายสั่นไหวรุนแรง เส้นสีดำที่อยู่ในร่างต้นไม้ถูกอัดกระแทกออกมา จากนั้นเขาก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกมา กลุ่มหมอกอยู่ใต้ฝ่าเท้า พร้อมทะยานขึ้นฟ้า
“ฟิ้วๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น เดิมทีเหมือนว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของโครงกระดูกเทียนอู แขนทั้งสองข้างของเขาขยับและพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่ตาเนื้อยากจะมองตามทัน ทันใดนั้นเองเส้นเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ และคลุมลงมาทั้งหมด
ต้นไม้ที่บินหนีไปเมื่อครู่ ก็หยุดชะงัก และระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ระหว่างที่เกิดระเบิดมีปราณสีเขียวปรากฏขึ้น จากนั้นก็ควบแน่นเป็นเงาสีเขียว พริบตาเดียวก็เพิ่มจำนวนเป็นยี่สิบกว่าตัว จากนั้นไม่นานเขาก็ตามคนที่อยู่ด้านหน้าทันแล้ว
ในตอนนั้นเองเปลวเพลิงในดวงตาของโครงกระดูกยักษ์ก็สว่างวาบขึ้น พร้อมอ้าปาก และพ่นรัศมีเลือดที่แวววาวเหนือธรรมดาออกมา
เงาสีเขียวรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่อยู่รอบๆ ด้านหลังมีเงาที่ยากจะจินตนาการถึงพลังได้ปรากฏขึ้นมา ขอเพียงแค่เขากรีดร้องออกมา ก็จะโดนรัศมีสีเลือดจับตัวเข้าไป แต่ชั่วครู่ต่อมาเขาก็ถูกจับไปไว้ในปากของโครงกระดูกอย่างไร้การขัดขืน จากนั้นมันก็ทำการเคี้ยวอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างวาบ
จิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดของผู้อาวุโสอวี๋แล้วอาวุโสอู๋ ก็ใช้โอกาสนี้หนีออกจากกรงเหล็ก แต่หลังจากที่เขากวาดสายตาไป เขาก็เห็นชายชราคนสุดท้ายกำลังล้มลง
เขาตกใจและโมโหขึ้นมาโดยทันที
ผู้อาวุโสแซ่อวี๋กรีดร้องเสียงดัง เขาใช้มือของร่างจิตวิญญาณก่อกำเนิดถูกันไปมา จนกำลังเกิดเปลวเพลิงสีดำที่ด้านหลัง หลังจากที่ลมพัดวูบ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นแมงป่องยักษ์ตัวสีดำ
สองมือของจิตวิญญาณก่อกำเนิดร่ายคาถาอีกครั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้แมงป่องตัวนั้นพุ่งเข้าไปในกรงเหล็ก
แต่ตอนนั้นกลับมีเสียงดัง “ตู้ม” จิตวิญญาณก่อกำเนิดของผู้อาวุโสอวี๋คว้ามือของผู้อาวุโสอู๋ไว้
“การโจมตีครั้งนี้มันเปล่าประโยชน์ พวกเราสูญเสียกายเนื้อไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ยังสูญเสียปราณไปจำนวนมาก เราไม่มีทางสู้กับศพปีศาจโลหิตตัวนี้ได้ ใช้ช่วงเวลานี้ฟื้นพลังและรีบหนีก่อนดีกว่า ชีวิตเราสำคัญที่สุด ไม่เช่นนั้นพวกเราสามคนต้องทิ้งชื่อไว้ที่นี่แล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง
กรงเหล็กด้านล่างก็มีเสียงดังเกิดขึ้น หลังจากนั้นโครงกระดูกยักษ์ขยับขา พื้นดินด้านล่างก็สั่นไหว ดวงตาที่เป็นเปลวเพลิงสองลูกกำลังมองมาที่จิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดสองตนที่ยืนอยู่นอกกรงเหล็ก
ในตอนนั้นไหมสีดำที่โครงกระดูกกลืนเข้าไป เหลือเพียงส่วนของต้นขาเท่านั้นที่ยังไม่ได้กลืน พวกมันกำลังต่อสู้กับเส้นเลือดสีแดงอย่างดุเดือด
หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองสัมผัสสายตาจากโครงกระดูกได้ พวกเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ได้ ข้าจะฟังพี่อู๋ พวกเราไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋กัดฟันกร๊อด แมงป่องยักษ์ที่อยู่ด้านหลังสลายตัวไปทันที จากนั้นเขาก็พูดอย่างไม่เต็มใจ
“แบบนี้แหละถูกแล้ว ตราบใดที่ยังมีป่า เราไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน ขอเพียงแค่พวกเรารอด ไม่ต้องกลัวว่าจะมาล้างแค้นไม่ได้” ผู้อาวุโสแซ่อู๋ถอนหายใจ
“โฮก”
โครงกระดูกที่อยู่ในกรงเหล็ก ส่งเสียงคำรามน่าขนหัวลุก หลังจากที่มันสะบัดขาอีกขาหนึ่งแล้ว มันก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรง
“ไป”
ครั้งนี้ผู้อาวุโสทั้งสองไม่กล้าชักช้ายืนที่เดิมอีกต่อไปแล้ว เขากลับหันหลังพร้อมกลายร่างเป็นสายรุ้งสีเขียวและขาว พร้อมจากมาทันที
ทันใดนั้นมีการสั่นสะเทือนติดต่อกันมากกว่าสิบครั้ง ผู้อาวุโสทั้งสองมุ่งหน้ามาถึงริมชายฝั่งของทะเลสาบเลือดแล้ว เขาต้องใช้คาถาอีกครั้ง เพื่อจะได้หนีออกจากที่นี่อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ จู่ๆ ด้านหน้าก็มีเสียงคำรามดังขึ้น รัศมีเลือดก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว
ผู้อาวุโสทั้งสองคนตกใจอย่างมาก และชะงักไป กลายเป็นร่างก่อกำเนิดจิตวิญญาณพร้อมมองหน้ากันไปมาอีกครั้ง เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา ด้านหลังของเขาปรากฏเปลวเพลิงสีดำ ส่วนผู้อาวุโสอีกคนก็อ้าปากคาย ระฆังอันเล็กสีเขียว และโล่กระดูกสีขาวออกมา
รัศมีลำแสงสีเลือดมองดีๆ เหมือนอยู่ไกล แต่หลังจากที่มันพร่าเบลออยู่ครู่หนึ่ง มันก็มาอยู่ข้างหน้าพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ลำแสงสีเลือดสว่างวาบขึ้น ก็มีชายหนุ่มหน้าตาคล้ายกันห้าคนปรากฏตัวขึ้นมา
“เบญจโลหิต” ผู้อาวุโสแซ่อู่ตกใจอย่างมาก เขาเรียกชื่อของคนฝ่ายตรงข้ามออกมาอย่างตกใจ
“สหายทั้งห้าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ หรือว่าพวกเราแอบตามพวกเราพี่น้องมาโดยตลอด อยากใช้ประโยชน์จากพวกเราหรือ” จิตวิญญาณก่อกำเนิดของผู้อาวุโสอวี๋ถามขึ้นมาด้วยเสียงมืดครึ้ม
คนทั้งห้ายืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน ราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของผู้อาวุโสทั้งสอง
เรื่องนี้ทำให้พวกเขาตกใจอย่างมาก
สายตาของผู้อาวุโสอวี๋เต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นจึงสำรวจเบญจโลหิตอย่างละเอียด ในที่สุดเขาก็พบว่าคนเหล่านี้ไม่เหมือนกับที่พวกเขาเคยเจอ
เบญจโลหิตกลุ่มนี้มีดวงตาสีแดงก่ำ ในขณะเดียวกันผิวที่เคยมันวาวก็แห้งกร้านเล็กน้อย และมีกลิ่นเหม็นจางๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยได้กลิ่น
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็นึกได้ จนทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที
หลังจากผู้อาวุโสอู๋ค้นพบสิ่งผิดปกติ เขาก็มองไปยังผู้อาวุโสอวี๋ พวกเขาทั้งคู่สองคนหนีทันที เพื่อเป็นการเว้นระยะห่างกับเบญจโลหิตทั้งห้า
“พวกท่านสองคนจะไปที่ไหนกันหรือ? ในเมื่อกายเนื้อของพวกท่านดับสูญไปแล้ว ท่านก็มอบจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดให้ข้ากินสักหน่อยสิ ข้าจะเพิ่มพลังขึ้นอีกเท่าตัว” จู่ๆ เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นมาจากความว่างเปล่าในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นก็มีแสงสีเลือดสว่างวาบขึ้น ด้านบนของเบญจโลหิตก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น จากนั้นก็มีเงาสีเลือดปรากฏขึ้น
“ข้าน้อยกินจุกมาก ข้าคิดว่าแค่จิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดก็สามารถแก้ขัดไปได้” เมื่อผู้อาวุโสแซ่อวี่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกโมโหอย่างมาก
“ด้วยตัวข้าเพียงคนเดียว แม้แต่ปราณจะเหลือน้อย แต่ว่ามีหุ่นเชิดโลหิตทั้งห้าตัว เรื่องจับท่านนั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก” เงาโลหิตนั้นหัวเราะอย่างมืดมน จากนั้นเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา ความว่างเปล่าที่อยู่รอบๆ ก็มีเสียง “ครืนๆ” ดังออกมา เมฆสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏออกมา อย่างที่ตอนแรกไม่มีวี่แววมาเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นเองเบญจโลหิตทั้งห้าก็ได้ล้อมตัวผู้อาวุโสทั้งสองเอาไว้แล้ว ทันใดนั้นเงาโลหิตก็หัวเราะขึ้นอย่างลึกลับ ทันทีที่มันขยับ มันก็กลายร่างเป็นสายรุ้งบินตรงเข้ามา
เบญจโลหิตทั้งห้าก็ลงมือพร้อมกัน ทุกคนปล่อยลำแสงกระบี่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ภายใต้การควบคุม พวกมันก็ตรงเข้าทำร้ายผู้อาวุโสทั้งสองอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อชายชราทั้งสองเห็นดังนั้น แม้ว่าเขาจะทั้งโกรธแค้นทั้งหวาดกลัว แต่เขาก็กระตุ้นของวิเศษขึ้นมาป้องกันตนเอง ภายในชั่วพริบตาเขาก็ล้มลง แววตาสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พวกเขาสูญเสียกายเนื้อไปแล้ว ไม่มีทางยืนหยัดได้นาน เกรงว่าจะโดนจับในทันที
ในที่สุดก็เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
หลังจากผ่านมาไม่นาน เงามนุษย์สีเลือดก็โยนสมบัติชิ้นใหม่ในมือเล่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ม่านแสงสีเลือดเข้มกว่าเดิมสามส่วน
“ฟิ้ว” เสียงแปลกๆ ดังขึ้นจากใจกลางของทะเลสาบเลือด
“ศพปีศาจโลหิต! หึๆ คาดไม่ถึงเลยว่าต้นหลิวที่ไม่ได้ตั้งใจปลูกจะให้ร่มเงาเช่นนี้ เดิมทีข้าต้องการเพียงแค่เสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่ง แต่กลับได้เจอศพปีศาจโลหิต แล้วยังเป็นศพที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มหาเมธีอีกด้วย ขอเพียงแค่หลอมศพนี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ครั้งใดข้าก็จะไร้พ่ายแน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ” หลังจากเงาสีเลือดพูดกับตนเองอยู่หลายประโยค เขาก็มองไปตามทางของเสียงประหลาดนั้น แววตากลับดุร้ายมากขึ้น เขาเก็บสมบัติที่อยู่ในมือลง
พร้อมสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง แสงสีเลือดก็พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเบญจโลหิตก็ถูกเก็บเข้ามิติ จากนั้นเขาก็กลายเป็นรัศมีลำแสงแล้วตรงเข้าไปในใจกลางของทะเลสาบเลือด
ตอนนั้นเองกลางกรงเหล็กขนาดใหญ่ โครงกระดูกของเทียนอู ก็กลายเป็นศพปีศาจโลหิตอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เขาได้กินเส้นสีดำจนเกลี้ยงแล้ว ในที่สุดร่างอันใหญ่โตก็ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างมั่นคง
เขามองเห็นรัศมีลำแสงสีเลือดจากที่ไกลๆ ศพตนนั้นก็คำรามขึ้นมาอีกครั้ง แววตาดูดุร้ายมากขึ้น และบินออกจากกรงเหล็กทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เหนือทะเลสาบสีเลือดก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
…
“ในที่สุดก็ซ่อมเสร็จแล้ว น่าจะสามารถรองรับการส่งตัวได้สักสองสามรอบ” หานลี่มองไปยังวงแหวนเวทย์ขนาดเล็กที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ
เวลาก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เขาไม่เพียงเอาอุปกรณ์ที่ติดตัวมาซ่อมเขตอาคมแห่งนี้ แต่ยังเปลี่ยนแปลงมันเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งตัว
เขาใช้มือหนึ่งร่ายอาคม เมื่อเห็นว่าเขตอาคมสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น เขาก็เดินเข้าไปในวงแหวนอย่างไม่ลังเล
หลังจากม่านแสงสีขาวสว่างวาบขึ้น เขาก็หายไปจากเขตอาคมอย่างไร้ร่องรอย
วินาทีถัดมา หานลี่ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองอยู่กลางอากาศที่รอบข้างดำสนิท
“ที่นี่คือ…”
นัยน์ตาของหานลี่มีประกายแสงสีฟ้า พลังเนตรวิญญาณเปิดใช้งานทันที ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นสิ่งของรอบข้างได้อย่างชัดเจน
ในตอนนี้เขาเห็นเพียงตัวเขาอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ที่บริเวณใกล้เคียงมีต้นสนอยู่หลายสิบต้น ใต้เท้าของเขามีวงแหวนของเขตอาคมส่งตัวปรากฏอยู่
ห่างออกไปเล็กน้อยมียอดเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ราวกับว่าตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางหุบเขา
หานลี่มองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ เขาสะบัดชายเสื้อ พร้อมส่งกระบี่บินสีเขียวออกไป หลังจากที่มันสัมผัสกับลม มันก็ขยายตัวมากกว่าร้อยจั้ง แล้วพุ่งขึ้นไปกลางท้องฟ้า ราวกับว่ากำลังร่ายรำอยู่
“ตัด”
หานลี่ออกคำสั่งเบาๆ
ทันใดนั้นกระบี่เล่มยักษ์ก็ส่งเสียงร้อง และฟาดฟันทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ
เมื่อปราณกระบี่สีเขียวจางหายไป ความมืดมิดก็ถูกตัดขาดทั้งหมด
ทิวทัศน์ภูเขารอบข้างดูบิดเบี้ยวไป พริบตาเดียวจากภาพมายาก็กลายเป็นกำแพงหินสีขาวสูงหลายสิบจั้ง รอบข้างมีภูเขาลูกน้อยใหญ่เชื่อมต่อกัน จากนั้นก็มีต้นไม้ล้อมกันอย่างแน่นขนัด
บริเวณใกล้เคียงกับที่เขายืนอยู่จะเป็นลานขนาดใหญ่
หลังจากหานลี่หรี่ตาสำรวจกำแพงสีขาวที่อยู่ห่างออกไปแล้ว ความแปลกใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จู่ๆ เขาก็กลับหลังหัน พร้อมพูดกับต้นไม้ยักษ์บนยอดเขาเบาๆ ว่า
“สหายแอบอยู่ที่นี่นานแล้วนะ ควรจะออกมาเจอผู้น้อยแซ่หานได้แล้วล่ะมั้ง หรือจะให้ข้าต้องเชิญเจ้าออกมา”