คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2368 ลิ่วอี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2368 ลิ่วอี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ปึงปังปัง”! เสียงดังเลื่อนลั่นออกมา
ด้านหน้าของกายชายหนุ่มสิบจั้ง ชั้นของผลึกกำแพงขนาดใหญ่ส่องประกายเจ็ดสีแล้วปรากฏออกมาจากอากาศ
แสงตะวันแผดเผาของลูกบอลอัสนีตกกระทบลงด้านบนด้วยเสียงผิวปาก ชั่วขณะนั้นโค้งสีฟ้านับไม่ถ้วนก็พัวพันกันไปมา แสงตะวันจากหลายสิบกลุ่มก้อนปะทุออกมา กลายเป็นพลังขนาดมหึมาพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า ราวกับว่าจะฉีกทุกอย่างออกจากกันแล้วกลืนกินมันลงไปอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ ผลึกกำแพงเจ็ดสีนอกจากส่องแสงออกมาเล็กน้อยแล้ว เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวก็สามารถจัดการทุกอย่างได้ และไม่อาจส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ด้านหลังได้แม้แต่น้อย
กลับกันในเวลานี้ ทั่วทั้งท้องฟ้าก็มืดลงในทันที มือผลึกแก้วใสยักษ์โผล่ออกมาจากกลางอากาศในทันที
ร่างกายของฝ่ามือยักษ์นั้นเรียบเนียนโปร่งแสง บนผิวกายปรากฏอักษรรูนนับไม่ถ้วนไหลออกมาไม่หยุดหย่อน หลังจากที่นิ้วมือทั้งห้าคว้าออกไปแล้ว ทั่วทั้งท้องฟ้าก็สั่นไหวขึ้นมา ก็ถูกพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ห่อหุ้มเอาไว้
“ปัง” ดังออกมา
ตรงที่แห่งหนึ่งไกลออกไปนับพันจั้ง หลังจากที่สั่นไหวเข้าด้วยกันแล้ว ปราณก่อกำเนิดของชายร่างใหญ่กำยำก็โผล่ออกมาจากกลางอากาศ
ปราณก่อกำเนิดที่แต่เดิมหลบหนีไปได้ไกลถึงเพียงนี้แล้ว จู่ๆ ก็ถูกพลังอันแข็งแกร่งเมื่อครู่นี้ขัดขวางการเคลื่อนไหวจนถูกผลักออกมาจากกลางอากาศ
และเมื่อปรากฏออกมาในร่างของปราณก่อกำเนิดแล้ว ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจกรุ่นโกรธ ยังไม่ทันได้คิดจะร่ายคาถาเพื่อเข้าสู่กลางอากาศอีกครั้ง หลังจากที่ฝ่ามือใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นพร่ามัวไปแล้ว เพียงแค่พริบตาก็โผล่มาถึงบริเวณศีรษะของปราณก่อกำเนิดนั้นอย่างแปลกประหลาด นิ้วมือขนาดใหญ่ราวกับเสาสูงระฟ้าเพียงแค่ขยับเบาๆ เท่านั้น
เสียง “ปัง” ดังออกมา ปราณก่อกำเนิดนี้แม้แต่ส่งเสียงออกมาก็ไม่ทันได้ส่งเสียงก็ระเบิดออกมา เพราะแม้แต่พลังของนิ้วมือเดียวเขาก็ทนรับมันไม่ได้
ฝ่ามือใหญ่นี้ก็นำเอาปราณก่อกำเนิดนี้กลายเป็นลำแสงวิญญาณแล้วดูดเข้าไป จากนั้นก็สลายไปกับสายลมด้วยความยินดี
ชายหนุ่มชุดดำโบกมือข้างหนึ่งออกมาอีกครั้ง ผลึกกำแพงด้านหน้าก็แตกสลายหายไป แต่ที่แปลกก็คือ ก็จากไปโดยที่ไม่ได้ฝังร่างเอาไว้ใต้แม่น้ำโลหิต กลับหมุนกายออกไป แล้วเหลือบมองไปอีกด้านหนึ่งจากนั้นก็เอ่ยออกมาเบาๆ
“ฉากนี้ดูมานานถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้าสองคนเองก็ควรจะออกมาได้แล้ว”
แต่ทิศทางนั้นยังคงเงียบสงบอยู่ ไม่มีแม้แต่ความผิดปกติใดเกิดขึ้น
“หืม เหล้าคารวะไม่ดื่มจะดื่มเหล้าปรับโทษ!”
ชายหนุ่มชุดดำเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้แล้ว คิ้วทั้งสองก็ขมวดขึ้นมา นิ้วมือข้างหนึ่งชี้ออกไปตามแต่ใจชอบ
บนท้องฟ้าปรากฏลำแสงสีแดงออกมา ประจุสายฟ้าสีแดงก็ฟาดลงมา ลำแสงสายฟ้ากะพริบวาบ พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณใกล้เคียงนั้นสั่นไหวขึ้น
“เจ้ารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี้” น้ำเสียงประหลาดใจดังออกมาจากพื้นที่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
ตามมาด้วยผลึกใสเย็นเยียบเปล่งลำแสงวาบออกมา ชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏตัวออกมาทีละคน
ทั้งสองคนนั้นแต่งกายด้วยชุดขาว เพียงแต่ว่าใบหน้าทั้งสองด้านของชายหนุ่มคนนั้นกลับถูกประทับเอาไว้ด้วยอักขระวิญญาณสีทองสีเงิน ใบหน้าดูคล้ายคลึงกับหานลี่อยู่เล็กน้อย
หญิงสาวนั้นกลับงดงามมีเสน่ห์ ผิวขาวใสราวกับผลึกหิมะ ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความเย็นชาอย่างหาที่เปรียบได้
ทั้งสองคนนี้ก็คือตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกที่แปลงมาเป็นชายชุดขาวและปิงเฝิงที่ถูกบังคับร่วมทางมาด้วยกันนั่นเอง
พวกเขาแต่เดิมนั้นควรจะไกลออกไปจากแผ่นดินใหญ่อัสนี แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้มายังแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดนี้ได้
“อาศัยแค่อิทธิฤทธิ์ที่หลบซ่อนอยู่เพียงแค่นี้คิดจะปิดบังหูตาของข้า ไม่คิดว่าประเมินข้าต่ำเกินไปหรือ พวกเจ้าทั้งสองมีอะไรถึงได้มาหาข้ากัน อีกทั้งต่างก็เป็นสัตว์วิญญาณที่มีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ธาตุน้ำแข็ง ต่อให้เป็นแดนเซียนเองก็ยากที่จะพบได้ ดีที่วันนี้อารมณ์ของข้าไม่เลวนัก สามารถละเว้นความตายให้พวกเจ้าได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทั้งสองคอยติดตามอยู่ข้างกายข้า มาเป็นทาสวิญญาณของข้า ข้ามายังแดนเบื้องล่างในครั้งนี้ ข้างกายขาดคนวิ่งทำธุระให้พอดี” ชายหนุ่มหลังจากที่เหลือบมองทั้งสองแล้ว แววตาเปล่งประกายแปลกๆ วาบออกมา แต่ก็ยังคงเอ่ยสั่งออกมาน้ำเสียงเรียบเฉย
“แดนเซียน ทาสวิญญาณ ท่านเป็นเซียนแท้จากแดนเบื้องบน ไม่มีทางเป็นไปได้ ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ดินแดนต่างๆ ต่างก็ขาดการติดต่อจากแดนเซียนแท้ไปแล้ว แล้วจะมีเซียนแท้ลงมายังแดนเบื้องล่างนี้ได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มที่แปลงกายมาจากตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีก ถึงแม้ว่าจิตใจของเขาจะมืดดำ แต่เมื่อได้ยินคำของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็อดไม่ได้ที่น้ำเสียงจะขาดหายไป
ปิงเฝิงเมื่อได้ยินแล้วใบหน้าราวหยกก็เปลี่ยนไป สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
“หืม ดินแดนทั้งหมด? ที่สูญเสียการติดต่อกันไปจริงๆ แล้วมีเพียงแค่กลุ่มดินแดนเล็ก ๆ ของพวกเจ้าก็เท่านั้น และไม่ใช่ว่าแดนเซียนแท้ไม่อาจจะติดต่อกับกลุ่มดินแดนของพวกเจ้าได้ใหม่อีกครั้ง เพียงแต่ต้องจ่ายราคากับมันมากเกินไป เจ้าพวกนั้นไม่มีทางยอมทำเรื่องที่ไม่คุ้มกับการสูญเสียเช่นนี้ก็เท่านั้น” ชายหนุ่มชุดดำพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
ตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจก็แอบหวาดกลัวขึ้นมา บวกกับก่อนหน้านั้นที่เห็นอีกฝ่ายฆ่ามหายานที่มีอิทธิฤทธิ์น่าหวาดกลัวทั้งสามอย่างง่ายดายแล้ว เกินกว่าครึ่งจึงเชื่อว่าอีกฝ่ายนั้นมีสถานะเป็นเซียนที่แท้จริง
แต่ว่าหากให้เขากลายเป็นจำพวกสัตว์อสูร “สัตว์เลี้ยงวิญญาณ” ของอีกฝ่ายอีกครั้งแล้ว เกรงว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะใหญ่โตถึงเพียงไหน ก็ไม่มีทางที่จะตอบรับเป็นแน่
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าได้คิดอีกสิบลมหายใจ หากว่าไม่ตกลงแล้วละก็ เฮ่อเฮ่อ…” เมื่อเห็นสีหน้าของตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกดูมืดมนไป ชายหนุ่มชุดดำกลับส่งเสียงหัวเราะเฮ่อเฮ่อแล้วเอ่ยคำข่มขู่ออกมา
“ไม่จำต้องรอถึงสิบลมหายใจ ข้าตอนนี้ก็ให้คำตอบกับท่านได้ เป็นทาสวิญญาณของท่าน! อย่าฝันกลางวันไปเลย และต่อให้ท่านตอนนี้จะคุกเข่าแล้วโขกหัวให้ข้าสามครั้ง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่น้อย” ชายหนุ่มที่แปลงกายมาจากตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกเมื่อได้ยินเข้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าจู่ๆ ก็เอ่ยออกมาอย่างประชดประชัน
“เจ้าว่าอะไรนะ กล้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ” ชายหนุ่มชุดดำเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความกรุ่นโกรธ ขณะเดียวกันไอสังหารก็ระเบิดออกมาจากกายของเขา พุ่งตัวออกไปทั่วทุกทิศทาง
พื้นที่ว่างเปล่าใกล้เคียงที่ไอสังหารแผ่ไปถึงแล้วนั้น ต่างก็พากันบิดเบี้ยวพร่ามัว แล้วมีร่องรอยสีขาวโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ราวกับว่าพื้นที่บริเวณนี้ถูกฉีกออกอย่างไรอย่างนั้น
ตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกเมื่อเห็นเข้า ก็ขยับแขนขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยอันใดออกมา ก็ชกเข้าที่หน้าอกอย่างแรง ทันใดนั้นกลุ่มก้อนเลือดสีฟ้าและลูกปัดผลึกใสก็พุ่งออกมา
ลูกปัดผลึกใสนี้เมื่อลอยออกมาแล้ว กลายเป็นลำแสงแล้วม้วนตัวออกมาในทันที จากนั้นกลายเป็นผลึกปีกใสคู่หนึ่ง หลังจากที่กะพริบวาบขึ้นมาก็ติดเข้ากับหลังของเขาในทันที
และในเวลาเดียวกันนี้ แขนเสื้อของตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกสั่นไหวขึ้น แล้วม้วนเอาปิงเฝิงที่อยู่ด้านข้างนั้นเข้ามาอยู่ด้านใน หลังจากที่กลิ้งออกไปแล้ว จากนั้นก็คืนกลับเป็นร่างเดิมของตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกในทันที
เพียงแต่ว่าบนหลังนั้นไม่ได้มีเพียงปีกแค่สามคู่ แต่ยังมีปีกผลึกใสคู่ที่สี่ที่เกิดจากลูกปัดผลึกใสที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศอีกด้วย
ตะขาบเกล็ดน้ำค้างขาวราวหิมะขยับปีกทั้งแปด จากนั้นเสียง “สวบ” ก็ดังออกมา กลายเป็นเส้นสีขาวพุ่งออกมาจากตรงจุดเดิม หลังจากที่สว่างวาบขึ้นมาแล้ว ก็หายออกไปจากกลางอากาศเหลือเพียงแค่เสียง “ปังปัง” ดังขึ้นมา แล้วลอยมาจากที่ไกลๆ
วิชาหลีกหนีอันน่าตกใจผู้คนเช่นนี้ รูม่านตาของชายหนุ่มชุดดำเองก็อดไม่ได้ที่จะหดลง แต่ว่าเพียงแค่ครู่เดียวก็กลับคืนกลับเช่นดั่งเดิมแล้วเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง
“ยังโง่เง่าอยู่เช่นเดิม คิดว่าอาศัยเพียงแค่วิชาหลีกหนีนี้ก็สามารถหนีพ้นจากเงื้อมมือของข้าได้อย่างนั้นหรือ”
หลังจากที่พูดจบ แม่น้ำโลหิตใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มชุดดำก็ม้วนตัวขึ้น จู่ๆ ก็พุ่งเข้าหากายเขาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่หายใจเข้าเพียงไม่นาน ทั้งหมดก็เข้าสู่กายเขาโดยไม่เหลือแม้เพียงหยดเดียว
เพียงพริบตาเดียว พลังที่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ก็ระเบิดออกมาจากกายของเขา
แขนเสื้อของชายหนุ่มชุดดำสั่นไหวขึ้น จากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่างไล่ตามไป
แต่ว่าในขณะนั้น จู่ๆ ก็เกิดเสียง “ปัง” ลอยออกมา อักษรรูนสีม่วงนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาล้อมรอบกายของชายหนุ่มเอาไว้ หลังจากที่หมุนวนไปมาอยู่นั้น จากนั้นก็กลายเป็นตัวล็อคสีทองกระโจนเข้าหากายเขา
ใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำเปลี่ยนไป แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่หลบเลี่ยง
เสียงสายฟ้าฟาดลงมา!
บนกายของเขาเต็มไปด้วยชั้นของลำแสงสีม่วงทองพัวพันกันไปมา หลังจากที่กายของเขาสั่นไหวแล้ว พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ปล่อยออกมาในตอนต้นนั้นก็สลายหายไปกับกลางอากาศนั้น
ขณะเดียวกันสีหน้าของชายหนุ่มชุดดำก็ยิ่งซีดขาวขึ้น กลุ่มโลหิตสีเงินอ่อนพุ่งออกมาจากปากของเขา ลำแสงสีม่วงทองพร่ามัวแล้วจางหายไป
จากนั้น เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองลึกไปยังทิศทางที่ตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกหลบหนีไป แล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองออกมาเบาๆ สองสามประโยค
“ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ดินแดนเล็ก แต่ว่าการผนึกของพลังทั้งดินแดนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะเผชิญหน้าได้ด้วย แต่ว่าต่อให้ใช้พลังยุทธ์และอิทธิฤทธิ์ได้เพียงแค่สามส่วน เจ้าสัตว์วิญญาณทั้งสองของแดนเบื้องล่างนี้คิดจะหนีจากกำมือของข้าไปก็อย่าได้คิดฝันไป อย่างไรก็ตามการสังเวยโลหิตครั้งนี้คงต้องห่างออกไปอีกนานหลายเดือน อาศัยช่วงเวลานี้ เล่นกับพวกเจ้าทั้งสองเสียหน่อยก็ดี หวังว่าของเล่นทั้งสองนี้คงจะหลบหนีกันได้ไม่เลว ให้ข้าได้เล่นสนุกให้สบายอกสบายใจสักระยะหนึ่งเถอะ”
ชายหนุ่มชุดดำเมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายแล้ว น้ำเสียงก็ดูเย็นชาขึ้นมา ตามมาด้วยเขาสะบัดแขนเสื้อขึ้น เมฆมงคลเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา แล้วนำเขาทะลุอากาศตามออกไป
เขาไม่ได้ตามติดไปเร็วนัก เหมือนว่ายังคงท่าทีสงบอยู่
…
หลังจากนั้นสองวัน ใจกลางเนินเขานิรนาม ภายในถ้ำพำนักขรุขระที่เปิดออกเป็นการชั่วคราว ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้าหลับตาทำสมาธิอยู่
ซึ่งก็คือตะขาบเกล็ดน้ำค้างหกปีกที่แปลงกายเป็นชายชุดขาวและปิงเฝิงนั่นเอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลิ่วอี้ถึงได้ลืมขึ้นมา อ้าปากแล้วพ่นเอามวลอากาศเย็นยะเยือกออกมา
ปิงเฝิงที่อยู่ตรงข้ามเมื่อรู้สึกได้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปแล้วเปิดดวงตาคู่งามขึ้นมา หลังจากที่เหลือบมองไปยัง
ลิ่วอี้แล้ว จึงได้เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีซับซ้อน
“พลังปราณแท้ของเจ้าที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ฟื้นคืนมาแล้ว วิชาหลีกหนีก่อนหน้านั้น ต่อให้เป็นมหายานทั่วไปแล้วก็คงจะไม่อาจใช้มันได้โดยง่าย ต้องขอบใจเจ้าที่ไม่รู้ว่าไปได้สมบัติล้ำค่าหายากเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ถึงได้เปลี่ยนมันให้เป็นปีกวิญญาณคู่ที่สี่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจจะเอาชีวิตหนีรอดจากมือของคนผู้นั้นได้”
“หืม หลายปีมานี้ที่ข้าเข้าไปยังถิ่นธุรกันดารก็ไม่ใช่ว่าจะเสียเปล่า ได้รับโอกาสมาไม่น้อยอยู่หลายครั้ง อยากจะให้ข้าไปเป็นทาสรับใช้ของผู้อื่น ต่อให้จะเป็นเซียนแท้ก็อย่าฝันไปเลย ส่วนเรื่องของปราณแท้ เจ้าไม่ต้องกังวลอะไร กายของข้าเพิ่งจะดูดซับพลังจากดาวซู่อินเข้าไป พลังที่เพิ่งเสียไปก็จะฟื้นกลับมาโดยเร็ว แต่ว่าถ้าหากข้าสามารถตามหาเผ่าซู่อินที่ซ่อนเร้นกายอยู่ได้โดยเร็ว สามารถเรียนรู้กฎของพลังที่พวกเขาใช้สื่อสารกับดวงดาวจนสร้างกายแท้ออกมาได้แล้ว อีกฝ่ายต่อให้จะเป็นเซียนแท้ที่ลงมายังโลกแล้ว และก็ไม่ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้” ลิ่วอี้สูดลมหายใจเข้าแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาเอ่ยออกมา
“ต้องโทษที่เจ้าโชคร้ายจนเกินไป ใครจะคิดว่าเผ่าซู่อินที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่อัสนีมาตั้งแต่สมัยโบราณ จู่ๆ ก็พากันย้ายทั้งชนเผ่ามายังแดนนภาสีเลือดได้ หากว่าไม่ใช่เพราะว่าเข้าทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อตามมาจนถึงที่นี้แล้ว ตอนนี้เกรงว่าก็คงยังไม่อาจเป็นไปตามที่ใจคิดได้ แต่ว่าอย่าได้เป็นเพราะจะอาศัยสิ่งนี้แล้วไปต่อสู้กับเซียนแท้ผู้หนึ่ง ยังคงจะดูเหมือนเป็นการฝันกลางวันอยู่บ้าง” หลังจากที่สีหน้าของปิงเฝิงดูมืดมนลงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หากว่าเป็นเซียนแท้ในช่วงที่ยังรุ่งเรืองอยู่นั้น แน่นอนว่าคงไม่มีหวังแม้แต่น้อย แต่ว่าหากเป็นเพียงร่างของเซียนแท้ที่ลงมายังชั่วคราวแล้วนั้น ถูกพลังของดินแดนอื่นควบคุมเอาไว้แล้ว พลังของเขาสามารถใช้ได้ถึงสามถึงสี่ส่วนก็นับว่าไม่เลวแล้ว พลังอย่างมากแล้วก็คงจะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งที่มีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็เท่านั้น แล้วทำไมถึงจะจัดการกับมันไม่ได้ ของเพียงแค่ให้เวลาข้าอีกสักหลายร้อยปี ข้าก็…แย่แล้ว เขาตามมาทันแล้ว”
ลิ่วอี้เพิ่งจะได้เอ่ยออกมาอย่างสงบได้เพียงสองประโยค จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็ส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นตกใจ