คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2382 ความดุร้ายที่ไม่มีใครเทียบได้
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2382 ความดุร้ายที่ไม่มีใครเทียบได้
เมื่อมองลงมาจากบนท้องฟ้า สมสีเหลืองที่เปลี่ยนเป็นกำแพงลมได้กลายเป็นม้วนม่านสีเหลืองที่ปกคลุมทะเลทรายทั้งหมด
เซียวหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในระยะไกล ดวงตาของเขาค่อยๆ ปิดลง มือยังคงทำท่าทางร่ายคาถาไม่หยุด แล้วเริ่มกระตุ้นม้วนกระดาษที่อยู่ด้านหน้าของเงียบๆ
ในหอคอยสูงสีทอง ภาพในม่านแสงทั้งหมดก็ล้วนกลายเป็นพายุทรายสีเหลืองด้วยเช่นกัน และไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ใดๆ ในทะเลทรายได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น หญิงในชุดคลุมหลากสีก็ขมวดคิ้ว ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ยออกมา
“พี่อวี้ สิ่งที่นักพรตเซียวหมิงกำลังใช้งานอยู่คงเป็นแผนที่ลมเหลือง ของวิเศษของเจิ้นจงแห่งสำนักโลหิตกระดูก ได้ยินมานานแล้วว่าของวิเศษชิ้นนี้ แม้เป็นหนึ่งในของวิเศษสวรรค์ทมิฬของแดนวิญญาณ ก็นับได้ว่าไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ ตอนนี้เมื่อเปิดใช้งานแล้ว แม้แต่กระจกส่องฟ้าก็ยังถูกปิดกั้น สมดั่งคำร่ำลือจริงๆ ทว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะใช้งานของวิเศษชิ้นนี้ นักพรตเซียวหมิงระวังตัวเกินไปหน่อยกระมัง”
“ฮ่าๆ ของที่อยู่ในครอบครองของนักพรตเซียว ที่แท้คือแผนที่ลมเหลืองที่มีชื่อเสียง ปกติแล้วสมบัติชิ้นนี้ถูกเก็บรักษาอยู่ในห้องโถงปรมาจารย์ของสำนักโลหิตกระดูก มีเพียงแค่ตอนที่พบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงถูกนำออกมาโดยผ่านการยินยอมจากผู้อาวุโสระดับสูงหลายท่าน และมอบให้แก่คนคนหนึ่งเพื่อนำมาจัดการศัตรู อันที่จริงของวิเศษนี้ถูกติดตั้งไว้ล่วงหน้าแล้ว ทะเลทรายที่มารร้ายตนนั้นอยู่ได้ถูกแผนที่นี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนนี้เพียงแค่เปิดใช้งานมันอย่างเป็นทางการเท่านั้น ส่วนเรื่องนักพรตเซียวหมิงระมัดระวังเกินไปหรือไม่ ข้ากลับคิดว่ามันเป็นแผนการที่จะสามารถกระตุ้นแผนที่นี้อย่างเด็ดขาดได้ ท้ายที่สุดแล้ว มารร้ายตนนั้นไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์แม้แต่น้อย ตอนนี้เขาถูกกักขังโดยสองเขตอาคมฟ้าดินและแผนที่ลมเหลืองในเวลาเดียวกัน นับว่าเป็นแผนการที่ไร้ช่องโหว่ พี่ปี้ ท่านคิดเห็นเช่นไร…เอ๊ะ สีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลย หรือว่ามีสิ่งใดผิดปกติ” หลังชายฉกรรจ์ตาเหยี่ยวในชุดคลุมสีเลือดอธิบายออกมาสองประโยค จู่ๆ เขาก็หันไปถามปี้อิ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ
ปี้อิ่งที่จ้องมองม่านแสงที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่ละสายตา สีหน้าแสดงดูไม่ได้ออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของชายตาเหยี่ยว จึงดึงสายตากลับมาแล้วตอบด้วยรอยยิ้มแข็งๆ
“ไม่มีอะไร เพียงแค่ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมารร้ายตนนั้นเมื่อครู่ ก็เกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน”
“อืม…เรื่องแบบนี้ เมื่อพลังยุทธ์ของพวกเราถึงในระดับนี้ คงสามารถสัมผัสถึงเรื่องอันตรายบางอย่างได้ในระดับหนึ่ง นักพรตเหอ ฮูหยินหลิงอวิ๋น พวกท่านมีลางสังหรณ์เหมือนกันหรือไม่” สีหน้าของชายตาเหยี่ยวเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แล้วหันไปถามอีกสองคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าไม่รู้สึก”
“ข้าน้อยก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งใด ไม่ใช่ว่าพี่ปี้รับรู้ผิดไปกระมัง” หลังชายในชุดนักปราชญ์เหลืองมองปี้อิ่งเล็กน้อย ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง
“ฮึ ไม่ว่าจะสังหรณ์ใจผิดหรือไม่ ข้าน้อยก็ไม่มีแผนที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ผู้เฒ่าจะออกเดินทางกลับไปในทันที ศึกในครานี้ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ถึงตอนนั้นพี่อวี้ค่อยส่งข่าวมายังพันธมิตรการค้าของเราก็ได้” เกินความคาดหมายของพวกเขาสามคน กล้ามเนื้อบนใบหน้าของปี้อิ่งกระตุกเล็กน้อย พลันกล่าวคำอำลา
นี่ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึงในทันที
“ฮ่าๆ พี่ปี้กังวลเกินไปแล้ว หากมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นจริง พวกเราสี่คนอยู่ที่นี่จะเกิดเรื่องอันใดได้อีก รอให้ศึกครานี้จบลงเสียก่อนค่อย…”
ผู้เฒ่าตาเหยี่ยวหัวเราะขึ้น แล้วเอ่ยโน้มน้าวให้ปี้อิ่งอยู่ต่อ ทว่าในเวลานี้เอง ภาพที่อยู๋ในม่านแสงตรงหน้าพลันส่องแสงสว่างไสว รูแสงสีทองอร่ามนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุม่านอากาศ ย้อมม่านแสงทั้งหมดให้เป็นสีทอง
“นี่คือ…”
“ท่าไม่ดีแล้ว กระจกส่องฟ้ากำลังจะแตก”
หลังจากที่ทุกคนอยู่ในความตกใจ ชายชราตาเหยี่ยวพลันโพล่งออกมา
ม่านแสงสั่นไหว ทันใดนั้นก็ระเบิดออกเป็นสองส่วนกลายเป็นกลุ่มแสงสีทอง คลื่นของการกระแทกพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางในทันที
นักพรตทั้งสี่ต่างสะบัดแขนเสื้อ รัศมีแสงสว่างอยู่ที่ด้านหน้าของแต่ละคน ควบคุมแรงกระแทกที่พุ่งมาด้านหน้าให้เบี่ยงไปทางอื่น
แต่พวกเขามองไปที่สถานที่ที่ม่านแสงแตกออกเหลือเพียงกระจกโบราณที่แตกหักและไม่สมบูรณ์ ใบหน้าของพวกเขาก็ดูไม่น่าดูขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น กระจกส่องฟ้าจึงแตกออก พี่อวี้ ของวิเศษชิ้นนี้เป็นท่านที่สร้างมันขึ้นมา ท่านน่าจะรู้สาเหตุที่ชัดเจน” ฮูหยินหลิงอวิ๋นถามหลังจากที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สามารถส่งผลกระทบมาจนทำให้กระจกส่องฟ้าระเบิดในอากาศได้ ดูเหมือนว่าที่นั่นคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ” ชายตาเหยี่ยวจ้องกระจกโบราณที่แตกสลายด้วยสีหน้าไม่แน่นอนและตอบไม่ตรงคำถาม
ของวิเศษชิ้นนี้เขาใช้เวลาทุ่มเทในการสร้างมันขึ้นมาไม่น้อย มันสามารถสอดส่องสถานการณ์ในสถานที่อื่นที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ได้โดยตรง นับว่าเป็นของวิเศษที่สามารถใช้งานได้จริง ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกทำลายได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ภายในใจย่อมรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจมาก
“เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ก่อนที่กระจกส่องฟ้าจะแตกออก ดูเหมือนว่าจะมีพลังมากเกินกว่าที่แผนที่ลมเหลืองจะแบกรับได้ จึงทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าลางสังหรณ์ของนักพรตปี้อิ่งจะถูกต้อง” คุณชายเหอต้าขมวดคิ้ว
“แผนที่ลมเหลืองเป็นสมบัติวิเศษของสวรรค์ทมิฬ อีกทั้งยังมีสองเขตอาคมฟ้าดินและการร่วมมือกันของมหาเมธีทั้งสิบสองคน ยังไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ที่นั่นได้ เจ้ามารร้ายนั่นใช้อิทธิฤทธิ์แบบใดกัน ถึงสามารถทำให้เกิดความเสียหายได้ถึงเพียงนี้” ฮูหยินหลิงอวิ๋นบ่นออกมาเล็กน้อย
สีหน้าของปี้อิ่งมืดครึ้มลง ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่กล่าวอันใด
“ไม่เป็นไร ข้าจะส่งข้อความไปถามนักพรตเซียวหมิงก่อน ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่น” ในที่สุดชายชราตาเหยี่ยวก็นึกวิธีจัดการกับมันได้ พูดด้วยท่าทางผ่อนคลายเล็กน้อย
ทันทีที่เอ่ยจบ เขาก็พลิกมือข้างหนึ่ง จานแปดเหลี่ยมสีขาวราวกับหยกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ หลังจากวาดนิ้วไปเหนือมันไม่กี่ที ข้อความสีเงินอ่อนก็ส่องประกายออกมา แล้วเลือนรางหายไป
หลังจากนั้นชายชราตาเหยี่ยวก็จ้องไปที่จานแปดเหลี่ยมตาโดยไม่ละสายตา
เวลาผ่านไปหนึ่งกาน้ำชาเต็มๆ จานแปดเหลี่ยมยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย สีหน้าของชายชราก็ค่อยๆ มืดครึ้มลง
หลังจากเขาเก็บของในมือ ก็ค่อยๆ กล่าวกับคนอื่นๆ อย่างช้าๆ
“ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แม้แต่นักพรตเซียวหมิงที่อยู่ที่ชายขอบก็ยังไม่สามารถติดต่อได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จำเป็นต้องเตรียมการบางอย่างที่นี่ หากนักพรตท่านอื่นตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของมารร้ายนั่นจริงๆ เขาจะต้องมุ่งตรงมาที่นี่อย่างแน่นอน ลางสังหรณ์ที่ท่านนักพรตปี้อิ่งสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ เมื่อมองจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว มีโอกาสมากที่จะมาจากเจ้ามารร้ายตนนี้” คุณชายเหอต้าถอนหายใจยาว เอ่ยด้วยความเคร่งเครียด
“ปี้อิ่ง ในเวลานี้ท่านยังจะกลับไปอยู่หรือไม่” ชายชราตาเหยี่ยวพยักหน้ารับ แล้วหันมาถามปี้อิ่ง
“ข้าไม่ไปแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว หากมารร้ายนี่เป็นอุปสรรคของชีวิตข้าจริงๆ แม้ว่าจะสามารถหลบซ่อนไปได้อีกสักพัก แต่ก็ไม่สามารถที่จะซ่อนตัวไปได้ตลอดชีวิต มีเพียงต้องกำจัดมันทิ้งเท่านั้น จึงจะสามารถหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง” ดวงตาของปี้อิ่งสว่างวาบ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
“เยี่ยม แม้ว่าที่นี้จะมีแค่พวกเราสี่คน แต่ในเมืองยังมีสาวกอีกแสนคนและเขตอาคมในเมืองที่เราสามารถใช้ต่อกรกับมันได้ ไม่มีทางเลี่ยงการต่อสู้ได้ มารร้ายนั่นเคยผ่านการต่อสู้มาแล้วก่อนหน้านี้ คงไม่ได้ไร้บาดแผลจากการต่อสู้” ผู้เฒ่าตาเหยี่ยวเป็นคนที่เด็ดขาดมาก ปรบมือเรียกความสนใจแล้วกล่าวขึ้น
คุณชายเหอต้าและฮูหยินหลิงอวิ๋นก็รู้เช่นกันว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะถอนตัว มิฉะนั้นเป็นไปได้มากที่จะพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรูที่แข็งแกร่งมากผู้นี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีความเห็นอื่นใด
แน่นอนว่าเหตุผลที่เป็นกำลังใจให้พวกเขาทั้งสี่คือความมั่นใจในพลังของตนเอง
แม้ว่าจะเป็นระดับมหาเมธีเช่นกัน ทว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาห่างชั้นกับมหาเมธีทั้งสิบสองมาก
ภายใต้การร่วมมือกันของทั้งสี่ ก็สามารถกำจัดมหาเมธีทั้งสิบสองคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ปี้อิ่งและคนอื่นๆ จึงทยอยออกจากห้องโถงใหญ่ไปทีละคน และเริ่มเรียกหาเหล่าสาวกใต้อาณัติของตนอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน สถานที่ที่แต่เดิมเป็นทะเลทราย ในเวลานี้มันได้กลายเป็นโลกแห่งเปลวเพลิงสีทองอย่างสมบูรณ์
ภูเขาไฟสีทองหลายลูกที่สูงกว่าหนึ่งพันจั้งผุดขึ้นมาจากพื้นดินเบื้องล่าง ฉีกกระชากเขตอาคมขนาดใหญ่ให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และพ่นเมฆไฟสีทองเป็นครั้งคราว
ที่เชิงภูเขาไฟสามารถมองเห็นโครงกระดูกที่ไม่สมบูรณ์ไหม้เกรียมได้จางๆ
เขตอาคมแสงที่ก่อตัวเป็นกระจกขนาดใหญ่อยู่บนท้องฟ้าในเวลานี้ถูกปิดผนึกด้วยชั้นน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้ม ทำให้มันไม่สามารถใช้งานได้ราวกับสิ่งที่ตายไปแล้ว
ที่ใจกลางของกลุ่มภูเขาไฟสีทอง มียักษาสีทองสูงกว่าหนึ่งพันจั้งยืนตระหง่านอยู่ระหว่างท้องฟ้ากับผืนดิน
ร่างยักษาปกคลุมไปด้วยลวดลายสีทองอร่าม เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเขา เหมือนกับชายหนุ่มชุดดำคนก่อน เว้นแต่ดวงตาคู่หนึ่งจะเปล่งประกายด้วยเปลวเพลิงสีทอง และอีกข้างปล่อยไอเย็นสีฟ้าอ่อนๆ
ยักษายกมือใหญ่ขึ้นข้างหนึ่งและคว้าคางคกยักษ์สีแดงเลือด
ครึ่งหนึ่งของร่างคางคกถูกฉีกออกจากกัน ลมหายใจของมันแผ่วเบาอย่างมาก ราวกับกำลังจะสิ้นชีพ
ยักษาใช้มือใหญ่อีกข้างกดหัวของคางคกโลหิตที่ถูกตัดขาด รัศมีแสงสีทองบินออกมาราวกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นไม่นาน ยักษาทองคำก็พ่นลมหายใจออกมา
“ที่แท้เป็นทักษะบางอย่างที่สามารถป้องกันจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนใหญ่ไม่ให้ข้าสามารถบุกรุกเข้าไปได้ ทว่าตรวจสอบได้ส่วนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว เยี่ยมยอด สำนักเซวี่ยเต้า กลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียน ผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือดได้มารวมตัวกันแล้ว เป็นโอกาสอันดีที่จะได้จัดการเก็บกวาดทั้งหมดและช่วยให้ข้าพ้นจากปัญหาในอนาคต”
สิ้นเสียงพูด ก็มีเสียงฟ้าผ่าอยู่เหนือยักษาสีทอง ประจุสายฟ้าสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นในอากาศโดยรอบ กลายเป็นโซ่สีม่วงทองจำนวนนับไม่ถ้วนพันรอบร่างอันใหญ่โตนั้น และจมหายเข้าไปในร่างของยักษาในพริบตา
ร่างของยักษ์ทองคำส่งเสียง มือของเขาคลายออก คางคกเลือดถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีทองกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นร่างกายของเขาก็หดตัวอย่างรวดเร็ว พลันกลับคืนสู่ร่างของชายหนุ่มที่สวมชุดดำเช่นเดิม
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น
ชายหนุ่มชุดดำเปิดปากของเขาและพ่นเลือดสีทองสองก้อนออกมา ใบหน้าของเขาซีดลงและคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
ในเวลานี้ ภูเขาไฟสีทองที่อยู่ด้านล่างก็หายไปราวกับภาพมายา
ชายหนุ่มชุดดำใช้มือข้างหนึ่งตบศีรษะของตน ยันต์สีทองสายหนึ่งบินออกมาจากฝาครอบวิญญาณสวรรค์ หลังจากกะพริบวูบหนึ่งก็ร่วงหล่นมาอยู่ในมือของเขา
ชายหนุ่มในชุดดำหมุนยันต์ในมือเล่นอยู่ครู่หนึ่ง ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พลังทั้งหมดถูกใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นร่างของแดนวิญญาณเพียงครั้งเดียว ช่างน่าหนักใจจริงๆ โชคดีที่การสังเวยโลหิตก่อนหน้านี้ได้ผลดียิ่งนัก ผนวกกับยันต์เซียนกายาทองคำที่ท่านปรมาจารย์ได้มอบให้ด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นพลังที่น่าสะพรึงกลัวของโลกคงบดขยี้ร่างกายของข้าโดยตรงในตอนที่กำลังแปลงร่าง ยันต์นี้เพียงพอที่จะแปลงร่างของแดนวิญญาณได้อีกสองครั้ง แต่ก็พอแล้วที่จะบดขยี้มดปลวกเหล่านั้นให้สิ้นซาก ฮ่าๆ เมื่อสิ้นคนเหล่านี้ไปเสียก่อน ทั่วทั้งแดนวิญญาณคงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าลงมือขัดขวางแผนการของข้าอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เจ้ามดสองตัวนั้นช่างหนีได้รวดเร็วจริงๆ ในตอนที่ข้ากำลังแปลงร่างก็หนีหายไปเสียแล้ว แต่ในร่างกายของพวกมันมีเมล็ดวิญญาณแท้ที่ข้าเพาะปลูกไว้ เช่นนี้จะสามารถหลีกหนีจากเงื้อมมือของข้าได้อย่างไร