คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2390 หวนพบหน้าอีกครั้งครา (2)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2390 หวนพบหน้าอีกครั้งครา (2)
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ในเผ่าเดียวกัน หลิงเฟยเซียนไม่กล้าที่จะเมินเฉยต่อพวกเขา อีกทั้งยังไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง ดังนั้นนางจึงบอกความเป็นมาของหานลี่อย่างใจเย็น
เป็นผลให้ในชั่วข้ามคืน ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ในบริเวณใกล้เคียงทุกคนรู้ว่า ที่แท้หานลี่คือมหาเมธีที่มาจากแดนวิญญาณ พวกเขาทั้งหมดล้วนตื่นเต้นดีใจ จึงเปลี่ยนความคิดในทันทีและต้องการที่จะไปทักทายหานลี่ด้วยตัวเอง
ทว่าทันทีที่ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้เข้าใกล้เรือยักษ์ ต่างก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นที่ปล่อยออกมาจากเรือยักษ์สะกัดกั้นเอาไว้ และไม่กล้าที่จะฝ่าเข้าไป พวกเขาทำได้เพียงออกจากบริเวณใกล้เคียงของเรือยักษ์อย่างช่วยไม่ได้
ในเช้าตรู่ของวันที่สอง มีแสงส่องสว่างมาจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น ลำแสงสว่างแสบตาหลากหลายเส้นพุ่งมาจนทำให้เกิดเสียง ฟิ้ว!
หานลี่ที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องโดยสารของเรือยักษ์ ความคิดวิ่งไปมา มือข้างหนึ่งขยับร่ายคาถา เก็บเอาเขตต้องห้ามไร้รูปลักษณ์ที่ปล่อยออกมาจากเรือยักษ์กลับคืน จึงเดินออกมาจากห้องโดยสารไปทางหัวเรือ
ชั่วพริบตาเดียวลำแสงเหล่านั้นก็มาถึงเหนือเรือยักษ์ ทันทีที่ลำแสงหายไป ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ทั้งชายและหญิงหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ล้วนหยุดอยู่กลางอากาศเหนือเรือยักษ์กว่าร้อยจั้ง มีเพียงหญิงสาวชุดขาวที่ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ผู้หนึ่ง ร่อนลงมาจากฝูงชนโดยไร้รอยยิ้ม ค่อยๆ เหาะตรงไปยังหานลี่
ดวงตาของหานลี่หรี่ลง จดจ้องไปที่ใบหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรสาวโดยไม่ละสายตา ในเวลานี้คนอื่นๆ ล้วนอยู่นอกสายตาของเขา
พริบตาเดียว หญิงสาวก็มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าหานลี่ หลังจากที่ดวงตาเรียวสวยส่องประกาย ริมฝีปากสีแดงสวยก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“สามี…ในที่สุดท่านก็หาที่นี่พบ ข้าไม่เคยสงสัยเลยว่าจะมีวันนี้ ข้ารอมาเนิ่นนาน ความทุกข์ตรมจากความคิดถึงในครั้งนี้ช่างยากจะเกินทน”
“หวั่นเอ๋อร์”
หลังหานลี่เอ่ยสองคำนี้ออกมา เขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงยื่นมืออกไปใช้นิ้วลูบไล้ใบหน้าเรียบเนียนของสาวงามที่อยู่ด้านหน้าเบาๆ ราวกับกำลังลูบสมบัติล้ำค่า
การกระทำทั้งหมดนี้เป็นไปโดยไร้วาจา
หญิงสาวในชุดขาวนางนี้คือหนานกงหวั่น ผู้ฝึกวิชาคู่บำเพ็ญเพียรที่หานลี่ตามหาอย่างยากลำบากมาหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็ได้พานพบกัน และยังเป็น “เซียนจันทรา” ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากจากเผ่ามนุษย์ในเสี่ยวหลิงเทียน
เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้นเห็นสถานการณ์นี้ ล้วนแต่เกิดความโกลาหล
พึงทราบว่าสถานะในตอนนี้ของหนานกงหวั่นคือ “ผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามนุษย์” ประกอบกับกิริยาท่าทางอันไร้ที่ติของนาง ผู้บำเพ็ญเพียรชายหลายคนจึงถือนางเป็นเทพธิดาในฝันมาช้านาน
ตอนนี้นางแสดงท่าทีสนิทชิดเชื้อกับชายจากต่างแดนมากถึงเพียงนี้ ย่อมทำให้ผู้คนจำนวนมากตกตะลึง นอกจากนั้นยังบังเกิดความขุ่นเคืองหึงหวง
มีเพียงผู้แข็งแกร่งไม่กี่คนที่ติดตามหนานกงหวั่นขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเรือขนาดยักษ์ด้วยกันเท่านั้น ที่ไม่แสดงสีหน้าตื่นตกใจใดๆ ทว่าต่างก็จ้องมองยังภาพตรงหน้าด้วยท่าทีที่ต่างกัน
เวลาถัดมา หญิงสาวกระโจนทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของหานลี่ราวกับตัวนางไร้กระดูก…
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหราบนเรือศักดิ์สิทธิ์ บนเตียงหินสีขาวราวกับหยก หญิงสาวในชุดขาวนอนซุกตัวหน้าแดงก่ำอยู่ภายในอ้อมแขนของหานลี่ บอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งที่นางได้ประสบพบเจอในช่วงหลายปีมานี้ให้หานลี่ฟังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เดิมทีหลังจากที่หานลี่เข้าไปในอุโมงค์มิติ หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปีในที่สุดหนานกงหวั่นก็ได้พบเจอกับอุปสรรคในการฝึกฝน พลังยุทธ์ของนางก็ไม่เคยก้าวหน้าอีกเลยนับจากนั้น
ภายใต้ความสิ้นหวัง นางก็เดินตามรอยหานลี่ และเข้าไปยังส่วนต่อประสานมิติแห่งหนึ่ง เพื่อเตรียมที่จะแอบเข้าไปในแดนวิญญาณ
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หนานกงหวั่นก็ถอนหายใจเบาๆ
“ทำไมหรือ หรือว่าหวั่นเอ๋อร์ก็เคยเจอพายุลมของมิติด้วยเช่นกัน” หานลี่ถามอย่างอ่อนโยนพลางสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของสาวงามในอ้อมกอด
“ข้าไม่ได้พบเจอพายุลมระหว่างทาง ทว่าเผชิญกับการต่อสู่ระหว่างมหาเมธีด้วยกันที่รอยแยกของมิติ ทำให้เกิดความผันผวนในมิติ แล้วจึงทำให้ข้าพลัดมาที่เสี่ยวหลิงเทียนด้วยแรงของมิติ” หนานกงหวั่นกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูแปลกไป กัดริมฝีบากบนเล็กน้อย
“การต่อสู้? ผู้ใดกันที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ตรงรอยแยกของมิติ เป็นระดับมหาเมธีหรือเปล่า” หานลี่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่ เป็นวิญญาณแท้หลัวหูและแมลงร้อยหัวซึ่งเป็นวิญญาณแท้โบราณที่เจ้าเคยเจอเมื่อปีนั้น ตอนที่ข้าพบเห็น พวกเขาก็ได้ต่อสู้กันจนบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ก่อนที่จะสิ้นลม ก็ทำให้เส้นทางรอยต่อของมิติแตกออก ข้าและศพของทั้งคู่ล้วนร่วงหล่นลงมายังเสี่ยวหลิงเทียน โชคดีที่ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับได้รับโอกาสอันดีถึงเพียงนี้” หนานกงหวั่นเอ่ยตอบกลับเบาๆ
“ที่แท้คือหลัวหู! โอกาสอันดีที่เจ้าเอ่ยถึง…หรือว่าคือศพของวิญญาณแท้ทั้งสองนั่น” หานลี่รู้สึกไม่คาดคิด แต่กลับแสดงท่าทีครุ่นคิดในทันที
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นหลัวหูหรือแมลงร้อยหัว แม้แต่ในหมู่วิญญาณแท้ พวกมันก็ไม่ได้อยู่ระดับต่ำ เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง ทว่าปราณพิสุทธิ์ที่บรรจุอยู่ในแกนผลึกของทั้งคู่นั้น สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว มันมีมูลค่ามหาศาล และด้วยโอกาสนี้ที่สวรรค์ประทานให้ ทำให้ข้าที่อยู่ในเสี่ยวหลิงเทียนที่มีพลังวิญญาณน้อยกว่าแดนวิญญาณมาก สามารถเข้าสู่ระดับที่ท่านเห็นอยู่ตอนนี้ได้ภายในเวลาไม่ถึงสองพันปี กลับกันแล้ว แม้สามีจะอยู่ในแดนวิญญาณ ทว่าก็ก้าวเข้าสู่ระดับมหาเมธีในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ยิ่งข้าฝึกฝนถึงระดับสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะเข้าสู่ระดับมหาเมธี แม้ว่าข้าจะมีแกนผลึกวิญญาณแท้อยู่ในครอบครอง แต่ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะสามารถข้ามผ่านอุปสรรคของระดับมหาเมธี” หนานกงหวั่นหันไปมองหานลี่ แสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
“ตอนที่ข้าก้าวเข้าสู่ระดับมหาเมธี ได้เตรียมการมากมายถึงจะประสบความสำเร็จ ในตอนนั้นหลังจากที่ข้าออกจากรอยต่อของมิติระดับเทพแปลง มันไม่ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพายุลมของมิติและยังสูญเสียพลังทั้งหมด…”
หานลี่เองก็ค่อยๆ บอกเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอในหลายปีมานี้ แน่นอนว่าเรื่องราวบางอย่างไม่อาจเล่าได้โดยง่ายจึงถูกบอกเล่าด้วยคำพูดที่คลุมเครือ
แต่ถึงกระนั้น เมื่อหนานกงหวั่นได้ยินว่าหานลี่ได้พบกับหยวนเหยาที่แม่น้ำอเวจีและต่อมาได้พบกับ
จื่อหลิงที่แดนมาร ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา
“ไม่คิดเลยว่าหยวนเหยาและจื่อหลิงจะหาโอกาสสานความสัมพันธ์กับท่าน สามีไม่คิดหรือว่าเมื่อท่านก้าวเข้าสู่แดนเซียน พวกนางสองคนจะติดตามท่านไปโดยไม่ปล่อยวาง”
“หวั่นเอ๋อร์พูดล้อเล่นแล้ว ข้าแค่บังเอิญเจอพวกนางเท่านั้น ส่วนเรื่องการก้าวเข้าสู่แดนเซียนนั้นยากแค่เพียงใด แม้แต่ข้าในตอนนี้ก็ไม่เห็นโอกาสที่จะก้าวไปได้เลย จริงสิ เหตุใดเจ้าจึงถ่ายทอดวิชาเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีให้แก่กั่วเอ๋อร์ อีกทั้งการพัฒนาเป็นอย่างมากของมารดาของนางในช่วงหลายปีมานี้ คงเป็นผลมาจากการช่วยเหลืออย่างลับๆ ของเจ้า” หลังจากหานลี่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาก็เอ่ยถามเรื่องราวของจูกั่วเอ๋อร์
เรื่องของหยวนเหยาและจื่อหลิง ฮูหยินของเขาย่อมต้องรู้แจ้งแจ่มชัดอยู่แล้ว ที่หยิบยกขึ้นมาในตอนนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความหึงหวง ส่วนใหญ่มักจะหยอกล้อเขาเสียมากกว่า
“ในตอนนั้นหลังจากที่ข้าฝึกฝนสำเร็จเป็นครั้งแรกในเสี่ยวหลิงเทียน ข้าได้ค้นพบศิษย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่ถ่ายทอดวิชาเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรี นั่นก็คือกั่วเอ๋อร์ ตอนนั้นข้าซ่อนความลับเรื่องแกนผลึกวิญญาณแท้เอาไว้ จึงไม่ง่ายเลยที่จะรับนางไว้เป็นศิษย์ ข้าจึงแอบถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้ผ่านทางมารดาของนาง เจ้าหนูนี่ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีได้ถึงระดับแรกเริ่ม ทว่ากลับไม่คิดเลยว่านางจะร่วงหล่นสู่แดนมารโดยไม่คาดคิด สำหรับมารดาของนาง เป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือกจึงจำเป็นต้องรับนางเป็นศิษย์ แม้ว่านางจะไม่เหมาะสมกับเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรี ทว่าความสามารถของนางกลับไม่ธรรมดา ข้าพยายามทะลวงอุปสรรคของมหาเมธีในเวลาไม่กี่ร้อยปี และต้องการคนสนิทไว้คอยดูแล ดังนั้นจึงใช้แกนผลึกวิญญาณแท้เพื่อพัฒนาระดับพลังยุทธ์ให้เข้าสู่ระดับหลอมสุญตาได้ในเวลาสั้นๆ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เดิมทีข้าวางแผนที่จะเพิ่มระดับไปจนถึงระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นได้ในช่วงเวลาที่เหลือ จากนั้นจึงจะหยุด” หนานกงหวั่นเล่าเรื่องทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องคิดอะไรมากมาย หากมีข้าคอยปกป้อง จะไม่มีใครมารบกวนการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าได้ หากกลับไปยังแดนวิญญาณ ข้ายังมีหนทางที่จะให้เจ้าเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ของระดับมหายานได้อย่างแน่นอน” หานลี่ถอนหายใจเบาๆ จึงเอ่ยกับสาวงามในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่
“อะไรนะ สามีมีวิธีรับมือกับทัณฑ์สวรรค์อย่างนั้นหรือ” หนานกงหวั่นลุกขึ้นนั่งด้วยความตกตะลึงโดยทันที
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าสามีของเจ้าเป็นเพียงมหาเมธีธรรมดาอย่างนั้นหรือ อย่าหาว่าข้าโอ้อวด วิญญาณแท้โบราณกับข้าต่อสู้กัน เจ้าคิดว่าผู้ใดแพ้ ผู้ใดชนะ” หานลี่หัวเราะ แล้วเอ่ยถามโดยไม่ใส่ใจ
“สามี…ท่านมั่นใจในตนเองมาก! หากว่าหวั่นเอ๋อร์ไม่ได้รู้จักท่านเป็นอย่างดีว่าท่านไม่ใช่คนชอบพูดจาโอ้อวด เกรงว่าคำพูดนี้จะเชื่อถือได้ยาก จริงสิ ท่านบอกว่าจะพาข้ากลับไปยังแดนวิญญาณ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทางเชื่อมระหว่างสองแดนโดยตรงยังไม่ได้หายไป ตำแหน่งที่ตั้งของมันจะไม่เปิดเผยและถูกเผ่าอื่นค้นพบหรอกหรือ” หนานกงหวั่นไม่ปิดปังความตกใจของนางอีกต่อไป ทว่านางนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ข้ายืมพลังของทางเชื่อมนั้นเข้ามายังเสี่ยวหลิงเทียน เส้นทางนั้นย่อมไม่หายไปในเวลาอันรวดเร็วหรอก อีกทั้งข้าได้ใช้เขตอาคมปกปิดทางเชื่อมนั้นไว้แล้ว นักอาคมทั่วไปไม่มีทางที่จะรับรู้ถึงที่ตั้งที่แท้จริง…หวั่นเอ๋อร์ เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือ” หานลี่เป็นใครกัน เขาย่อมรับรู้ได้ถึงบางอย่างผ่านน้ำเสียงของหนานกงหวั่น จึงเอ่ยถามกลับ
“ข้าอยู่ที่เสี่ยวหลิงเทียนมานานถึงเพียงนี้ ย่อมมีมิตรสหายที่ดีต่อกันอยู่บ้าง พวกเขาล้วนแต่ฝึกฝนมาถึงอุปสรรคระหว่างขั้น หากต้องการก้าวผ่านมัน มีเพียงแค่ต้องกลับไปยังแดนวิญญาณเท่านั้นจึงจะมีหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนี้ ในเสี่ยวหลิงเทียนยังมีชนรุ่นหลังเผ่ามนุษย์จำนวนหนึ่งที่มีความสามารถโดดเด่น หากสามารถกลับไปยังแดนวิญญาณได้ สามีไม่พาพวกเขากลับไปด้วยกันล่ะ” หนานกงหวั่นกล่าวอย่างช้า
“พาคนเหล่านี้กลับไปยังแดนวิญญาณด้วยกันย่อมไม่ใช่ปัญหา ทว่าคนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญของเผ่ามนุษย์ในเสี่ยวหลิงเทียน หากพวกเขาไม่อยู่ เผ่ามนุษย์ที่เหลืออยู่จะเผชิญหน้ากับการกดขี่ของต่างเผ่าพันธุ์ได้อย่างไร ทางเชื่อมที่ข้าเข้ามานั้นไม่ค่อยเสถียร ไม่มีทางที่จะนำคนในเผ่ามนุษย์ทั้งหมดออกไปได้” หานลี่เอ่ยพลางขมวดคิ้วครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ข้าจะไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร ทว่าเมื่อเห็นความหวังที่จะกลับไปสู่แดนวิญญาณ คนเหล่านี้คงไม่เต็มใจที่จะละทิ้งโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะออกจากเสี่ยวหลิงเทียน” หนานกงหวั่นถอนหายใจเบาๆ
“เช่นนี้แล้วกัน ให้พวกเขาส่งตัวแทนสามคนมาพบข้าที่นี่ในอีกสามวันถัดไป เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของสามีเถอะ” หานลี่ลูบคางด้วยมือหนึ่ง พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม