คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2432 ราชทูตเกาะมังกร
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2432 ราชทูตเกาะมังกร
หลังจากปราณกระบี่หมึกสีเขียวฟันออกไป พื้นด้านล่างก็มีเสียงดังกึกก้องออกมา ระลอกคลื่นพัดออกมาอย่างรุนแรง มิติสีขาวถึงเปิดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ไป”
หานลี่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ มือข้างหน้ายกขึ้นมาร่ายคาถา เรือยักษ์สีดำที่ด้านหลังหดตัวลงเป็นลูกบอลและพุ่งเข้ามาในร่างกายของเขาชั่วพริบตา
แสงนั้นโฉบผ่านไปพร้อมกัน
สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งกับประจุสายฟ้าสีเงินพุ่งออกไปทันที จากนั้นก็ทะลุผ่านรอยแยกมิตินั้น
หลังจากนั้นไม่นานรอยแยกของมิติก็ค่อยๆ สมานกันดังเดิม เทือกเขาด้านล่างก็กลับมาเป็นปกติ
เมื่อเวลาผ่านมาสักพัก บริเวณที่เมื่อครู่เคยมีเรือยักษ์ก็กลายเป็นความว่างเปล่า ที่ด้านบนของบริเวณก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้นบางๆ ดอกบัวยักษ์สีทองขนาดใหญ่มากกว่าสิบจั้งก็ปรากฏออกมา ด้านในนั้นมีมนุษย์ยืนอยู่สองคน ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงหนึ่ง
ใบหน้าของผู้ชายสวมชุดสีทองนั้นค่อนข้างเลือนราง ส่วนผู้หญิงสวมชุดคลุมสีขาว หัวล้านและยืนเท้าเปล่า ผู้หญิงคนนั้นคือแม่นางเป่าฮวานั่นเอง
“คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะไปเสียแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะมาเอาสมบัติสื่อวิญญาณอย่างที่หยวน
เหยี่ยนบอกไว้จริงๆ แต่ว่า ตอนนี้ที่เขาเปิดมิติไปเหมือนว่าจะไม่ได้ไปทางที่ไปแดนวิญญาณ น่าจะไปแดนก้านสัมผัสล่ะมั้ง ที่ดินแดนแห่งนั้นแข็งแกร่งกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามากนัก ไม่รู้ว่าเขาจะไปดินแดนแห่งนั้นทำไม” ชายสวมชุดสีทองมองไปจุดรอยแยกที่หายไปด้านล่าง พร้อมพูดแล้วกระแอมไอเบาๆ น้ำเสียงดูแหบแห้งเล็กน้อย รูปร่างเหมือนคนเป็นโรคป่วยหนัก
“สหายเนี่ยผานไม่ต้องคิดมาก ไม่ว่าเขาจะไปทำอะไรที่ดินแดนอื่น ขอเพียงแค่เขาไม่ได้อยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นเวลานานก็ไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้น ด้วยความแข็งแกร่งที่ยากจะหยั่งถึงของเขา เกรงว่าพวกเราจะไม่มีทางปิดด่านฝึกได้อย่างสบายใจ” เป่าฮวาพูดขึ้นเสียงเรียบ
ที่แท้ชายสวมสีทองนั้นคือเนี่ยผาน หนึ่งในสามผู้สร้างแห่งเผ่ามาร ผู้สร้างที่ลึกลับมากที่สุด ซึ่งเขาจะปรากฏตัวขึ้นน้อยมาก
“จะว่าไปก็ใช่ ไม่เช่นนั้นเพียงข้ากับเจ้าได้ข่าวจากหยวนเหยี่ยน ก็ยังต้องรีบแอบตามมาทันที แต่ว่าข่าวที่ได้จากโลกมนุษย์นั้นเป็นเรื่องจริงหรือ? เด็กคนนั้นเพิ่งเข้าสู่ระดับมหาเมธีได้ไม่นานแท้ๆ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถฆ่าเซียนคนหนึ่งได้แล้ว ถึงแม้ว่าเซียนคนนั้นจะได้รับแรงต้านจากมิติ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อจริง” หลังเนี่ยผานยิ้มอย่างมืดมน เขาถามขึ้นอย่างสงสัย
“ข่าวที่สำคัญเช่นนี้ ทางนี้คงจะไม่มีทางได้รับมาอย่างผิดๆ หรอก ได้ยินมาว่าเขาคนนั้นสู้กับเซียน หลังจากที่มหาเมธีคนอื่นๆ รุมต่อสู้กันจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว จึงสามารถเอาชนะมาได้” เป่าฮวาตอบขึ้นอย่างช้าๆ
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่ก็หมายความว่าเด็กคนนี้สุดยอดมาก เรื่องข้ากับเจ้าต่างเข้าใจกันดี ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าใด การรอดชีวิตก็มีมากขึ้นเท่านั้น อย่างระดับเซียนผู้นั้นไม่รู้ว่ามีท่าไม้ตายซ่อนไว้เท่าไหร่และทั้งหมดอยู่ในมือของเขาแล้ว ฝีมือของเขายากจะหยั่งถึงจริงๆ และได้ยินมาว่าเขายังมีโอสถวิญญาณแท้ แค่กๆ ของระดับนี้… ข้ากับเจ้าที่เป็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์ โอสถเม็ดนี้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อข้าเลย เช่นนี้ก็หมดหวังที่จะเอามันมาที่แดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว” เนี่ยผานหัวเราะคิกค้าก จากนั้นก็ไอแค่กๆ สองครั้ง
“แน่นอน หากเปลี่ยนเป็นโอสถมารแท้ ข้ากับเจ้าจะมองเขาเดินทางออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ จะว่าไปแล้ว สหายเนี่ยผาน น่าจะอยู่ไม่ห่างจะการผ่านด่านเคราะห์แล้วสินะ ไม่รู้ว่าเจ้ามีความมั่นใจกี่ส่วนว่าจะสามารถขึ้นไปได้” หลังจากเป่าฮวาพยักหน้าเบาๆ นางก็ถามกลับ
“หากเรื่องเกิดก่อนที่ข้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงครามหนอนเพลี้ยตัวแม่ในครั้งนั้น ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของวิชาร่างนิพพานศักดิ์สิทธิ์ ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักส่วนหรือสองส่วน แต่ตอนนี้น่ะหรือ แม้ว่าบาดแผลของข้าจะหายดีแล้ว แต่ความจริงแล้วพลังต้นทางของข้าได้รับความเสียหายอย่างมาก ต่อให้ต่อสู้อย่างสุดชีวิต ความหวังของเขาก็มีเพียงแค่ริบหรี่เท่านั้น” เนี่ยผานถอนหายใจออกมา น้ำเสียงของเขาดูมืดมนอยู่หลายส่วน
“พี่เนี่ยผานอย่ามองในแง่ร้ายเลย นิพานร่างศักดิ์สิทธิ์ของสหายเป็นวิชาหลอมร่างที่ดีที่สุดของโลก ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้สหายผ่านด่านเคราะห์ได้อย่างราบรื่น จริงสิ เหมือนว่าหานลี่ผู้นี้ก็ฝึกวิชานิพานร่างศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่ารายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกับสหาย แต่ก็เป็นวิชานั้นแน่นอน ไม่รู้ว่าเขาสามารถฝึกวิชานี้ให้สำเร็จได้อย่างไร?” เป่าฮวาปลอบใจชายชุดสีทองอยู่สองประโยค จากนั้นนางก็นึกบางอย่างออกมาได้
“เรื่องมันน่าแปลกที่ใดกัน เดิมทีนิพานร่างศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงการใช้วิชามารขั้นพื้นฐานของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อถึงเผ่าของข้า โดนคนอื่นเอาวิชาข้าไปใช้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ที่ข้าตกใจก็คือ การฝึกใกล้เคียงกับร่างศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในตอนนั้นที่ข้าฝึกวิชานี้ได้สำเร็จ เพราะว่ามีปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ข้าให้ฝึกใหม่อีกรอบล่ะก็ ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถมาจุดนี้ได้ แต่ว่าเขาเป็นเพียงคนต่างแดนคนหนึ่ง กลับสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นนี้ มันก็ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจมากจริงๆ” เนี่ยผานหัวเราะอย่างขื่นขม จากนั้นก็พูดตอบ
“ตอนที่ข้าได้เจอเด็กคนนั้นครั้งแรก ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีวาสนามาก เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเด็กคนนั้นแล้ว หลังจากเรื่องนี้ ข้าวางแผนว่าจะปิดด่านฝึกไม่ออกมา พยายามไปสู่การผ่านด่านเคราะห์ให้ได้โดยเร็ววัน” หลังจากที่เป่าฮวาหัวเราะแล้ว สีหน้าก็จริงจังมากขึ้น
“อื้อ เรื่องโลกภายนอกทั้งหมดก็ยกให้หยวนเหยี่ยนจัดการเถอะ หึๆ ในพวกเจ้าสองคน ข้าตั้งความหวังกับเจ้ามากที่สุด แม้ว่าจะจะเคยผ่านด่านเคราะห์มาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ปราณกลับแข็งแกร่งกว่าเดิมมากนัก นอกจากนี้เจ้ายังเข้าใจเกี่ยวกับพลังของแดนวิญญาณ หลังจากนั้นนับว่าเจ้ามีโอกาสอย่างมากที่จะขึ้นแดนเซียน” หลังจากเนี่ยผานพยักหน้าแล้ว เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอิจฉา
“ฮ่าๆ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้าไม่ขอรั้งตัวอยู่ที่นี่แล้ว ขอตัวลาไปก่อนนะเจ้าคะ” หลังจากเป่าฮวาหัวเราะเบาๆ ไม่กี่ครั้ง นางก็ใช้เท้าที่ขาวดั่งหยกเหยียบดอกบัวสีทองเบาๆ
ตอนนั้นเองกลีบดอกไม้ก็หมุนไปรอบๆ จากนั้นกลีบดอกไม้จำนวนไปก็ลอยออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเป็นเพียงภาพเงาสีทองเท่านั้น
เมื่อเนี่ยผานเห็นเช่นนั้น ก็ส่ายหน้าและสะบัดแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็กลายร่างเป็นรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งตัวออกไปทันที
ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งเทือกเขาและท้องฟ้าแห่งนี้ก็เหลือเพียงความว่างเปล่าอีกครั้ง
…
หนึ่งเดือนต่อมา เทือกเขาแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยต้นเฟิงสีแดง (เมเปิ้ล)
“สหายหาน เจ้ารู้อยู่ตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ว่ามีมหาเมธีเผ่ามารสองคนตามหลังเรามา” นักพรตเซี่ย หันไปมองหานลี่ที่นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ พร้อมถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ใช่ รู้ตั้งนานแล้ว หนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนคุ้ยเคยที่เคยติดต่อกันมาหลายครั้ง หากเขาไม่ได้ลงมือขวางทางพวกเราแล้วล่ะก็ ข้าก็ขี้เกียจจะไปใส่ใจมาก” หานลี่ตอบกลับอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ว่าคนผู้นี้ถือว่ามีไหวพริบดี น้อยมากที่จะเข้ามาคุยและพูดจากับเขาด้วยตนเอง
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” นักพรตเซี่ยพยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรดังเดิม
จึงทำให้หานลี่ลูบคางเบาๆ แววตามีประกายความประหลาดใจขึ้นมา
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ก่อนที่เซียนหม่าเหลียงผู้นั้นจะประมือกับข้า เหมือนเขาจะบอกว่าเจ้าคือเซียนหุ่นเชิดที่แท้จริง ไม่ใช่เซียนจอมปลอมอะไร สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง จะว่าไปแล้ว เหมือนว่าสหายจะยังปิดบังเรื่องนี้กับข้าอยู่”
หานลี่หันไปมองนักพรตเซี่ยอย่างสงสัย พร้อมพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้าเองก็ไม่เคยปิดบังอะไรเจ้า” นักพรตเซี่ยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“คำพูดของสหายยากจะทำให้คนอื่นรู้สึกเชื่อนะ” หานลี่ขมวดคิ้วขึ้น ท่าทางเหมือนไม่เชื่อ
“ตัวตนของข้าโดนคนปิดผนึกเอาไว้ ตอนนี้สามารถปลดผนึกได้เพียงความทรงจำเท่านั้น นอกเสียจากสหายจะสามารถรวบรวมของที่ข้าร้องขอไปได้ครบ ข้าถึงจะสามารถปลดผนึกได้อีกชั้น ถึงเวลานั้นข้าอาจจะบอกเรื่องราวอื่นๆ ได้” นักพรตเซี่ยพูดขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ได้ เห็นแก่ที่สหายคอยช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด ข้าจะเชื่อคำพูดของสหาย รอผู้น้อยแซ่หานรวบรวมของเหล่านั้นได้หมดแล้ว ก็ขอให้สหายเล่าความจริงมาอีกครั้ง” หานลี่กะพริบตาสองครั้ง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
นักพรตเซี่ยพยักหน้าอย่างไม่ออกความเห็น และยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
หานลี่กลับมามองระยะไกล ทันใดนั้นเองเขาก็พลิกมือข้างหนึ่งขึ้น เกล็ดสีเงินแวววาวก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากมันหมุนวนไปมาอยู่บนฝ่ามือ ด้านบนก็มีข้อความหลายแถวที่แตกต่างจากตอนแรกปรากฏออกมา
“ราชทูตของเกาะมังกรมีความสามารถมากจริงๆ ทันทีที่ข้ามาถึงดินแดนแห่งนี้ ก็กระตุ้นพลังมาที่เกล็ดแผ่นนี้ทันที และบอกว่าจะมาพบพวกเราภายในหนึ่งเดือน ถ้าพูดแบบนี้มาตั้งแต่แรกก็พอแล้ว ทำไมต้องอธิบายหลายๆ ครั้งด้วย แต่ถ้าลองนับเวลาแล้ว ก็น่าจะใกล้เคียงกันแล้วล่ะ” หลังจากหานลี่กวาดสายตามองข้อความบนเกล็ดสีเงิน เขาก็ขมวดคิ้วพร้อมพูดพึมพำ
“นั่นก็เป็นเพราะว่า เพื่อการชุมนุมพระสูตรในครั้งนี้ พวกเราส่งคนของเผ่ามังกรออกไปครึ่งเผ่า เพื่อมาต้อนรับผู้มีเกียรติอย่างพวกเจ้า” เสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะของหานลี่และนักพรตเซี่ย
จากนั้นกลางอากาศก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้น มังกรห้ากรงเล็บสีเขียวหยกหนึ่งตัวก็ปรากฏขึ้น หลังจากที่ประกายแสงออกมาแล้ว ก็กลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวขาวดุจหิมะ บนหัวมีเขาสั้นๆ อยู่ และสวมชุดคลุมสีเขียว นางมองไปที่หานลี่ด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางเถียน หรือว่าเจ้าจะเป็นราชทูตที่มารับผู้น้อยแซ่หาน” เมื่อหานลี่เห็นผู้หญิงสวมชุดสีเขียวเขาก็อดตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้ก็คือ คนที่หานลี่เคยติดต่อกันมาแล้ว แม่นางเถียนเฟยเอ๋อร์
“ทำไมหรือ ข้ามารับท่านด้วยตนเอง คงทำให้พี่หานผิดหวังมากสินะ” เถียนเฟยเอ๋อร์ยืนยิ้มหวานอยู่กลางอากาศ
“หึๆ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าเพียงได้ยินมาว่าแม่นางเป็นหนึ่งในผู้จัดงานชุมนุมพระสูตร คิดไม่ถึงว่าจะมารับข้าด้วยตนเองเช่นนี้” หานลี่รีบกระแอมไอเบาๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กน้อย พร้อมประสานมือทำความเคารพ
“ผู้จัดงานอะไร แค่พูดให้ดูดีเท่านั้นเอง เรื่องการรับรองคน เผ่ามังกรของพวกเรามีประชากรน้อย ก็แค่มาทำหน้าที่เป็นราชฑูต จากนั้นก็ยังต้องไปจัดการงานอื่นๆ ด้วย” เถียนเฟยเอ๋อร์บุ้ยปาก พร้อมตอบอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากนั้นเงาของหญิงสาวคนนั้นก็วูบหายไป และมาปรากฏที่ตรงหน้าของหานลี่ พร้อมมองสำรวจไม่หยุด
“ทำไมหรือ แม่นางเถียนสงสัยว่าข้าเป็นตัวปลอมหรือ?” หานลี่เห็นว่าสายตาของฝ่ายตรงข้ามนั้นดูแปลกๆ ไป เขาจึงอดถามกลับด้วยความแปลกใจไม่ได้
“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่าปราณของเจ้าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ทำไมถึงสามารถฆ่าเซียนผู้หนึ่งได้ ข้าขอเตือนเจ้าสักคำ เรื่องที่เจ้าอาจจะมีโอสถวิญญาณแท้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยรู้เรื่องนี้แล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับโอสถเม็ดนี้” เถียนเฟยเอ๋อร์หรี่ตามอง จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้ม