คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2439 แดนมนุษย์
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2439 แดนมนุษย์
ตอนที่ 2439 แดนมนุษย์
ในระดับความสูงพันจั้ง ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขนานนามตนเองว่า ธรรมะและพวกนอกรีต ยังคงสู้ต่อกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไอสังหารคุกรุ่น เงามายาภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วนลอยล่องออกไป อีกด้านหนึ่งก็มีวงแหวนขนาดเล็กถูกวางเอาไว้อยู่ อาวุธทุกชนิด ส่งเสียงเรียกเสียงฟ้า จนฟ้าต้องสั่นสะเทือน
เพียงแต่ว่าในพื้นที่แห่งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ระดับสูงที่สุดก็มีแค่ขั้นก่อกำเนิดปราณสองคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็อยู่ในระดับสร้างปราณเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงของต้าจิ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงของสำนักจริงๆ ด้วย แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เป็นคนที่หัวเราะตอนสุดท้าย ราชวงศ์ต้าจิ้นก็ถึงคราวต้องเปลี่ยนชื่อสกุลอีกครั้ง บนเมฆสีขาวก้อนเหนือน่านฟ้าก้อนหนึ่ง หานลี่กำลังมองสำรวจมหาสงครามด้านล่างอยู่ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์เศร้าใจ
เรื่องราวที่เขาได้อยู่ในต้าจิ้น ยังคงชัดเจนเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่ความเป็นจริงมันผ่านไปเป็นหลายพันปีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแก่คนเฒ่าในอดีตเลย เกรงว่าสำนักที่คุ้นเคยกันดีอาจจะหายไปไม่น้อยแล้ว
การต่อสู้ของคนด้านล่างที่เรียกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมะและอธรรม ไม่มีค่าพอที่จะให้หานลี่มองด้วยซ้ำ
เขายืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสักครู่ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาร่ายคาถา จากนั้นก็หายไปในเมฆก้อนนั้นอย่างอย่างไร้เสียงไร้ร่องรอย
…
ในพื้นที่ต้องห้ามของชายแดนใต้ของแคว้นต้าจิ้น มีผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดผู้บำเพ็ญเพียรหลากสีต่างสำนัก พวกเขากำลังลาดตระเวนอยู่ที่เนินเขาของภูเขาสีดำขนาดยักษ์
เขตแดนต้องห้ามเหล่านั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามขั้นสุดยอดแล้ว นอกจากจะมีบรรพชนระดับขั้นก่อกำเนิดปราณสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถทำลายมันได้ ทหารยามเหล่านั้นจึงไม่กังวลว่าจะมีใครลอบขึ้นไปภูเขายักษ์แห่งนี้กลางอากาศ
อีกทั้งแม้ว่าภูเขาแห่งนี้จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในครั้งอดีต แต่ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจำนวนไม่น้อยที่ล้มลง เพราะเหตุนี้สำนักใหญ่ๆ จึงร่วมส่งคนมาปิดผนึกและปกป้องมันเอาไว้ จนมาในวันนี้ ผ่านมาหลายพันปีแล้ว ของวิเศษบางส่วนถูกขุดออกมาตั้งนานแล้ว จึงไม่มีการระวังภัยขั้นสูงของภูเขาลูกนี้อีกต่อไป
ที่ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะดูแลมันอย่างใกล้ชิด ความจริงแล้วเขาไม่ได้ใส่ใจเลย เขาแค่ทำเหมือนเป็นงานในชีวิตประจำวัน
ในเมื่อเป็นสถานการณ์เช่นนี้ ภาพมายาจางๆ ที่ไม่ได้เป็นจุดสนใจของกลุ่มทหาร ก็เดินเข้าภูเขาสีดำทะมึนลูกนั้นเข้าไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา กลางอากาศเหนือภูเขาลูกนั้นประมาณหลายร้อยจั้ง หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็ก้มหน้ากวาดสายตามองภูเขายักษ์ลูกนั้น
ด้วยพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา แม้ว่าภูเขาลูกนั้นจะมีเขตต้องห้ามหนาแน่น แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะสามารถครอบคลุมทุกพื้นที่ของภูเขา
เมื่อเห็นสถานที่ที่คุ้นเคย สีหน้าของหานลี่ก็มีความซับซ้อนขึ้น
ในเมื่อภูเขาคุนอู๋ไม่มีทั้งคนทั้งสิ่งของอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับสู่ความว่างเปล่าก็แล้วกัน
หลังจากหานลี่บ่นพึมพำ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็เคลื่อนไหวกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นไม่นาน เหนือยอดเขายักษ์แห่งนั้นก็มีระลอกคลื่นขนาดใหญ่เกิดขึ้น มือยักษ์สีเขียวขนาดใหญ่มากกว่าพันจั้งปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า มันตบลงมาที่ภูเขาด้านล่างอย่างรุนแรง
ภูเขาลูกนั้นส่งเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาเดียวม่านแสงของเขตต้องห้ามก็แตกสลายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ระลอกคลื่นที่รุนแรงก็โหมกระหน่ำขึ้น
ภูเขายักษ์ก็หายไปทันที
พื้นที่เดิมเหลือเพียงแค่หลุมขนาดใหญ่ ที่มีความลึกอย่างมาก
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรผ่ายธรรมะที่ลาดตระเวนอยู่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาอ้าปากค้าง แต่มันเหมือนกับฝันไปเลยตั้งหาก
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสขั้นก่อกำเนิดก็รีบมาที่นี่ทันที
แต่หลังจากที่เขาตรวจสอบแล้ว นอกจากจะพบร่องรอยของพลังที่กลางอากาศแล้ว เขาก็ไม่สามารถค้นหาตำแหน่งของภูเขาคุนอู๋ได้อีก ใบหน้าของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความสงสัย และจากไปอย่างขุ่นเคือง
จากนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสิบตำนานที่น่าเหลือเชื่อของแคว้นต้าจิ้น เรื่องที่เกี่ยวกับภูเขาคุนอู๋ก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรกล่าวถึงมากมายนับครั้งไม่ถ้วน
แต่หลังจากเวลาค่อยๆ ผ่านมา ข่าวลือนี้ก็ค่อยๆ หายไป หลังจากผ่านมาสองหมื่นปี สามารถเห็นเรื่องของภูเขาคุนอู๋ผ่านๆ ได้ในหนังสือโบราณ
…
มหาสมุทรดาวคลั่ง เกาะยักษ์แห่งนี้ที่เป็นที่ตั้งของเมืองดาวจรัสฟ้า ตอนนี้คึกคักอย่างมาก มีคนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา มีเรือจำนวนมากเข้ามาเทียบท่า จนมองไกลๆ แล้วเหมือนมด
ในเมืองนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมและสร้างปราณจำนวนไม่น้อย บางครั้งก็จะเห็นผู้บำเพ็ญขั้นก่อกำเนิดบินอยู่กลางอากาศแล้วมุ่งตรงไปที่ส่วนบนสุดของวังดาราอีกด้วย
วันนี้เป็นวันเกิดอายุพันปีของจ้าวผู้ครองวังดารา บรรพชนหลิง กองกำลังน้อยใหญ่ทั่วมหาสมุทรดาวคลั่งได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ให้ตั้งแต่สิบปีที่แล้วแล้ว พวกเขาหวังว่าจะทำให้บรรพชนหลิงพอใจ แล้วกองกำลังของเขาจะได้รับการคุ้มครองจากวังดาราต่อไป
เมื่อถึงช่วงเที่ยง ที่ท้องพระโรงกลางวังดารา ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดหลายสิบคนมารวมตัวกันที่นี่ ทุกคนต่างมองไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว พร้อมทำความเคารพอย่างมีมารยาท
ผิวพรรณของผู้หญิงคนนั้นขาวดั่งหยก มีเสน่ห์เหลือล้น แววตาของนางแวววาวเหมือนซ่อนคริสตัลเอาไว้ด้านใน สายตาของนางกวาดไปรอบๆ บรรพชนระดับก่อกำเนิดค่อยๆ เข้ามาทำความเคารพนางอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะที่นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนเดียวของมหาสมุทรดาวคลั่ง อีกทั้งเพราะเหตุผลลึกลับบางอย่างที่คนภายนอกไม่อาจทราบ ทำให้อายุของนางนั้นทะลุขีดจำกัดของผู้บำเพ็ญเพียรในแดนมนุษย์นี้ไปแล้ว แต่นางก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ จ้าวผู้ครองวังดาราผู้นี้มีคุณสมบัติที่จะสามารถเมินทุกคนที่อยู่ในมหาสมุทรดาวคลั่งแห่งนี้
จึงทำให้กองกำลังน้อยใหญ่ในมหาสมุทรดาวคลั่งยอมจำนนต่อวังดารา
ได้เวลาแล้ว เช่นนั้นก็เปิดงานอย่างเป็นทางการเถอะ หลังจากที่สาวใช้ได้ยกผลไม้วิญญาณและชาออกมาวางไว้ให้ตรงหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว จ้าวผู้ครองวังดาราผู้นี้ก็กล่าวขึ้นเสียงเรียบ
คนที่อยู่ด้านล่างก็ขานรับทันที และสั่งการลงไปอีกต่อหนึ่ง
แต่ในขณะนั้นเอง กลางตำหนักก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดเสียงเบา
หึๆ เหมือนว่าผู้น้อยแซ่หานจะมาได้เวลาพอดีเลย มีสหายเก่ามาจากแดนไกล สหายหลิงไม่รินเหล้าให้ข้าสักแก้วหรือ เมื่อสิ้นเสียง ประตูด้านนอกท้องพระโรง ก็มีเงาวูบไหวขึ้น ชายคนหนึ่งหน้าตาธรรมดาสวมชุดคลุมสีเขียว ค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
หลังจากเขาใช้จิตสัมผัสสำรวจขั้นก่อกำเนิดทุกคนในท้องพระโรงนี้แล้ว เขาไม่ค้นพบระลอกคลื่นของพลังที่อยู่ในร่างกายเลย ราวกับว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
เจ้าคือ… เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะมาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร เดิมทีเจ้าผู้ครองวังดาราก็มีสีหน้าราบเรียบ แต่เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้น ใบหน้าของนางก็แสดงความตกใจอย่างสุดขีด หลังจากที่เขาเดินเข้าไปด้านในท้องพระโรง ให้ผู้คนเห็นหน้าอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ยืนขึ้นอย่างตกใจ แม้กระทั่งเสียงก็ยังสั่นอีกด้วย
ไม่มีอะไร ข้ามีเรื่องบางอย่างพัวพัน ก็เลยต้องลงมาสักรอบ แต่ว่าก็ไม่ได้เจอนานหลายปีเลยนะ คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในระดับเทพแปลงแล้ว ยินดีด้วยนะ ชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวคนนั้นก็คือหานลี่นี่เอง เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับหลิงอวี้หลิง
ทุกคนออกไปให้หมด ข้าอยากจะคุยกับสหายเก่าท่านนี้เพียงลำพัง หลังจากหลิงอวี้หลิงเปลี่ยนสีหน้าไปมาอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นนางก็สั่งการลงไปด้วยเสียงเย็นชา
แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจะมึนงง เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้ว่าหานลี่เป็นใครมาจากไหน แต่หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น มีหรือที่เขาจะกล้าขัด จึงขอตัวลากลับไปทีละคน
พริบตาเดียว ภายในท้องพระโรงแห่งนั้นก็เหลือเพียงหานลี่และหลิงอวี้หลิงอยู่สองคนเท่านั้น
สหายหาน จะกลับมาจากแดนวิญญาณจริงๆ หรือเนี่ย รอจนคนทั้งหมดออกไปแล้ว หลิงอวี้หลิงก็รีบกระตุ้นคาถาเขตต้องห้ามคลุมท้องพระโรงแห่งนี้เอาไว้ หลังจากแยกทุกอย่างออกมาโดยสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็ลุกออกจากที่นั่ง แล้วถามขึ้นอย่างดีใจ
ข้าลงมาโลกเบื้องล่างจริงๆ แต่เรื่องนี้มันยาว พวกเราสองคนค่อยๆ พูดคุยกันไปก็ได้ ไม่ได้อยู่ที่แดนมนุษย์มาหลายปี ข้ามาเรื่องราวมากมายที่อยากจะสอบถามจากท่านจ้าววังดาราอยู่เช่นกัน หานลี่ยิ้มเบาๆ แล้วพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
พี่หานวางใจเถอะ แม้ว่าหลายปีมานี้ข้าจะไม่ได้ออกไปที่ไหนเลยนอกจากมหาสมุทรดาวคลั่ง แต่ข้าก็รู้ข้อมูลของโลกมนุษย์ไม่น้อย พี่หานจะถามอะไรก็ถามมาได้เลย ในที่สุดหลิงอวี้หลิงก็เพิ่งได้สติ นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้ นอกจากสหายหลิงแล้ว ข้าไม่เจอสหายที่เคยรู้จักเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องที่ข้าอยากรู้นั้นมีไม่เยอะ ส่วนมากก็เกี่ยวข้องกับคนเก่าแก่ทั้งนั้น หานลี่แสดงสีหน้าเสียใจออกมาเล็กน้อย
หลังจากนั้น หานลี่และเจ้าผู้ครองวังดาราก็ได้พูดคุยกันเป็นเวลานาน
หลังจากม่านพลังได้สลายลงด้วยตัวของมันเอง ก็มีสายรุ้งสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานออกไป จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากกลุ่มแสงนั้น
สหายหลิง หวังว่าจะได้พบเจ้าที่แดนวิญญาณนะ
ทันใดนั้นสายรุ้งสีเขียวเส้นนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
กลางท้องพระโรง หลิงอวี้หลิงก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เดิม แต่ในมือของนางถือม้วนคัมภีร์หยกเอาไว้อยู่เล่มหนึ่ง ใบหน้าตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน หานลี่ก็ออกมาจากเมืองดาวจรัสฟ้าเป็นระยะไกลแล้ว ภายในแสงสีเขียว หานลี่เองก็กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่หลิงอวี้หลิงได้บอกมา
ในตอนนั้นเขากับหนานกงหวั่นได้ทิ้งเกาะยักษ์นั้นเป็นมรดกไว้ที่มหาสมุทรดาวคลั่ง และได้กลายเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่อยู่ที่นั่น คาดไม่ถึงว่าเถียนฉินเอ๋อร์จะเป็นศิษย์คนสุดท้ายในสายของเขา บางคนก็อยู่ขั้นหลอมรวมขั้นปลายบางคนก็อยู่ขั้นก่อกำเนิดขั้นต้น เมื่อนับไปมาแล้วรุ่นนี้นับได้ว่าเป็นศิษย์เหลนของเขาแล้ว และหนึ่งในนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดที่เข้ามาแสดงความยินดีกับหลิงอวี้หลิงในวันนั้นด้วย
เมื่อเขารู้ว่าศิษย์หลานคนนั้นได้อยู่ในความดูแลของหลิงอวี้หลิง การบำเพ็ญเพียรก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงไม่มีความคิดที่จะไปเจอพวกเขาอีกแล้ว
อีกทั้งเถียนฉินเอ๋อร์คนนั้น ก็ได้ทะลุขั้นเทพแปลงไปตั้งแต่สองพันปีก่อนหน้านี้ และด่านเคราะห์เหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นเถ้าถ่าน เพราะมีการเตรียมตัวที่ดี จิตวิญญาณที่ควรจะถูกทำลายให้พังพินาศ น่าจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่
ส่วนสือเจียน ศิษย์ที่มีสิทธิสืบทอดนิกายพันไผ่ผู้นั้น เขาตายไปพร้อมกับศัตรูในตอนที้ขาอยู่ขั้นก่อกำเนิด แต่จากนั้นก็มีการยอมรับศิษย์ที่มีคุณสมบัติไม่เลว และในปีนั้นต้าเหยี่ยนได้รับตำแหน่ง ช่วงนั้นสำนักจึงรุ่งเรืองมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนพรรคเมฆคล้อยและหุบเขาใบเฟิงเหลือง สองสำนักนี้ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลังจากผ่านมาหลายปี ก็มีพัฒนาการที่น่าทึ่งเช่นกัน
ในปีนั้นที่หุบเขาใบเฟิงเหลืองตกอยู่ในอันตราย มันก็ผ่านมาแล้วหลายพันปี คาดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับกับฉายาที่ว่า ลูกศิษย์อัจฉริยะ ส่วนใหญ่สามารถบำเพ็ญเพียรจนอยู่ในระดับก่อกำเนิดได้ จึงทำให้หุบเขาใบเฟิงเหลืองผงาดขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงดีกว่าเมื่อก่อน และกลายเป็นสำนักขนาดใหญ่ในนภาทักษิณด้วย
ส่วนพรรคเมฆคล้อยแม้ว่าหานลี่ทำให้พวกเขาตกต่ำ แต่หลังจากที่เขาขึ้นมาอยู่แดนวิญญาณแล้ว ก็มีผู้อาวุโสขั้นก่อกำเนิดปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย และเป็นที่หนึ่งในภูเขานิทราเมฆามาตลอด นับว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งตัวจริง
แต่อย่างไรก็ตามสำนักกระบี่โบราณ สำนักร้อยฝีมือที่เป็นสำนักขนาดใหญ่ของภูเขานิทราเมฆา หลังจากที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ก็มีสำนักใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่
เมื่อหานลี่ได้ยินข่าวนี้ แม้เขาจะรู้ว่าหลิงอวี้หลิงไม่มีทางโกหกเขาในเรื่องนี้ ในใจเขาก็รู้สึกปลง เรื่องสำนักพวกนี้ก็ต้องมีขึ้นมีลง แต่เรื่องนี้กลับมีแต่เรื่องลง