คุณสามีพันล้าน - บทที่ 116 ความทั่วถึงของคุณพัฒน์
“ภูริช หลังรถมีของฝากที่แม่ยายผมเอามาฝากด้วย ลุงเรียกคนมาช่วยขนเข้าไปหน่อยนะครับ”
ยศพัฒน์เอ่ยสั่งเสร็จ ก็หันมาพูดกับภรรยาที่รักว่า “วิกา เราเข้าไปกันเถอะ”
เทวิกาพยักหน้า
ในตอนที่ยศพัฒน์บอกให้ภูริชเอาของฝากจากแม่ของเธอข้าไปเก็บข้างใน เทวิกากังวลนิดหน่อยว่าคนในครอบครัวของเขาจะไม่ชอบของฝากที่แม่เธอเอามาให้ เพราะคิดอีกแง่ ครอบครัวของเขาต่างก็รู้ถึงที่มาที่ไปของเธอแล้ว
ของฝากของแม่เธอก็มีเท่านี้ ไม่ว่าครอบครัวเขาจะชอบหรือรังเกียจ เธอก็ต้องยอมรับ และนิ่งเข้าไว้
การตกแต่งภายในห้องโถงมีกลิ่นอายย้อนยุค แต่กลับดูหรูหรา เก้าอี้แต่ละตัวล้วนแล้วแต่ทำมาจากไม้เนื้อดี
คุณปู่ภูธิปกับคุณย่าชนิศานั่งอยู่บนโซฟา ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานของพวกเขา
เมื่อเห็นยศพัฒน์พาเทวิกาเดินเข้ามา ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกาย
แม้ว่าตอนที่ยศพัฒน์ประกาศเปิดตัว จะโชว์รูปเทวิกาในทะเบียนสมรสให้คนในครอบครัวดูแล้ว แต่พอคนในตระกูลได้เห็นเทวิกาตัวจริง ก็รู้สึกว่าสวยกว่าในรูปมากๆ
“นี่เทวิกาสินะ”
ผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายยศพัฒน์ เดินอมยิ้มเข้ามา พร้อมกับคล้องแขนเทวิกาอย่างสนิทสนม แถมยังแกะมือของยศพัฒน์ออกจากแขนของเทวิกา เพื่อครอบครัวเทวิกาคนเดียว
“ฉันคือป้าของยศพัฒน์”
ผู้หญิงคนนั้นเปิดเผยสถานะของตัวเอง
เทวิกาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าป้าเสียงเบา
“ดีๆ เรียกบ่อยๆจะได้ชินปาก”
คุณป้าเอ่ยพูดยิ้มๆ
“คุณป้า”
เทวิกาเอ่ยเรียกอีกครั้ง
คุณป้าเอ่ยพูดกับทุกคนในห้องโถงว่า “ฉันชอบหลานสะใภ้คนนี้ ต่อไปนี้เธอคือคนในปกครองของฉัน ถ้าใครกล้ารังแกเทวิกาล่ะก็ แปลว่ากล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อฉัน อย่างนั้นก็เตรียมรับผลการกระทำได้เลย!”
ขณะที่พูด เธอก็ถอดกำไลหยกให้เทวิกา เอ่ยพูดว่า “นี่เป็นของขวัญในการเจอกันของเรา”
เทวิกาไม่มีความรู้เรื่องเครื่องประดับ แต่ก็พอจะรู้ว่ากำไลนี้ต้องแพงมากแน่ๆ เธอจึงเตรียมที่จะปฏิเสธ
แต่คุณป้ากลับเอ่ยพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ห้ามปฏิเสธ ถ้าแกปฏิเสธ ฉันจะถือว่าแกรังเกียจของขวัญของฉัน”
เทวิกา “…..ขอบคุณค่ะคุณป้า”
คุณย่าชนิศามีลูกชายห้าคนลูกสาวแค่คนเดียว จึงรักลูกสาวเป็นพิเศษ
คุณป้าคนนี้ถือได้ว่าเป็นเจ้าหญิงในตระกูลอริยชัยกุล ไม่เพียงแต่เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ เหล่าน้องชายต่างก็ตามใจและโอ๋เธอ น้องสะใภ้ก็ไม่มีใครกล้าหือกับเธอสักคน
แล้วยิ่งคนรุ่นหลานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกคนต่างก็ดีกับคุณป้าเป็นพิเศษ
เวลาถูกแกล้ง ก็จะพากันวิ่งโร่มาฟ้องคุณป้ากันหมด
ผู้หญิงมีอายุอีกคนกล่าวยิ้มๆขึ้นมาว่า “อันดา อย่าแย่งสิทธิ์ของยศพัฒน์สิ นี่ภรรยาของเขานะ”
ทุกคนต่างหัวเราะขำออกมา
“คุณปู่ คุณย่า”
เทวิกาถูกอันดาพามาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ และเทวิกาก็เอ่ยเรียกผู้ใหญ่ทั้งสองคนเองโดยไม่ต้องให้ใครบอก
ปกติคุณปู่ภูธิปมักจะตีหน้านิ่งใส่คนอื่น และวางท่าเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
แต่พอได้เจอเทวิกาสีหน้ากลับอ่อนลง ทั้งยังขานรับเทวิกาด้วยเสียงนุ่มนวล
ด้านคุณย่าชนิศาก็แย่งตัวหลานสะใภ้มาจากลูกสาวโดยตรง ดึงเทวิกามานั่งลงข้างๆ พร้อมกับเอ่ยพูดอย่างเอ็นดูว่า “นั่งรถมาเบื่อหรือเปล่า? หิวหรือยัง? อีกเดี๋ยวก็จะทานข้าวกันแล้ว”
“คุณย่า มีพัฒน์อยู่ด้วย ฉันไม่รู้สึกเบื่อเลยค่ะ”
เทวิกาไม่กล้าบอกว่าตัวเองหลับมาตลอดทาง
ตอนที่ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
“เขานั่นแหละตัวน่าเบื่อ คุยกับเขาเป็นอะไรที่ชวนน่าเบื่อจะตาย”
คุณย่าชนิศากล่าวเหน็บแนมหลานชายตัวเอง
ดวงตาสวยของเทวิกาวูบไหว อยู่กับเธอเขาดูพูดมากออก
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนต่างแสดงออกว่าชื่นชอบเทวิกา ส่วนคนอื่นๆที่นั่งมองอยู่ ไม่ว่าจะแสดงความเอ็นดูออกมาจริงๆหรือเสแสร้งก็ตาม แต่มันก็ออกมาดูใจดีทั้งหมด
จากที่ยศพัฒน์แนะนำให้รู้จัก เทวิการู้ว่าผู้คนที่นั่งอยู่นี้ แบ่งเป็นอา อาสะใภ้ และลุงเขย
ส่วนพ่อแม่ของเขาท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกยังไม่กลับมา เธอเลยยังไม่ได้เห็นหน้า
ภูริชชี้บอกให้คนใช้นำของฝากจากพ่อแม่ของเธอเข้ามา
มีทั้งมันเทศ เผือก มันสับปะหลัง และพวกผลไม้อีกกระสอบใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตที่ปลูกจากสวนตระกูลวาชัยยุงทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีไก่ที่ใส่กรงมาและไข่ไก่อีกสองตะกร้า
ผักสดๆอีกถุงใหญ่
“คุณปู่ คุณย่า นี่เป็นของฝากจากพ่อตาแม่ยายผมครับ พ่อตาแม่ยายผมปลูกเองทั้งนั้น รับรองสะอาดและสดใหม่แน่นอน”
ยศพัฒน์เอ่ยพูดกับผู้ใหญ่ทั้งสอง
คุณย่าชนิศายิ้มออกมาแล้วตบหลังมือเทวิกาเบาๆ “วิกา พ่อแม่แกเกรงใจกันเกินไปแล้ว ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่เห็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้”
เทวิกาอมยิ้ม “คุณย่า ก็เพราะว่าเป็นครอบครัวเดียวกันนี่แหละค่ะ แม่ฉันถึงได้เกรงใจ และบอกให้ฉันเอาของมาฝากมากมายขนาดนี้”
อันดากล่าวสมทบว่า “นั่นน่ะสิ ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ไม่เห็นต้องพิธีรีตองอะไรเลย แม่ ฉันอยากกินไก่ กับมันเทศ นานแล้วที่ไม่ได้กิน คิดถึงสุดๆ”
คุณย่าชนิศาดุลูกสาวว่า “แกกลับบ้านคราวก่อน ก็เอากลับมาด้วยเป็นถุงเลยไม่ใช่เหรอ ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ”
กล้าบอกว่านานได้ยังไง
“ครอบครัวเราคนเยอะ ถุงเดียวกินได้แค่สิบกว่าวันก็หมดแล้ว”
คุณย่าชนิศาแขวะออกมา “พวกตะกละ”
“คนเรามีชีวิตอยู่เพื่อกินนี่นา”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูก หัวใจที่เหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ตลอด ก็เบาลงในที่สุด
เชื่อที่ยศพัฒน์บอกแล้ว
ครอบครัวของเขาแทบไม่ต่างอะไรกับครอบครัวของเธอ ล้วนแล้วแต่อยู่ในโลกเดียวกันทั้งนั้น
พวกเขาคุยกันเรื่องหุ้น เรื่องอสังหาริมทรัพย์ เรื่องการเงินได้ แต่ก็พูดคุยเรื่องพืชพรรณในไร่สวนได้เหมือนกัน
ไม่แปลกใจเลยที่คนพูดกันว่าตระกูลอริชัยกุลแตกต่างจากตระกูลไฮโซทั่วไป
ซึ่งเทวิกาชอบที่ตระกูลอริชัยกุลเป็นแบบนี้มาก
เธอเชื่อว่า เธอต้องเข้ากับครอบครัวนี้ได้ภายในไม่ช้า
แต่สิ่งที่เทวิกาไม่รู้ก็คือ ยศพัฒน์เตรี๊ยมกับครอบครัวไว้ล่วงหน้า เขากำชับทุกคนนักหนา ว่าให้พูดเรื่องเกษตรต่อหน้าเทวิกา แบบนี้ถึงจะสามารถคลายความกดดันของเทวิกาได้
เพื่อให้เทวิกาเชื่อว่าครอบครัวเขาเข้ากับคนง่าย เชื่อว่าพวกเขาไม่ถือตัว และอยู่ในโลกเดียวกันได้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเวลายศพัฒน์ใส่ใจใครสักคน ช่างเป็นอะไรที่น่าหลงใหลมากๆ
“คุณย่าชนิศา อาหารพร้อมแล้วค่ะ”
แม่บ้านเดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยพูดอย่างนอบน้อม
“วิกา ไปทานข้าวกัน”
หลังจากเทวิกาลุกขึ้น ก็ยื่นมือออกไปพยุงคุณย่าชนิศาขึ้นมา
ด้านยศพัฒน์ก็พยุงผู้เป็นย่าอีกฝั่งอย่างรู้จังหวะ จึงเกิดเป็นภาพสองสามีภรรยาพยุงคุณย่าชนิศาเดินนำอยู่ข้างหน้า
ส่วนคุณปู่ภูธิปเดินเอง อันดาจะช่วยพยุ่ง เขาก็ไม่ยอม
ตอนที่คุณย่าชนิศา ลุกขึ้น คุณปู่ภูธิปก็บ่นพึมพำ แต่ไม่มีใครฟังชัดว่าเขาพึมพำอะไร
แต่ทุกคนในบ้านก็พอจะเดาออกว่าเขาบ่นอะไร คุณปู่ภูธิปตัวติดกับคุณย่าชนิศาตลอด พอหลานชายพาหลานสะใภ้กลับมาบ้าน ก็พากันพรากตัวภรรยาไปจากเขา
คุณปู่ภูธิปรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่กล้าแผลงฤทธิ์ต่อหน้าหลานสะใภ้ เพราะเห็นแก่หน้าหลานชาย
บนโต๊ะขนาดใหญ่มีอาหารมากมายหลายอย่างวางอยู่เต็ม ล้วนแล้วแต่เป็นเมนูประจำบ้าน
ตระกูลอริชัยกุลจ้างพ่อครัวมาจากภัตตาคารระดับห้าดาว ถึงจะเป็นเมนูประจำบ้าน แต่รสชาติก็อร่อยอย่างทั่วถึง หน้าตาน่าทานชวนให้น้ำลายไหล
เดิมทีเวลาทานข้าว จะมีคนใช้คอยยืนรับใช้อยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากเทวิกามา จึงกลัวว่าการมีอยู่ของพวกเขาจะทำให้เธออึดอัด เหล่าคนใช้เลยไม่ได้มาคอยยืนรับใช้เหมือนปกติ ตอนนี้มีเพียงแค่ครอบครัวนั่งทานข้าวด้วยกัน