คุณสามีพันล้าน - บทที่ 194 กนกอร เพื่อนผู้รู้ใจ
รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 194 กนกอร เพื่อนผู้รู้ใจ
เทวิกาเก็บสีหน้าหยอกล้อ แล้วมองเขาอย่างจริงจัง เอ่ยว่า “ไม่ พี่ที่เป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันหลงใหล แล้วจะผิดหวังได้ยังไงกัน ถ้าพี่เป็นคนอำมหิตแบบนั้นต่างหาก ฉันจึงจะรู้สึกผิดหวัง”
“มีคนมากมายต้องใจพี่ แต่พี่ไม่เคยเข้าหาพวกเธอมาก่อนเลย และก็ไม่เคยทำเรื่องที่ทรยศฉันด้วย ฉันไม่โทษพี่เพราะพวกเธอหึงหวงพี่หรอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่อยากเห็น ฉันรู้ว่าถ้าเป็นไปได้ พี่ก็อยากจะพาฉันไปที่ที่ไม่มีใครรบกวนแล้วใช้ชีวิตอยู่กับฉันอย่างสงบสุข”
เพียงแต่ภาระบนบ่าเขามันหนักเกินไป
ในฐานะลูกชายคนโตและทายาทสายตรงของตระกูลอริยชัยกุล เขาก็มีหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ
“มีคนชอบพี่มากมายขนาดนั้น จู่ ๆฉันก็รู้สึกว่าความบ้าบอของฉันในตอนนั้นโชคดีมากขนาดไหน”
เขายอดเยี่ยมเกินไป
แต่ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้เป็นของเธอ
“พี่พัฒน์ ฉันยอมรับว่าทีแรกฉันรู้สึกวุ่นวายใจนิดหน่อย ผนวกกับคำเกลี้ยกล่อมของแม่ฉัน ทำให้ฉันเคยคิดจะหย่ากับพี่ ตอนนี้ฉันยอมรับพี่แล้ว และตกหลุมรักพี่แล้ว พี่เองก็เก่งมาก แค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ทำให้ฉันเต็มใจเดินเข้าไปในรังรักที่พี่สร้างขึ้นมาเพื่อฉัน”
“แม่ฉันน่ะ พี่เองก็เห็นและรู้สึกได้ ว่าแท้จริงแล้วเธอชอบพี่มากๆ ตอนนั้นที่เกลี้ยกล่อมให้ฉันไปจากพี่ เหตุผลหลักๆคือกลัวว่าฐานะทางบ้านไม่เหมาะสมกันแล้วจะทำให้ฉันถูกทำร้าย หลังจากที่ฉันตัดสินใจ แม่ฉันก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก ปฏิบัติกับพี่ดียิ่งกว่าฉันกับพี่ชายฉันเสียอีก”
การปะทะกันของสองสาวผู้คลั่งรัก ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้กระทบสองสามีภรรยา แท้จริงแล้วก็มีผลกระทบเล็กน้อย ทว่าเป็นผลกระทบในทางที่ดี
ทำให้สองสามีภรรยาต่างเปิดใจพูดความในใจออกมา
สามีภรรยาเชื่อใจกันและเคารพซึ่งกันและกัน ใช้ใจสร้างและรักษาชีวิตคู่ของพวกเขาเอาไว้ จึงสามารถทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไปได้นานๆ
รอจนกระทั่งยศพัฒน์พาเทวิกาออกจากบ้าน กชนิภากับเปรมาก็กลับไปนานแล้ว แม้แต่ลำโพงก็ถูกป้ามะนาวเรียกคนมายกไปเก็บแล้ว ราวกับว่าไม่เคยมีคนมาเยือน
ณ โรงแรมเมเปิล
รถที่ยศพัฒน์ส่งไปรับครอบครัวพ่อตาแม่ยายเข้าเมือง ก็ส่งพวกเขามาถึงคฤหัสถ์เมเปิลแล้ว
ขณะเดียวกัน ประยสย์เองก็พาบอดี้การ์ดกับแม่นั่งรถที่ยศพัฒน์ส่งคนไปรับ ไปยังคฤหัสถ์เมเปิลด้วยเช่นกัน
เมื่อรู้ว่าสามีรับคนของทั้งสองครอบครัวไปที่คฤหัสถ์เมเปิล เทวิกาก็โทรหาเพื่อนสนิทตัวเอง เมื่อกนกอรรับสาย เธอก็เอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “เธอ วันนี้ฉันอาจจะไปช่วยงานที่ร้านไม่ได้แล้ว ฝากเธอดูแลร้านด้วยนะ”
กนกอรยิ้มเอ่ยว่า “วิกา เธอจะเกรงใจฉันทำไมกัน One Day In Coffee เป็นของเราสองคน มีคนดูแลร้านคนเดียวก็พอ เธอไปทำเรื่องของเธอได้เต็มที่เลย ถ้าต้องการความช่วยเธอก็บอกฉันนะ”
เธอหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเย้ยหยันตัวเองว่า “แม้ฉันกับประธานตัวร้ายจะเป็นแค่สามีภรรยากันในนาม แต่ถ้าฉันเจอเรื่องที่จัดการไม่ได้ แล้วขอความช่วยเหลือจากประธานตัวร้าย เขาก็น่าจะยอมช่วยฉัน เพราะฉะนั้นถ้าเธอมีปัญหาก็บอกฉันได้ ไม่ต้องปิดบัง ไม่งั้นคงรำคาญใจตาย”
เทวิกาเองก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ถ้าถึงตอนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอจริงๆ ฉันก็จะไม่เกรงใจกับเธอแน่นอน ทำนองเดียวกัน ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็ต้องบอกฉันนะ ฉันในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่ง แต่สามีฉันแข็งแกร่งพอ พวกเราจะพยายามช่วยเธออย่างสุดความสามารถแน่นอน”
กนกอรหัวเราะ “เอาล่ะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้ว ตั้งแต่เพื่อนร่วมชั้นจนเป็นเพื่อนสนิทจนเป็นพาร์ทเนอร์กันในตอนนี้ ยังจะเกรงใจกันอีก จู่ ๆก็ทำให้เราดูห่างเหินกันซะงั้น”
“วิกา ฟังจากคำพูดเธอ เธอคิดจะพัฒนาตัวเองเป็นหญิงแกร่งงั้นเหรอ?”
เทวิกาพูดว่าเธอในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่ง กนกอรก็เดาได้แล้วว่าเพื่อนสนิทเธออาจจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตแล้ว
เธอยังไม่รู้ว่าครอบครัวทางฝั่งพ่อแม่แท้ๆของเทวิกาค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน หากเทวิกาไม่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น กลับไปที่ตระกูลสาระทาก็มีแต่จะถูกคนลอบทำร้ายจนไม่เหลือซากกระดูก
เทวิกายังอยากสืบให้แน่ชัด ว่าเมื่อยี่สิบสามปีก่อน ใครกันแน่ที่ช่วยผู้หญิงที่ชื่อวรันธรอุ้มเธอออกไปจากคฤหาสน์สาระทา ทำให้เธอกับพ่อแม่ต้องแยกจากกัน
ตอนนี้พี่ชายแท้ๆที่อยู่ในตระกูลสาระทาเองก็ตกที่นั่งลำบาก แม้จะเป็นนายน้อยของตระกูล แต่กลับถูกรายล้อมด้วยฝูงหมาป่า หันไปทางไหนก็เจอแต่ศัตรู หากเธอไม่แข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้ กลับไปแล้วไม่ใช่แค่จะช่วยพี่ชายไม่ได้ กลับกันยังจะเพิ่มภาระให้พี่ชายอีก
แม่เป็นบ้าไม่พอ น้องสาวก็ไม่ได้เรื่องอีก นี่ก็คือเพิ่มภาระให้ประยสย์ไม่ใช่หรือไง?
“เธอรู้ใจฉันที่สุด”
เทวิกาพูดชมเพื่อนสนิทกลั้วขำ แล้วเอ่ยว่า “ถ้ามีเวลาค่อยคุยรายละเอียดกับเธอ”
กนกอรตอบกลับเธอด้วยคำพูดได้ใจไม่กี่คำ
“เธอไปทำงานเถอะ ฉันก็จะออกจากบ้านแล้ว”
กนกอรไม่รบกวนเพื่อนรักแล้ว หลังจากที่ทั้งคู่วางสาย เทวิกาก็พูดกับชายหนุ่มข้างกายว่า “ชีวิตนี้ได้มีเพื่อนอย่างกนกอรที่รู้ใจกันแบบนี้ ก็เป็นวาสนาของฉันเหมือนกัน”
ยศพัฒน์เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยาสุดที่รัก
มิตรภาพของหญิงสาวทั้งสองคนแน่นแฟ้นมากจริงๆ
เทวิกากลับไปที่คฤหัสถ์เมเปิลของตระกูลอริยชัยกุล ส่วนกนอรหลังจากที่จบบทสนทนาทางโทรศัพท์กับเพื่อนรักและทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เก็บจานของตัวเองเข้าไปล้างในห้องครัว
“ลูก”
ทักษอรถามลูกสาวว่า “จักรยานไฟฟ้าของเธอล่ะ?”
“แบตเตอรี่หมดน่ะ หนูลืมชาร์จแบตฯ ขี่กลับมาไม่ได้ ก็เลยชาร์จแบตฯไว้ที่ร้าน เมื่อคืนหนูนั่งมอเตอร์ไซค์กลับมา”
กนกอรเดินออกมาจากห้องครัว
“ดึกดื่นแล้วก็อย่านั่งมอเตอร์ไซค์เลย เรียกรถในแอปฯยังเสี่ยงเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมอเตอร์ไซค์ คราวหลังถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกก็โทรหาพี่ชายเธอ ให้พี่ชายไปรับ”
ทักษอรพูดไปพลางเตะลูกชายที่กำลังกินข้าวเช้าไปพลาง
ถูกแม่เตะขาไปหนึ่งที คนเป็นพี่ก็เงยหน้ามองน้องสาวทันที เอ่ยว่า “แม่พูดถูก คราวหลังถ้าจักรยานไฟฟ้าแบตฯหมดก็โทรหาพี่ พี่ไปรับเธอเอง”
อันที่จริง เธออยากบอกว่าด้วยฝีมือของน้องสาว โรคจิตทั่วไปทำร้ายน้องสาวไม่ได้หรอก
ตอนที่เทวิกายังไม่ได้เป็นคุณนายน้อยอริยชัยกุล เจ้าของร้านทั้งสองคนของ One Day In Coffee ต่างเป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม หนักกว่านั้นคือไม่มีฐานะและคนหนุนหลัง ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนหาเรื่องพวกเธอมาก่อน
เพียงแต่คนที่ไปหาเรื่องล้วนถูกหญิงสาวทั้งสองคนต่อยจนน่วม แล้วถูกโยนออกไปจาก One Day In Coffee ทำให้คนแถวนั้นตะลึงจนช็อกตาค้าง และสยบพวกนักเลงได้ด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกเธออีก
กนกอรเคยฝึกมาก่อน ส่วนเทวิกาก็โตมาในบ้านนอก ตอนเด็กเคยตีกับพวกเด็กในหมู่บ้านมาไม่น้อย ซ้ำยังแรงเยอะกว่าผู้หญิงทั่วไป เรื่องต่อสู้ เธอไม่เคยกลัวใครมาก่อน
แน่นอน ว่าหน้าตาของทั้งคู่นั้นหลอกลวงมากๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าหากทั้งคู่ต่อสู้ขึ้นมาแล้วจะแข็งแกร่งขนาดไหน
กอล์ฟไม่กล้าพูดคำพูดแบบนี้ กลัวว่าพูดออกไปแล้วจะถูกแม่ด่า คิดว่าเขากำลังทำลายชื่อเสียงของน้องสาว ว่าน้องเป็นคนหยาบคายรุนแรง กระทบน้องสาวแต่งงาน
“ไม่ไกลสักหน่อย ถ้ายังไม่ดึกมาก หนูเดินกลับมาก็ไม่ได้ใช้เวลานาน แม่ ปู่ หนูไปก่อนนะคะ พี่ ให้ปาท่องโก๋หนูชิ้นหนึ่ง”
กรกอรพูดไปพลางยื่นมือให้พี่ชายเอาปาท่องโก๋ให้เธอไปพลาง
กอล์ฟรีบใช้กระดาษไขห่อปาท่องโก๋ชิ้นหนึ่งให้เธอ ปากกลับตำหนิเธอว่า “เมื่อกี้เธอก็เพิ่งกินไปแล้วชิ้นหนึ่งเอง กินน้อยๆหน่อย เดี๋ยวก็ร้อนในหรอก ถึงเวลาตอนที่สิวขึ้นเต็มหน้า ก็อย่าโทษว่าพี่เอาปาท่องโก๋ให้เธอกินล่ะ”