คุณสามีพันล้าน - บทที่ 198 แทนที่
เทวิกาตอบรับแม่แท้ๆของตัวเอง ก่อนจะอธิบายกับแม่บุญธรรมเสียงเบาว่า “แม่แท้ๆของหนูสติไม่ดีน่ะ มักจะคิดว่าพี่ชายหนูเป็นพ่อหนู จำลูกชายตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
พี่ชายของเธอถึงกับเปลี่ยนชื่อเป็นประยสย์เพื่อให้แม่จำเขาได้
เทวิการู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตเป็นเจ้าหญิงที่บ้านตระกูลวาชัยยุง แต่แม่กับพี่แท้ๆกลับไม่ได้อยู่ดีเป็นสุขเลย
พิชญ์สินีมองคุณหญิงธิษณาด้วยแววตาที่ปวดใจกว่าเดิม
เธอก็เป็นแม่คน ย่อมเข้าใจความเจ็บปวดของคุณหญิงธิษณาดี
พิชญ์สินีหันไปมองประยสย์ พลันรู้สึกปวดใจไม่ต่างกัน
เด็กคนหนึ่งที่ถูกแม่ตัวเองลืมเลือน หลายปีมานี้ แม้ว่าแม่จะอยู่ข้างกาย แต่กลับไม่ได้รับความรักจากแม่
“เข้าไปกันเถอะ”
คุณย่าชนิศาปริปาก
“วิกา”
คุณหญิงธิษณาวางใจเทวิกามากๆ เธออุ้มตุ๊กตาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับแขนของเทวิกาเอาไว้ กลัวว่าเทวิกาจะทิ้งเธอไป
เธอไม่ได้ออกจากบ้านมานานแล้ว ปกติก็อยู่แต่กับคนใช้ในบ้าน คนพวกนั้นล้วนรังเกียจเธอ
นานวันเข้า คุณหญิงธิษณาก็กลัวเจอคนแปลกหน้า และกลัวคนเยอะ
“แม่ อย่ากลัวเลย เราเข้าไปคุยข้างในกัน”
เทวิกาปลอบโยนแม่
คุณหญิงธิษณาพยักหน้า อาจจะเพราะรู้สึกว่าปฏิกิริยาแบบนี้ของเธอจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ จึงหันไปยิ้มให้ทุกคนอย่างขอโทษ
ทุกคนเข้าไปในบ้าน
คนบ้านตระกูลวาชัยยุงดูเกร็งเล็กน้อย โดยเฉพาะคนชราสองคน
ยศพัฒน์รู้สึกได้ถึงความอึดอัดของคนชรา เขาจึงนั่งลงข้างคุณย่าโบว์อย่างเป็นธรรมชาติ
คนแก่สองคนรู้สึกคุ้นเคยกับยศพัฒน์ ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นหลานเขย อีกทั้งยศพัฒน์กับชเนนทร์ก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน แม้จะเพราะด้วยเหตุผลของนิสัย พวกเขาจึงไม่ได้สนิทกันมาก ทว่าในหนึ่งปีก็มีไม่กี่ครั้งที่ยศพัฒน์จะไปกินข้าวที่บ้านพวกเขา
คนบ้านตระกูลวาชัยยุงรู้สึกประทับใจกับเขามาก
เพียงแต่หลังจากที่เรียนจบ เขาต้องยุ่งกับเรื่องรับช่วงต่อ ยุ่งกับปัญหายากเย็นต่างๆหลังจากที่สืบทอดบริษัท จึงไม่มีเวลาไปเรียกร้องความสนใจต่อหน้าคนบ้านตระกูลวาชัยยุงอีก กระทั่งบริษัทเริ่มมั่นคง เขาจึงจะมีเวลาไปจีบเทวิกาตามที่ใจหวัง
อ้อ ยังไม่ทันเริ่มจีบ เทวิกาที่ถูกแม่เร่งให้แต่งงานก็มาเสนอจะเช่าตัวเขาไปเป็นแฟน หลังจากนั้นก็ถูกเขาหลอกและเกลี้ยกล่อม จนกลายมาเป็นสามีภรรยากัน
ยศพัฒน์ไม่เคยบอกมาก่อน ว่าตอนนั้นที่เทวิกาเสนอจะเช่าเขาเป็นแฟน ในใจเขานั้นรู้สึกดีใจลิงโลดขนาดไหน
เขาทุ่มเทลับหลังไปมากมาย ก็เพื่อจะให้เธอติดกับดักกลายเป็นภรรยาเขา คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นฝ่ายกระโดดลงหลุมพรางความรักของเขาเสียเอง
ราวกับเป็นความฝันที่ทำให้หัวเราะจนตื่นได้
รอกระทั่งคนใช้เสิร์ฟน้ำชาและของว่างเสร็จ ยศพัฒน์ก็แนะนำกับคนแก่สองคนว่าขนมแบบไหนอร่อย ให้คนแก่สองคนลองชิมดู
มีเขาคอยคุยเป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย ไม่นานคนแก่สองคนก็รู้สึกผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมาขึ้น
เทวิกาส่งสายตาชื่นชมและซาบซึ้งให้สามีทีหนึ่ง
เธอยังถูกแม่แท้ๆจับไว้ไม่ปล่อย ขณะที่ดูแลแม่แท้ๆ ก็ไม่สามารถละเลยแม่บุญธรรมได้
ตอนนี้ ข้างซ้ายเธอคือพ่อแม่บุญธรรม ส่วนข้างขวาเธอคือแม่กับพี่ชายแท้ๆ
คนตระกูลอริยชัยกุลรอให้คนทั้งสองครอบครัวอารมณ์มั่นคงแล้ว คุณย่าชนิศาจึงจะหันไปมองหลานชายคนโตของตัวเองอย่างใจดี
ยศพัฒน์เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องให้ทุกคนฟัง
คนตระกูลอริยชัยกุลและคนบ้านตระกูลวาชัยยุงจึงจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่รู้สึกสงสารคุณหญิงธิษณา ก็ต่างรู้สึกอัศจรรย์ในความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ตอนที่เทวิกาอายุครึ่งขวบ ก็ถูกคนที่คลั่งรักพ่อเธออุ้มขโมยออกไปจากบ้าน แม้หลังจากที่คนตระกูลสาระทารู้แล้วก็เริ่มสืบหาทันที และไล่ตามวรันธร ทว่าสุดท้ายกลับหาเจอเพียงศพของวรันธร ไม่เจอเนตรดาวที่เพิ่งอายุครึ่งขวบ
สองแม่ลูกแยกจากกันมายี่สิบสามปี ระหว่างนั้นก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ช่วงนี้เทวิกากลับฝันเห็นแม่ตัวเองถึงสองครั้ง นี่ก็คือความน่าอัศจรรย์ของความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ตอนนั้นเทวิกาถูกสิรภพเก็บมาเลี้ยงได้ยังไง?
สิรภพนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น เอ่ยว่า “ตอนนั้นลูกสาวแท้ๆของเราเองก็อายุครึ่งขวบ แต่กลับเป็นโรคมะเร็งเนื้อเยื่อประสาท แม้เราจะยอมทุ่มเงินทั้งหมดไปรักษาเธอ แต่อาการเธอกลับไม่ดีขึ้นเลย หมอบอกผมว่า ลูกสาวของเราอยู่ได้ไม่นานแล้ว ให้เราทำใจกันไว้ให้พร้อม”
“ผมเสียใจมากๆ แต่ก็ไม่อาจไม่เผชิญกับความเป็นจริงได้ วันนั้น ผมถูกหมอเรียกไป หลังจากที่หมอบอกอาการของลูกสาวกับผม ผมก็ไม่ได้กลับไปห้องผู้ป่วย แต่เดินออกจากโรงพยาบาลอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรไปไหน จึงขึ้นรถเมล์คันหนึ่ง ปล่อยให้รถเมล์คันนั้นพาผมมุ่งไปข้างหน้า”
“ตอนที่ผ่านสุสาน ผมนึกถึงคำพูดของหมอ ผมต้องช่วยลูกสาวเตรียมงานศพ ผมจึงลงรถที่แถวใกล้ๆสุสาน ผมเดินไปที่สุสาน กำลังคิดว่าจะเลือกสุสานให้ลูกสาว บริเวณสุสานเงียบสงัดมาก คนก็น้อยมากเช่นกัน”
“เดินไปๆ ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก ตอนแรกผมนึกว่าผมหูฝาด บริเวณสุสานจะมีเด็กได้ยังไงกัน? แต่เสียงร้องไห้นั่นมันเกินจริงไป ผมเลยตามไปดูตามต้นเสียง ปรากฏว่าก็เจอเด็กคนหนึ่งที่คลองข้างทางจริงๆ เธอเองก็อายุครึ่งขวบ คลานอยู่ในคลอง เงยหนึ่งขึ้นร้องไห้ไม่หยุด”
“ผมรีบกระโดดลงไปอุ้มเธอขึ้นมาทันที หลังจากที่ผมอุ้มเธอ เธอก็เอาแต่จับเสื้อผ้าผมไปยัดในปาก ผมเดาว่าเธอน่าจะหิวแย่ ตอนนั้นเสื้อที่เธอใส่ก็สวยมากๆ เอาเป็นว่าสถานการณ์ของบ้านเราในตอนนั้นคือไม่มีทางซื้อเสื้อผ้าที่ดีขนาดนั้นให้ลูกใส่ได้ เธอยังมีกุญแจอายุยืนที่ทำมาจากทองคำติดตัวมาด้วย”
“บนกุญแจอายุยืนมีรูปดาวสลักไว้ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทิ้งเธอไว้ในคลอง ถ้าไม่มีคนมาเห็น เธอจะต้องตายแน่ ๆ ผมสงสารเด็กคนนี้ ก็เลยอุ้มเธอเดินกลับ ตอนนั้นมีใครเห็นหรือเปล่า ผมเองก็ไม่รู้”
“ผมอุ้มเธอกลับมาที่ป้ายรถเมล์ ก็ได้รับสายจากเมียผม เมียผมบอกว่า วิกาของผมจะไม่ไหวแล้ว ผมรีบอุ้มเด็กไปที่โรงพยาบาลอย่างบ้าคลั่ง ผมเพิ่งกลับมาที่ข้างกายของวิกา วิกาของผมก็จากไปแล้ว……”
เมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต คนบ้านตระกูลวาชัยยุงต่างก็หลั่งน้ำตา
นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เทวิกาเพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกเก็บมาเลี้ยงได้ยังไง
เธอถูกเทวิกาตัวจริงชี้นำมา เพื่อมาบรรเทาความเจ็บปวดของพ่อแม่ ทำหน้าที่เป็นลูกกตัญญูของพ่อแม่แทนเทวิกาตัวจริง
พิชญ์สินีพิงไหล่ของสามีและร้องไห้อย่างเจ็บปวด
แม้ยี่สิบสามปีที่ผ่านมา เธอจะเห็นเทวิกาเป็นลูกสาวแท้ๆ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังจำได้ ว่าเด็กคนนี้ไม่อาจแทนที่เด็กคนนั้นได้ ความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกสาวไป เมื่อนึกถึงก็ยังคงรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงหัวใจ
“แม่”
เทวิกากอดแม่ตัวเองน้ำตารื้น
แม้พิชญ์สินีจะร้องไห้ แต่ก็ยังไม่ลืมว่าที่นี่คือตระกูลอริยชัยกุล เป็นบ้านของลูกเขย เธอจึงกล้ำกลืนความเจ็บปวด เช็ดน้ำตาบนไหล่สามี ก่อนจะตบมือของเทวิกาเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “แม่ไม่เป็นไร ผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว แม่ผ่านมันมาได้แล้ว”
เธอพูดต่อจากสามีว่า “คนเป็นแม่เสียลูกไป ความเจ็บปวดแบบนั้น มีแต่คนที่เคยลิ้มลองเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าใจได้ มันรู้สึกเหมือนว่าฟ้าถล่มลงมาจริงๆ นั่นเป็นความเจ็บปวดที่เหมือนถูกกรีดเนื้อกรีดกระดูก”
“ก่อนหน้าที่ลูกสาวฉันไม่สบาย เธอเองก็เป็นเด็กน้อยที่น่ารัก ตอนที่เห็นวิกา ฉันก็เหมือนได้เห็นลูกสาวตัวเอง……”
“ฉันไม่สามารถต้านทานความยั่วยวนใจที่เธอให้ฉันได้ ฉันกับสามีฉันก็เลยอุ้มวิกากลับบ้าน พูดกับคนนอกว่าวิกาหายดีแล้ว ให้เธอมาแทนที่ลูกสาวของเรา”