คุณสามีพันล้าน - บทที่ 209 มิลินท์
“พี่ใหญ่ ผมยังอยากเดินทางไปทำงาน”
กษิดิพูดเสียงอ่อน
มิลินท์คือลูกสาวตระกูลศิริกรโสภณ เธอสนใจเกี่ยวกับการแต่งหน้ามาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นก็ไม่ได้รับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว กลับกลายเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ
ยศพัฒน์เคยบอกเทวิกาว่า ฝีมือการแต่งหน้าของมิลินท์ยอดเยี่ยมจนราวกับเปลี่ยนโฉมได้
ตระกูลศิริกรโสภณกับตระกูลอริยชัยกุลนั้นเป็นเพื่อนกันมาสามชั่วอายุคนแล้ว
ลูกหลานของทั้งสองตระกูลย่อมรู้จักกันตั้งแต่เด็ก กษิดิกับมิลินท์อายุใกล้เคียงกัน ทว่ากลับไม่ถูกกัน ตอนเด็กมักจะชอบตีกันบ่อยๆ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ไม่ตีกันแล้ว แต่กลับแกล้งกันและต่างฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้ากัน
วันนี้เธอขุดหลุมแกล้งฉัน พรุ่งนี้ฉันก็วางกับดักแกล้งเธอ เอาเป็นว่าหากใครสามารถทำให้อีกฝ่ายขายหน้าได้ งั้นคนนั้นก็คือผู้ชนะ
เมื่อโตขึ้น แม้จะเจอหน้ากันน้อยลง แต่ทุกครั้งที่เจอกัน ก็ไม่พ้นที่จะเถียงกันตลอด
เพียงแต่ ตอนที่หนิงหยู่เฉิงเจอปัญหา เธอก็มักจะชอบให้กษิดิช่วย
แม้กษิดิจะพูดจาเหน็บแนมและรังเกียจเธอสารพัด แต่ตอนวิ่งไปช่วยก็วิ่งเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย
ในสายตาของทุกคน ทั้งคู่ก็คือชายหญิงที่มีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด
กษิดิเป็นผู้ชาย ก็ย่อมมีความเป็นสุภาพบุรุษบ้าง บางครั้ง เขาก็จะเป็นฝ่ายยอมมิลินท์
หากให้มิลินท์อาศัยอยู่ในบ้านสอง กษิดิก็จะไม่กล้ากลับบ้าน กลัวว่าจู่ ๆบนเตียงเขาจะมีแขนขาดหรือขาขาดโผล่มา และกลัวว่าตอนที่เปิดผ้าห่มออก จะเจอกับแมลงหลากหลายชนิดคลานไปมาบนเตียงเขา
แค่คิดภาพเขาก็ขนหัวลุกแล้ว
เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่มักกลัวสัตว์เล็กๆอย่างพวกแมลง
แต่มิลินท์นั้นตรงกันข้าม แม้แต่งูเธอก็ไม่กลัว
งูที่ไม่มีพิษ เธอก็จะจับมาเป็นของเล่นอีกด้วย เอาเป็นว่าตอนเด็กเธอเคยเลี้ยงงูไม่มีพิษเป็นสัตว์เลี้ยง หลังจากนั้นงูพวกนั้นทนทรมานจากเธอไม่ได้ ก็เลยหาโอกาสหนีไปแล้ว
เธอยังอยากจะเลี้ยงงูอีก แต่คนในบ้านคัดค้านกันอย่างเด็ดขาด เธอก็จึงจะยอมแพ้
จนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังคงพร่ำบ่นว่าของเล่นงูตอนเด็กของเธอสนุกขนาดไหน สามารถเอางูมาถักเปียได้ด้วย
เหล่างู: เคยคิดถึงความรู้สึกพวกเราบ้างหรือเปล่า? เราไม่มีศักดิ์ศรีกันเหรอ?
ได้ยินน้องชายพูดว่าอยากเดินทางไปทำงาน ยศพัฒน์ก็ยิ้มขำเสียงเบา เอ่ยว่า “นายเพิ่งเดินทางกลับมาเองไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องเดินไปทางไปทำงานอีกหรอก”
ใจปลาซิวชะมัด ได้ยินชื่อของมิลินท์ก็อยากจะหนีไปทันที
กษิดิเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ผมไม่กลัวทำงานหนัก แม้จะให้ผมเดินทางไปทำงานทุกวันผมก็ยอม ไม่บ่นสักคำแน่นอน พี่ใหญ่ รีบคิดดูสิว่ามีบริษัทลูกที่ไหนเกิดเรื่องขึ้น และต้องการให้ผมไปจัดการ”
ยศพัฒน์ “……นายอยากให้บริษัทลูกเราเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?”
“พี่ใหญ่ ผมไม่อยากอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับมิลินท์ ได้ไหม? คฤหัสถ์เมเปิลเราใหญ่ขนาดนี้ พี่ให้เธอไปอยู่ไหนก็ได้ แต่ห้ามอยู่บ้านผมเด็ดขาด ถ้ายัยนั่นเข้ามาอยู่ น้องชายพี่จะเหลือทางรอดอะไรอีก?”
“พี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้สักหน่อยว่าผมกับหล่อนไม่ถูกกัน”
คนที่กษิดิกลัวที่สุดในชีวิตนี้มีสองคน คนหนึ่งคือพี่ใหญ่ ส่วนอีกคนก็คือมิลินท์
“ลินท์บอกแล้ว ว่าจะต้องไปพักที่บ้านนายเท่านั้น ไม่งั้นเธอก็จะไม่ยอมช่วย พี่คุยกับเธอไว้แล้ว อีกอย่างพี่เชิญเธอมาเป็นช่างแต่งหน้าให้พี่สะใภ้นายด้วย นายดูสิ พี่ตอบตกลงไปแล้ว จะให้พี่ผิดคำพูดก็ไม่ได้จริงไหม?”
กษิดิลอบด่าในใจ: รักษาคำพูดของพี่ก็คือทรยศน้องชายอย่างเขา
“พี่ใหญ่ พี่ควรบอกผมล่วงหน้า”
“ตอนนี้ฉันก็บอกกำลังนายล่วงหน้าไม่ใช่หรือไง? ไม่งั้นฉันก็ให้มิลินท์เข้าไปพักบ้านนายและเซอร์ไพรส์นายก็ได้ อย่าลืมล่ะว่าพ่อแม่นายชอบมิลินท์มากขนาดไหน”
อาสองและน้าสองของเขาเห็นมิลินท์เป็นลูกสะใภ้เลยล่ะ
กษิดิ “……ก็ได้ เรื่องของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ ยังไงผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
เขาตอบตกลง
มิลินท์มาอยู่บ้านเขา งั้นเขาก็จะไปพักที่โรงแรมเมเปิล
หรืออาจจะไปพักที่บ้านในนามของเขา เขาไม่จำเป็นต้องกลับคฤหัสถ์เมเปิลเสียหน่อย เขาจะคอยดูว่ามิลินท์จะพักอยู่ที่บ้านเขาได้นานเท่าไหร่กัน!
พี่น้องพูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนที่ทั้งคู่จะวางสาย
ประยสย์นึกว่ามีปัญหา จึงเอ่ยกับยศพัฒน์ว่า “พัฒน์ ไม่รบกวนนายแล้ว ฉันแต่งหน้าให้ตัวเองดูน่าเกลียดก็ได้”
“ไม่รบกวนหรอก ลินท์กำลังมาแล้ว รอเธอมาเมื่อไหร่ ก็ให้เธอแต่งหน้าเปลี่ยนโฉมให้พี่ แล้วค่อยให้ผมเตรียมคนส่งพี่ไปสนามบิน บอดี้การ์ดของพี่ไม่ต้องไปด้วยหรอก ผมจะให้บอดี้การ์ดฝีมือดีไม่กี่คนกลับไปกับพี่เอง”
ยศพัฒน์เอ่ยอย่างจริงจังว่า “คนร้ายเบื้องหลังเป็นใคร ตอนนี้เรายังไม่รู้ ศัตรูซ่อนตัว แต่เราเปิดเผย โดนคนแทงข้างหลังได้ง่ายมาก ให้บอดี้การ์ดของพี่อยู่ที่นี่ หลอกให้มันคิดว่าพี่กับแม่ยังอยู่ในคฤหัสถ์เมเปิล”
“ผมเองก็จะปล่อยข่าวออกไป น้องห้าของผมจะเดินทางไปทำงาน เขาชอบโอ้อวดและชอบความอลังการที่สุด ออกบ้านทีก็บอดี้การ์ดไม่เคยห่างตัว”
อันที่จริงก็คือน้องห้าต่อสู้อ่อนหัดที่สุด
เพราะฉะนั้นคุณชายห้าออกบ้านก็จะชอบพาบอดี้การ์ดไปด้วย ใครสั่งให้เขาชอบขี้เกียจตอนอยู่ที่ฐานฝึกตระกูลกันล่ะ
“ผมรับประกันได้เลยว่าพี่จะสามารถกลับเมืองซูเพร่าได้อย่างปลอดภัยและไร้ซุ่มเสียง”
คำสัญญาของยศพัฒน์ฟังดูไม่มีน้ำหนัก แต่ทำขึ้นมาแล้วกลับต้องใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์มาก ต้องรู้ไว้ว่าตอนนี้ประยสย์อยู่ข้างนอก ห่างไกลจากขอบเขตอำนาจของตระกูลสาระทา มีความเป็นไปได้ที่จะถูกลอบฆ่าอยู่ตลอดเวลา หากอยากปกป้องเขาให้กลับไปที่เมืองซูเพร่าอย่างปลอดภัย คนทั่วไปไม่สามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ
ประยสย์เข้าใจทุกอย่างดี พลันรู้สึกซาบซึ้งใจกับน้องเขยคนนี้ที่โตกว่าเขาห้าปี
น้องสาวเขาวาสนาดีจริงๆ
ตอนเด็กถูกวรันธรอุ้มไปก็ดวงแข็งไม่ตาย ถูกบ้านตระกูลวาชัยยุงเก็บไปเลี้ยงเป็นลูกสาวแท้ๆจนเติบโต
ดังนั้นจึงได้รู้จักกับยศพัฒน์ ได้เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลอริยชัย
“พัฒน์ ขอบคุณนายมาก!”
ยศพัฒน์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “คนบ้านเดียวกัน พี่ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้หรอกครับ”
เขากุมมือของเทวิกาเอาไว้ ปลอบโยนภรรยาสุดที่รักเงียบๆ ไม่ต้องกังวล คนของเขาจะส่งประยสย์กลับไปที่เมืองซูเพร่าอย่างปลอดภัยแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน มิลินท์ก็มาแล้ว
วงการที่เทวิกาเคยอยู่นั้นไม่เคยข้องเกี่ยวกับมิลินท์ เธอไม่รู้แม้แต่ฉายาของมิลินท์เลยด้วยซ้ำ
แต่พอฟังยศพัฒน์เล่า เธอก็จึงจะรู้ถึงความเก่งกาจของมิลินท์
เมื่อเจอตัวจริง เธอก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย มิลินท์เป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ แต่เธอกลับไม่แต่งหน้า ซ้ำยังเผยหน้าสด เพียงแต่เธอหน้าตาดีอยู่แล้ว แม้จะเผยหน้าสด ก็เป็นคนสวยคนหนึ่ง
มิลินท์เองก็สงสัยใคร่รู้ในตัวเทวิกา
เธอเห็นเทวิกาเผยแววประหลาดใจ ราวกับว่าอ่านความคิดของเทวิกาออก พลันอธิบายยิ้มๆว่า “ฉันชอบดูแลตัวเองด้วยอาหารการกินน่ะ ทำมานานหลายปี ก็กลายมาเป็นแบบนี้ ฉันรู้สึกว่าดีไม่เลว ก็เลยไม่ได้แต่งหน้า”
“เพียงแต่ มาพบพวกคุณ ฉันก็เลยไม่แต่งหน้า แต่ปกติตอนออกบ้าน ฉันก็จะแต่งหน้าเบาๆเสมอ”
“เทวิกา ผิวเธอเองก็ดีมากๆ เป็นผิวที่ดีแต่เกิด ขาวผ่องเนียนนุ่ม เห็นแล้วอยากจะจับสักสองที กัดสักสองคำ พัฒน์วาสนาดีจริงๆ”
มิลินท์รู้สึกประทับใจกับเทวิกามาก
“พัฒน์ ฉันขอจับหน้าภรรยานายหน่อยได้ไหม?”
ยศพัฒน์จงใจเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “นี่คือของฉันเพียงคนเดียว ถ้าเธออยากจับ ก็ไปจับคนของเธอ”