คุณสามีพันล้าน - บทที่ 218 สมน้ำหน้าเธอ
นฤเบศวร์ปลดล็อกกุญแจรถ และให้กนกอรลงรถได้
กนกอรยัดแบล็กการ์ดของเขาเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างตามสบาย เมื่อเห็นเธอยัดใส่ง่ายๆ แบบนัน ทำให้นฤเบศวร์อดไม่ได้ที่จะพูดเตือนเธอออกมาว่า: “กนกอร นั่นมันแบล็กการ์ดนะ ข้างในมีเงินเยอะมาก แต่คุณกลับยัดใส่กระเป๋ากางอย่างง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไง?”
“ไม่งั้นหล่ะ?จะให้ฉันเตรียมโต๊ะบูชามาอัญเชิญเข้าบ้าน กราบไหว้ทุกวัน และคุกเข่าสามครั้งเคาะเก้าครั้งเลยไหม? “?”
นฤเบศวร์พูดไม่ออก
“ยิ่งปกป้องดีๆ ยิ่งทำให้คนเห็นรู้สึกว่าเป็นของมีค่า ก็จะถูกขโมยไปได้ ยัดใส่กระเป๋ากางเกงง่ายๆ แบบนี้ คนอื่นจะได้คิดว่าของฉันเป็นบัตรปลอม แบบนี้ยิ่งปลอดภัยกว่า เพราะว่าด้วยความสามารถของฉันแล้ว ไม่มีทางครอบครองแบล็กการ์ดได้เลย”
“คุณรีบเข้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้านกินอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อนหล่ะ อย่ามาขออาหารเช้าฉันกินอีก พวกเราสองคนแสดงละครต่อหน้าคุณปู่ก็พอ เมื่อไม่อยู่ในสายตาของคุณปู่คุณแล้ว ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก”
นฤเบศวร์หน้าเขียวขึ้นมาทันที “คุณเกลียดผมมากเลยเหรอ”
“แบตบอส ตามสรรพนามที่ฉันเรียกคุณแล้วน่าจะดูออก ฉันไปก่อนนะ ลาก่อน คืนนี้เวลาฝันอย่าคิดถึงฉันหล่ะ ฉันไม่เข้าไปในฝันของคุณหรอก และถึงแม้จะเข้าไปในฝันคุณ ก็ขอเงินกับคุณอย่างเดียวแค่นั้นแหล่ะ”
นฤเบศวร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “คุณก็เข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณดีหนิ่”
มองตามแผ่นหลังอันสง่างามของกนกอรที่เดินจากไป นฤเบศวร์ไม่ได้กลับออกไปทันที เขาลงมาจากรถเงียบๆ เดินตามหลังกนกอรโดยไม่ให้มีเสียง จนกระทั่งกนกอรกลับเข้าไปในบ้านอย่างปลอดภัย เขาถึงได้เดินกลับ ขึ้นรถ แล้วขับออกไป
……
เทวกาได้รับข่าวของตอนเที่ยงอีกวันว่าพี่ชายกลับถึงเมืองซูเพร่าอย่างปลอดภัยแล้ว
เมื่อแน่ใจว่าพี่ชายได้กลับไปถึงเมืองซูเพร่าอย่างปลอดภัยแล้ว เธอถึงคลายกังวลลงได้
ตอนแรกยศพัฒน์อยากพาแม่ยายทั้งสองไปเที่ยว แต่ถูกแม่ยายทั้งสองปฏิเสธ
ส่วนผู้เฒ่าทั้งสองของบ้านตระกูลวาชัยยุงยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาอายุมากแล้ว ไม่ชอบเที่ยวไปไหนมาไหนอยู่แล้ว อีกอย่างคฤหัสถ์เมเปิลก็เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว ไม่ว่าบนเขาหรือใต้เขาล้วนมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ผู้เฒ่าทั้งสองกับผู้เฒ่าอีกสองคนของตระกูลอริยชัยกุลสนิทกันมากอยู่แล้ว เมื่ออยู่ด้วยกันสามารถเล่นกันได้อย่างสนุก จึงไม่มีใครอยากออกไปเที่ยวข้างนอกเลย
สุดท้าย ยศพัฒน์ถูกทุกคนไล่ให้กลับไปทำงานที่บริษัท
แม้แต่เทวิกาก็ถูกไล่ให้รีบกลับไปเปิดร้าน และคุณแม่ทั้งสองก็ไปช่วยเธอที่ร้านเช่นเดียวกัน
คุณหญิงธิษณายังคงอุ้มตุ๊กตาไว้อยู่ แต่มีเทวิกาเป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย และกับพิชญ์สินีก็มีเรื่องของลูกสาวพูดคุยร่วมกันได้ ทำให้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ เมื่ออยู่ในร้านกาแฟก็สามารถช่วยทำงานได้ ช่วยลูกค้าเตรียมกาแฟ หรือแม้กระทั่งสามารถช่วยเชฟขนมทำขนมได้
ช่วงเช้า ที่ร้านขายดีมาก ทุกคนต่างพากันยุ่งมาก
จนกระทั่งใกล้ถึงเที่ยง ถึงค่อยมีเวลาว่าง
“วิกา ลองชิมรสชาติขนมที่ฉันทำออกมาดูสิ”
ขนมที่เพิ่งทำสดใหม่ออกมาจากเตา คุณหญิงธิษณาอดใจไม่ไหวที่จะยกออกมาจานหนึ่งให้ลูกสาวชิมรสชาติ
“กนกอร เธอลองชิมดู แม่เคยเรียนมา ฝีมือไม่แพ้เชฟเลยนะ”
สีหน้าของคุณหญิงธิษณาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาที่มองเทวิกา เต็มไปด้วยความรักของแม่ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเวลาที่เธอออกจากบ้านยังคงอุ้มตุ๊กตาไว้อยู่ เทวิกาคิดว่าแม่แท้ๆ ของเธอคงหายเป็นปรกติแล้ว
เทวิกากับกนกอรให้เกียรติเธอมาก ทั้งสองต่างชิมขนมที่คุณหญิงธิษณาทำออกมา แม้แต่พิชญ์สินีที่ไม่ชอบขนมเลยแต่เมื่อได้ชิมรสชาติดูแล้วก็ชื่นชมออกมาว่าอร่อย
คุณหญิงธิษณายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า: “เมื่อก่อนแม่ของฉันสามวันห้าวันก็เข้าครัวทำขนมให้พ่อฉันกิน พ่อของฉันเป็นคนชอบกินขนมหวานมากคนหนึ่ง และสิ่งที่แม่ฉันทำมากที่สุดก็ขนมหวานนี่แหละ และฉันก็ฝึกฝนกับแม่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อฉันโตขึ้นก็เคยขอเป็นลูกศิษย์คุณแม่ ตั้งใจฝึกฝน ดังนั้นฝีมือของฉันถือว่าค่อนข้างใช้ได้เลย
สายตาของเธอกลับเข้าไปอยู่ในอดีตอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า: “หลังจากที่ฉันแต่งงานไปแล้ว ก็ชอบทำขนมของกินเล่นให้สามีฉันกิน เขาชอบชมว่าอาหารกินเล่นที่ฉันทำอร่อย ทุกครั้งที่ลูกเห็นเขากินอาหารที่ฉันทำ ลูกจะตะโกนเรียกคุณพ่อคุณพ่อตลอด ว่าอยากกิน”
“ลูก ลูก หล่ะ!”
คุณหญิงธิษณาตกอยู่ในอาการเสียสติอีกครั้ง
ทำให้เทวิกาตกใจจนรีบอุ้มตุ๊กตาที่วางอยู่เคาร์เตอร์ ยื่นไปให้เธอ แล้วพูดขึ้นว่า: “แม่ ลูกอยู่นี่ ลูกอยู่นี่”
คุณหญิงธิษณารับลูกมาอย่างระวัง จากนั้นจูบลงไปที่ใบหน้าของลูก อย่างต่อเนื่อง พูดออกมาอย่างดีใจว่า: “ลูกยังอยู่ ลูกยังไม่ถูกแย่งไป”
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ
ขนมในมืออีกครึ่งชิ้นของเทวิกาเมื่อใส่เข้าไปในปาก ทำให้มีรสชาติที่ขมขื่น
กนกอรตบลงไปที่หลังมือของเทวิกาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจเพื่อนรัก
เทวิกากลืนน้ำตาเข้าไป แล้วพูดกับกนกอรว่า: “คุ้นเคยกับมันก็ดีแล้ว”
คำว่า “คุ้นเคยกับมันก็ดีแล้ว” ทำให้กนกอรอย่างร้องไห้ออกมา
เมื่อคิดในอีกแง่หนึ่ง ถ้าเธอเป็นเทวิกา เมื่อต้องเผชิญกับแม่ที่เสียสติ เธอต้องเป็นบ้าแน่
“ต้องดีขึ้นแน่!”
เทวิกากัดริมฝีปากแน่น แล้วตอบออกมาอย่างหนักแน่นว่า: “อืม ต้องดีขึ้นแน่!”
ต้องดีขึ้นแน่นอน!
ข้างนอกมีเสียงรองเท้าส้นสูงเหยียบพื้นดังขึ้นมา
ด้วยสัญชาตญาณ ผู้หญิงทั้งสองหันไปมองข้างนอกพร้อมกัน
ตอนนี้พวกเธอสองคนสัมผัสไวต่อฝีเท้าแบบนี้เป็นพิเศษ
เมื่อเห็นคนที่เข้ามาไม่ใช่เปรมา กนกอรจึงโล่งใจออกมาได้
ส่วนเทวิกานั้นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
คนที่มาคือหลานสาวของเถ้าแก่ที่ร่ำรวยในสังคมชั้นสูงที่ตาณเกาะกิน ซึ่งเป็นภรรยาของตาณนั่นเอง
เธอสวมชุดคลุมท้องหลวม ๆ ความจริงเธอเพิ่งท้องได้ไม่นาน ท้องเลยดูไม่ค่อยชัดเจนมากนัก
สีหน้าของคุณนายตาณไม่ค่อยดีนัก ขอบตาดำ ช่วงที่เธอตั้งครรภ์อยู่นั้นไม่ได้แต่งหน้าเลย หน้าสดหมด จึงทำให้เธอดูเหมือนยิ่งทรุดโทรมขึ้นไปอีก
“เธอมาแกมั้ง?”
กนกอรแตะตัวเพื่อนเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาออกมาว่า: “ตาณไม่กล้ามายุ่งกับเธออีกแล้ว เธอยังมาหาแกอีกทำไม?”
เทวิกาไม่รู้ว่าคุณนายตาณมาทำไม
คนที่มาถือเป็นแขกทั้งนั้น เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปหา
“คุณนายตาณ”
เมื่อคุณนายตาณเห็นสีหน้าของเทวิกาที่ดูดีเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แล้วให้เทวิกาแก้ไขสรรพนามใหม่ว่า: “เธอเรียกฉันว่าคุณจิ๋วก็พอ ตอนนี้ฉันไม่ใช่คุณนายตาณแล้ว เมื่อวัน ฉันได้ไปหย่ากับตาณเรียบร้อยแล้ว”
เทวิกากะพริบตา
รู้สึกแปลกใจแต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกไม่แปลกใจเลย
ตอนเป็นแฟนกันกับตอนแต่งงานกันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ตอนเป็นแฟนทุกอย่างหวานหมด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังแต่งงานไปแล้วจะรักกันได้ตลอด
ตาณเมื่อมีที่พึ่งในสังคมชั้นสูง ก็นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ตามไปด้วย ยังคิดที่จะกลับมาเลี้ยงดูเทวิกาอีก คุณนายตาณไม่ได้เป็นคนโง่ จะไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง
“เชิญนั่ง”
เทวิกาเชิญคุณจิ๋วให้นั่งลงที่โต๊ะอย่างสุภาพ
กนกอรเทน้ำอุ้นมาให้ทั้งสองคนละแก้ว จากนั้นกลับไปอยู่กับคุณแม่ทั้งสองต่อ
พิชญ์สินีถามกนกอรว่า: “ผู้หญิงคนนี้คือภรรยาร่ำรวยในสังคมชั้นสูงที่ตาณไปเกาะกินและแต่งงานด้วยใช่ไหม?”
เธอไม่เคยเห็นคุณจิ๋วมาก่อน แต่ความเจ็บปวดที่ตาณนำมาให้ลูกสาว เธอจำมันได้อย่างเเม่นยำ
“ใช่เธอ”
พิชญ์สินีพูดออกมาอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “สมแล้วที่หย่าร้างกัน แย่งผู้ชายของผู้หญิงคนอื่นมาก็ไม่ควรได้รับความสุข”
เมื่อคุณหญิงธิษณานึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีคู่แข่งมากมาย จึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดเสริมขึ้นมาว่า: “เป็นนางจิ้งจอกกันทั้งนั้น”
กนกอรพยักหน้า “ที่เธอมีวันนี้ สมน้ำหน้าเธอ แต่ว่า ฉันก็รู้สึกขอบคุณเธอเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เธอ เทวิกาก็คงไม่มีความสุขเหมือนในวันนี้”
พิชญ์สินีคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเหมือนกัน “ต้องขอบคุณคุณจิ๋วที่แย่งตาณผู้ชายชั่วคนนั้นไป และต้องขอบคุณตาณที่ไม่ยอมแต่งงานด้วย!”
เมื่อยุติความรักที่ไม่ใช่ของตัวเอง นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นการสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ต่างหาก เพราะสถานีต่อไป ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสุขกันทั้งนั้น!