คุณสามีพันล้าน - บทที่ 233 พ่อแม่สามีกลับมา
นฤเบศวร์รู้สึกว่าเขาเป็นที่พึ่งของหลาย ๆ คน ถ้าปู่ของเขาเอาทุกอย่างคืนไป คนที่ต้องพึ่งพาเขาในการดำรงชีวิตก็จะน่าสงสารมาก
อืม เขาไม่ได้ไม่รู้สึกกับเปรมา แต่เขาแค่มีใจแต่ไร้อำนาจจริง ๆ ใครให้เขาไม่สามารถเป็นเสาหลักของบ้านได้เหมือนยศพัฒน์ล่ะ?
นฤเบศวร์ยังรู้สึกสงสัยว่า ที่ปู่ของเขายังไม่วางมือ เพื่อป้องกันเปรมา!
“นฤเบศวร์ สักวันนายจะขอบคุณฉัน”
“ฉันจะขอบคุณนายทำไม?ขอบคุณที่ฟ้องเรื่องของฉัน จนทำให้ปู่บังคับให้ฉันแต่งงานกับกนกอร……”
นฤเบศวร์ก็หยุดพูดทันที
เขาพูดอะไรออกไปเนี่ย
พูดความลับทั้งหมดของเขาและกนกอรออกมา
แต่เขากลับรู้สึกโล่งใจ
การแอบแต่งงาน เหมือนจะไม่ดีเท่าที่เขาจินตนาการไว้
“ปู่ของนายบังคับให้นายแต่งงานกับกนกอร?”
ยศพัฒน์รู้สึกประหลาดใจ
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “นฤเบศวร์ ถ้านายยังมีความเป็นคนอยู่ อย่าทำร้ายคุณกนกอร เธอเป็นเพื่อนของภรรยาของฉัน ตราบใดที่เธอเป็นคนที่ภรรยาของฉันให้ความสำคัญ ฉันก็จะให้คุณค่ากับเธอเช่นกัน ถ้านายกล้าที่จะทำร้ายคุณกนกอร ฉันจะสะสางบัญชีกับนายในฐานะครอบครัวฝั่งหญิง!”
“กนกอรแต่งงานกับฉันแล้วทำไม?ฉันทั้งรูปหล่องดงาม กิริยาท่าทางสูงสง่าและสุภาพบุรุษ แถมยังหนุ่มยังแน่นและรวยมาก การที่กนกอรแต่งงานกับฉัน ก็เหมือนตกถังข้าวสาร เป็นโชคดีของครอบครัวเธอด้วยซ้ำ”
นฤเบศวร์ไม่อยากได้ยินประโยคนั้นของคู่อริ
ราวกับว่าเขาไม่คู่ควรกับกนกอร
กนกอรต่างหากที่ไม่คู่ควรกับเขา
“นายไปสู่ขอหรือยัง?”
นฤเบศวร์ “……นายยุ่งอะไรด้วย?”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ขอน่ะขอแล้ว แต่มันเป็นการแต่งงานแบบลับ ๆ ยศพัฒน์ ฉันต้องผีเข้าแน่ ๆ ทำไมถึงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้นายฟัง?อย่าปากพล่อยล่ะ อย่าพูดเรื่องการแต่งงานลับ ๆ ของฉันและกนกอรออกไปเชียว!”
“วางใจได้ เรื่องนี้จะออกมาจากปากของนายเท่านั้น นฤเบศวร์”
เขารู้ตั้งนานแล้ว
แสร้งทำเป็นไม่รู้ รอให้นฤเบศวร์บอกเขาเอง แบบนี้ นฤเบศวร์เองนั่นแหละที่อดไม่ได้ที่จะบอกเขา
ถ้าไม่นับความปากดีและการไม่ยอมกันของทั้งสองคน ทั้งสองต่างรักและหวงแหนกันและกันจริง ๆ แต่ก็น่าเสียดายที่มีเปรมาอยู่ตรงกลาง นฤเบศวร์มักจะมามีปัญหากับยศพัฒน์ทุกครั้งที่มีเรื่องของเปรมา ครั้งนี้ เป็นยศพัฒน์ที่โทรหาเขาเพื่อฟ้องเรื่องเปรมา นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึก
นฤเบศวร์ชะงัก
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถามยศพัฒน์ว่า “นายเพิ่งรู้จริง ๆ เหรอ?”
“ใช่ เพิ่งรู้”
“แล้วทำไมยังไม่วางสายอีก รู้ทั้งรู้ว่าฉันแต่งงานแล้ว นายยังโทรมาหาฉันให้ไปหาผู้หญิงคนอื่นอีก ทำแบบนี้นายหมายความว่ายังไง?”
เอ่อ?
เขาพูดอะไรออกไปอีกเนี่ย?
“ฉันก็แค่รู้ว่านายคิดอะไรอยู่ ก็เลยชี้โพรงให้กระรอก แค่นั้น ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันค่อนข้างใจกว้างกับนายน่ะ บาย”
ยศพัฒน์กดวางสายตามที่เขาต้องการ
นฤเบศวร์นั้นหงุดหงิดจนอยากจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง
“ให้ตายเถอะ!ยศพัฒน์ นายก็แค่อยากยั่วโมโหฉัน!”
นฤเบศวร์ที่อยู่ในห้องทำงาน ก่นด่าคู่อริเป็นล้านคำ
ด่าจนริมฝีปากแห้ง เขาก็รินน้ำให้ตัวเอง และดื่มให้ชุ่มคอ จากนั้นเริ่มโทรหาเปรมา
สำหรับบทสนทนาทางโทรศัพท์ของทั้งคู่ดีหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้
อย่างไรก็ตาม เปรมายังคงไปที่คฤหัสถ์เมเปิล
ขับไปได้ครึ่งทาง เธอก็หยุดรถ ข้างหน้ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน
ถนนเส้นนี้เป็นทางไปคฤหัสถ์เมเปิล นอกจากคนที่ไปคฤหัสถ์เมเปิลแล้ว คนทั่วไปจะไม่ค่อยใช้เส้นทางนี้
เปรมาไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น และเธอก็ไม่ได้มีจิตใจเมตตาถึงขั้นที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้า ที่เธอจอดรถ เพราะเธอเห็นคนสองคนยืนอยู่หน้ารถ พวกเขาคือพ่อแม่ของยศพัฒน์ที่ไม่ได้กลับจากการเที่ยวเป็นเวลาหลายเดือน
แม่ของยศพัฒน์ชื่อณัชชา พ่อชื่อจัตรภัค
ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก จัตรภัคพูดเสมอว่าภรรยาของเขาเกิดมาเพื่อเป็นภรรยาของเขา
ณัชชาเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ของเธอให้กำเนิดแค่เธอ
มรดกของตระกูลบุญเยี่ยมเธอเป็นคนสืบทอดทั้งหมด แต่พ่อของเธอไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนทรัพย์สินของครอบครัวตัวเองเป็นของตระกูลอริยชัยกุล เงื่อนไขของพ่อของเธอคือ ลูกคนแรกของทั้งคู่ ไม่ว่าเพศไหนก็ตาม ต้องใช้นามสกุลบุญเยี่ยม
ในอนาคต จะได้ให้หลานที่ใช้นามสกุลบุญเยี่ยมสืบทอดมรดกของตระกูลบุญเยี่ยม
ดังนั้น ยศพัฒน์จึงใช้นามสกุลแม่ของเขา แต่เขายังไม่ได้รับมรดกทรัพย์สินของตระกูลบุญเยี่ยม และทรัพย์สินของตระกูลบุญเยี่ยมยังคงเป็นชื่อแม่ของเขาอยู่ และธุรกิจของตระกูลบุญเยี่ยม ได้รับการดูแลโดยเขาและน้องชายของเขา โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นน้องชายของเขาที่ดูแล ส่วนเขา แค่ดูแลบี.เอ.เอ็ม.กรุ๊ปก็ยุ่งพอแล้ว
“น้าชา ลุงภัค”
เปรมาลงจากรถ และเดินไปอย่างรวดเร็ว แล้วถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
สองสามีภรรยาหันกลับไปมองเปรมา
“เปรม์เองเหรอ หนูกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?พอดีรถเสียน่ะ กำลังจะถึงบ้านแล้วแท้ ๆ แต่รถมาเสียก่อน”
ณัชชากางมือของเธอและพูดอย่างช่วยไม่ได้
ถ้ารู้อย่างนี้ เธอก็โทรให้คนขับรถที่บ้านมารับพวกเขาแล้ว
ไม่ใช่นั่งแท็กซี่กลับแบบนี้
ตอนที่เปรมามาทักทาย จัตรภัคแค่พยักหน้า ถือว่าเป็นการตอบรับแล้ว
“หนูกลับมาได้เดือนกว่าแล้วค่ะ”
เขาถูกควบคุมตัวก็เป็นเวลาครึ่งเดือน
“น้าชา ลุงภัคคะ ให้หนูไปส่งนะคะ หนูกำลังจะไปที่คฤหัสถ์เมเปิลของคุณลุงคุณป้าพอดี เห็นคุณย่าชนิศาบอกว่าเบื่อ หนูก็เลยจะมาคุยเล่นเป็นเพื่อนท่านน่ะค่ะ”
เปรมาไม่ได้ฟ้องเรื่องของเทวิกาต่อณัชชาทันที แต่เลือกที่จะโกหกแทน
เธอรู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่น้าชากับลุงภัคไปเที่ยวด้วยกัน พวกเขาจะเปลี่ยนเบอร์โทรเสมอ เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาพักผ่อนของทั้งสองคน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นติดต่อมาเอง มิเช่นนั้น ติดต่อทั้งคู่ยากมาก
ขณะเดียวกัน เรื่องที่พวกเขากลับมาจากต่างประเทศในวันนี้ คนในครอบครัวของพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน
ณัชชาไม่ได้ตอบรับเปรมาในทันที แต่ถามคนขับรถแท็กซี่ “พี่คะ ทำไมพี่ไม่โทรเรียกคนมาลากรถล่ะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมพอรู้เรื่องอยู่นิดหน่อย แถมบนรถก็มีเครื่องมือด้วย ผมจะลองซ่อมเองก่อน”
คนขับแท็กซี่ปฏิเสธ
“เดี๋ยวผมเรียกคนมาช่วยอีกแรง”
จัตรภัคหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาพ่อบ้าน ให้พ่อบ้านจัดคนที่ซ่อมรถเป็นมาช่วย
เมื่อพ่อบ้านได้รับโทรศัพท์ ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลย อาจเป็นเพราะคุณท่านทั้งสองมักจะทิ้งลูกไว้แล้วออกไปเที่ยวกันสองคน แล้วกลับมากะทันหันแบบนี้ จนพวกเขาเคยชินกับมันแล้ว
หลังจากคนที่พ่อบ้านหาให้มาถึง ณัชชาและสามีของเธอถึงจะนั่งรถของเปรมากลับไปที่คฤหัสถ์เมเปิล
“เปรม์ กลับมาครั้งนี้ อยู่นานแค่ไหน?”
ณัชชาถามอย่างเป็นกันเอง
เปรมายิ้มขณะขับรถ “ไม่ไปแล้วค่ะ ครั้งนี้หนูกลับมาถาวรเลย ธุรกิจของหนูโอนกลับมาในประเทศแล้ว และบ้านของหนูก็กำลังตกแต่งใหม่ด้วย หนูวางแผนที่จะอยู่ที่นี่ถาวรเลย ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาหลายปี หนูรู้สึกว่าบ้านของเราน่าอยู่กว่า และหนูก็รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาอยู่สถานที่ที่คุ้นชินและเติบโตมา”
ดวงตาของณัชชาเป็นประกาย และพูดด้วยรอยยิ้ม “กลับมาอยู่ถาวรเหรอ หนูกลับมาคนเดียวเหรอ?หรือพ่อกับแม่ก็กลับมาด้วย?เขาทั้งสองคนวางมือจากงานหรือยัง?”
เปรมายังมีพี่ชายอีกคน