คุณสามีพันล้าน - บทที่ 267 เรื่องน่าเศร้าที่สุดคือการที่หัวใจตายไปแล้ว
รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 267 เรื่องน่าเศร้าที่สุดคือการที่หัวใจตายไปแล้ว
เขากดโทตอยู่หลายครั้ง กว่ากนกอรจะรับสาย
พอเอ่ยพูดก็ประชดเขา: “ยอมเปิดเครื่องแล้วเหรอกคุณ”
“กนกอร รถของผมน้ำมันหมด ผมยะทำยังไงดี”
“น้ำมันรถหมดแล้วเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า พระเจ้าต้องการลงโทษคุณจริงๆ ใครบอกให้คุณหนีไป แล้วยังไปไปในที่เวิ้งว้างแบบนี้ สมควร!”
นฤเบศวร์: “…คุณหัวเราะเยาะทีหลังได้ไหม? กลับมารับผมก่อน”
“ฉันขับออกมาไกลแล้วเหมือนกัน ถ้าฉันย้อนกลับไปรับคุณ แล้วรถฉันน้ำมันหมดขึ้นมาล่ะ โทรศัพท์ของคุณยังมีแบตเตอรี่อยู่ไม่ใช่หรือไง คุณก็โทรหาบอดี้การ์ดของคุณให้พวกเขามารับคุณก็แล้วกัน คุณนฤเบศวร์ของเราจะไปไหนมาไหน ต้องดูเอิกเกริก ขะเดินทางกลับเข้าเมืองอย่างเงียบๆ ได้บังไง ต้องมีขบวนที่ยิ่งใหญ่สิ-ปัง!”
สีหน้าของนฤเบศวร์เปลี่ยนไปทันที เขาตะโกนเสียงดัง: “กนกอร เป็นอะไรไป? คุณเป็นอะไร? คุณประสบอุบัติเหตุใช่ไหม? ใบขับขี่คุณได้มายังไง?
กนกอรขับรถชนต้นไม้ข้างถนน
เธอไม่เป็นอะไร
ด้านหน้ารถถูกชนจนบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถขับกลับเข้าเมืองได้
หลังจากลงจากรถและตรวจสอบแล้ว กนกอรถึงจะยอมตอบกลับอีกฝั่งอย่างไม่พอใจที่กำลังกระวนกระวายมากจนลงจากรถและวิ่งไปข้างหน้า: “แน่นอนว่าต้องได้ใบขับขี่มาจากการสอบสิคุณเป็นเพราะคุณนั่นแหละฉันคุยโทรศัพท์กับคุณ ถึงทำให้เสียสมาธิจนชนต้นไม้ข้างทาง”
“นฤเบศวร์ รถคันนี้เป็นของครอบครัวคุณ ฉันทำมันพังแล้ว…”
“ขอแค่คุณปลอดภัยดี ถ้ารถพัง ก็ให้มันพังไป ในโรงรถที่บ้านเรายังมีอีกหลายคัน คุณไม่ขำเป็นต้องจ่ายค่าซ่อม”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดีแล้ว”
กนกอรถอนหายใจด้วยความโล่งอก
รถที่เธอขับอยู่ตอนนี้ราคาหลายล้าน ถ้าเกิดเหตุรถชน ค่าซ่อมคงจะสูงน่าดู เธอจ่ายได้ แต่คงจะจ่ายอย่างอึกอักใจ
“คุณกำลังวิ่งอยู่เหรอ?”
“ไม่ใช่”
นฤเบศวร์ไม่กล้ายอมรับว่าตอนที่เขาได้ยินเสียงดังปัง ทำให้เขาตกใจกลัวมากแค่ไหน
ถ้ากนกอรต้องประสบอุบัติเหตุเพราะเขาจริงๆ เขาคง…
คงเป็นยังไง เขายังไม่ได้ตัดสินใจ!
ถ้าตัดสินใจแล้วจะบอกทุกคนเอง
“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว คุณกลับไปเถอะ ผมจะโทรเรียกบอดี้การ์ดให้มารับผมเอง”
กนกอรกดวางสาย
พอไม่ได้ยินเสียงเธอ นฤเบศวร์ก็ยกโทรศัพท์ออกจากหู จึงเห็นว่าเธอวางสายไปแล้ว
ในใจของเขาจู่ๆ ก็รู้สึกเวิ้งว้าง
เขาพึมพำในปาก: “วางสายไปแล้วจริงๆ ไม่เป็นห่วงผมเลยหรือไง!”
สิบนาทีต่อมา
นฤเบศวร์นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับ แล้วเอียงศีรษะมองภาพนอกหน้าต่างรถในตอนกลางคืน และไม่สามารถกลั้นยิ้มบนริมฝีปากไว้ได้
เขากลัวว่ากนกอรจะมองเห็น ดังนั้นเขาจึงมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
……
One Day In Coffee
รถของยศพัฒน์เพิ่งหยุดจอด เทวิกาก็รีบลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับ… วิกา”
ญาณินนึกว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน จึงกำลังจะเอ่ยทักทาย แต่พอเห็นว่าคนที่เข้ามาคือลูกสาวของเธอ เธอจึงเปลี่ยนคำพูดทันที
“คุณแม่คะ”
เทวิกาเรียกแม่
แม่ทั้งสองตอบกลับทันที
พิชญ์สินีเดินเข้าไปหาเธอก่อน แล้วกระซิบถามเธอเบาๆ ว่า “คนพวกนั้นกลับไปหมดแล้วเหรอลูก”
“คนในตระกูลส่วนใหญ่กลับไปเมื่อตอนเย็นแล้วค่ะ แต่คุณพ่อกับอีกสองครอบครัวยังไม่ยอมกลับไป “ทั้งสองครอบครัวหมายถึงครอบครัวลุงสองกับลุงสามของตระกูลสาระทาใช่ไหม”
เทวิกาตอบ พอไม่เห็นกนกอรอยู่ในร้าน เธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง: “แม่คะ กนกอรล่ะคะ”
พิชญ์สินีตอบ: “ก็นฤเบศวร์คนนั้นสิไม่รู้ว่าเป็นอะไร เขาออกจากบริษัทมาตั้งเเต่เช้า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน โทรศัพท์มือถือก็ปิดเครื่อง ปู่ของเขาเป็นห่วงเขามาก ดังนั้นเขาก็เลยส่งคนไปตามหาทุกที่ จนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แล้วไปขอร้องกนกอร ให้ช่วยไปตามหาด้วย”
“กนกอรก็เลยออกไปช่วยตามหา แม่เพิ่งโทรหาเธอเมื่อตะกี้ เธอบอกว่าเธอพบเขาแล้วและกำลังเดินทางกลับเข้าเมือง”
ดวงตาของเทวิกาสั่นไหว
คนอื่นไม่รู้ว่านฤเบศวร์กำลังคิดอะไร แต่เธอรู้ดี
คงเป็นเพราะของขวัญที่คุณพัฒน์ส่งให้เขามันหนักหนามากเกินไป ทำให้นฤเบศวร์หายใจไม่ออก
เทวิกาไม่รู้ว่าของขวัญที่คุณพัฒน์ให้นฤเบศวร์นั้นน่าตื่นตกใจแค่ไหน ถึงทำให้นฤเบศวร์ต้องปิดโทรศัพท์และไม่ยอมติดต่อใครเลย ดูท่าคงตกใจมาก
ไม่รู้ว่านฤเบศวร์ยังมีใจให้กับเปรมา อีกไหม หลังจากได้รับของขวัญชิ้นนั้นไป?
จะว่าไปแล้ว คุณปู่เร็นก็เป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จริงๆ
เขาส่งคนไปตามหานฤเบศวร์ พอตามหาเจอ เขาก็มาขอความช่วยเหลือจากกนกอร เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการสร้างโอกาสให้กับทั้งสองคน
ในขณะที่นฤเบศวร์กำลังทุกข์ใจ การปรากฏตัวของกนกอร เหมือนแสงสว่างที่ส่องเข้าไปในหัวใจที่แตกสลาย และมืดมนของเขา
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วค่ะ”
เทวิกาเดินไปหาแม่ของเธอแล้วเอ่ยถาม “คุณแม่คะ กินข้าวกันหรือยังคะ”
คำถามนี้ถามพิชญ์สินีด้วย
แม่ทั้งสองคนเอ่ยตอบ: “พวกแม่กินแล้วจ้ะ”
ญาณินถามเธอ: “ลูกล่ะ กินข้าวหรือยัง”
พิชญ์สินีพูดกับลูกเขยที่เดินตามมาข้างหลัง: “ถ้าลูกสองคนยังไม่ได้กินข้าว เดี๋ยวแม่ไปซื้ออาหารให้พวกลูกเดี๋ยวนี้เลย”
บ้านเช่าของเทวิกายังไม่ได้ทำเรื่องคืน ดังนั้นเธอจึงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ตรงข้าม แล้วซื้อวัตถุดิบกลับไปที่บ้านเช่าของเทวิกาเพื่อทำอาหาร แล้วใส่กล่องอสหารนำมาที่ร้านเพื่อกินพร้อมกับญาณิน
ญาณินเพิ่งจะรู้ว่าลูกสาวของเธอเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆ นี้
พิชญ์สินีบอกว่ากุญแจบ้านเช่าอยู่ในที่เสียบปากกาทางด้านขวาของเครื่องคิดเงิน
“แม่ครับ ไม่ต้องแล้วครับ วิกากับผมกินข้าวมาแล้ว วิกาเป็นห่วงพวกคุณแม่ ก็เลยอยากมาดู”
ยศพัฒน์ยังไม่ได้เดินเข้ามา เพื่อให้พื้นที่สำหรับแม่และลูกได้คุยกันเพียงพอ เขาจึงดึงเก้าอี้ใกล้ๆ ออกมา แล้วนั่งลง
พิชญ์สินีเองก็เหมือนกัน
ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าแล้ว
เทวิกาเดินไปหาแม่พร้อมกับโทรหากนกอร พอมั่นใจว่าทั้งสองคนไม่เป็นไร เธอจึงวางสายลง
“คุณแม่คะ”
เทวิกาเดินเข้าไปตรงจุดคิดเงินและกอดแม่ของเธอไว้อย่างคิดถึง
ญาณินรีบมองไปทางพิชญ์สินีแล้วรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าพิชญ์สินีไม่มีท่าทางไม่พอใจหรืออิจฉา
เธอเป็นคนคลอดวิกาออกมา แต่วิกาถูกเลี้ยงดูมาโดยพิชญ์สินี บ้านตระกูลวาชัยยุงเป็นผู้มีพระคุณของวิกา
เธอตามหาลูกสาวของเธอกลับมาได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับพิชญ์สินีเลย วิกาเป็นลูกสาวของพวกเธอทั้งสองคน วิกาทำตัวสนิทสนมกับเธอมากขึ้น เธอยังกลัวว่าพิชญ์สินีจะไม่พอใจ
โชคดีที่พิชญ์สินีเป็นคนใจกว้างและเต็มใจจะแบ่งปันความกตัญญูของลูกสาวกับเธอ
ญาณินรู้สึกขอบคุณพิชญ์สินีมาก นี่คือแม่ที่แสนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็เป็นแม่ที่ดีมากคนหนึ่งเช่นกัน
“วิกา”
ญาณินตบหลังมือของเทวิกาเบาๆ แล้วพูดเสียงนุ่ม “ถ้าลูกอยากช่วยพูดแทนพ่อของลูก ไม่ต้องพูดแล้วจ้ะ แม่ไม่อยากฟัง แม่กับพ่อของลูก…ความสุขมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ว่ายังไงแม่ก็จะหย่า จากนี้ไป แม่จะอยู่กับลูกที่นี่”
“ถึงแม้ฐานะภรรยาของผู้นำตระกูลสาระทาจะดูสูงศักดิ์มาก แต่แม่ก็นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นมานานแล้ว ในเมื่อมีคนต้องการตำแหน่งนั้นขนาดนี้ ก็ยกให้พวกเธอเถอะ แม่แค่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับลูกและพี่ชายของลูก ขอแค่พวกลูกมีชีวิตที่มีความสุข แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”
เรื่องน่าเศร้าที่สุดคือการที่หัวใจตายไปแล้ว
ญาณินเจ็บปวดจากไซม่อนมามากพอแล้ว
หลังจากที่เทวิกานิ่งเงียบอยู่สักพัก เธอก็พูดว่า “คุณแม่คะ คุณพ่อบอกกับหนูว่าเขาจะไม่ยอมหย่าแน่ๆ”
เธอไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร หรือทำอะไรดี
ถ้ายืนอยู่ในมุมของแม่เธอมองพ่อ ถือว่าพ่อของเขาเป็นผู้ชายที่สารเลวจริงๆ สามีแบบนี้ไม่หย่า ยังจะเก็บไว้ทำไม?
แต่นั่นก็เป็นพ่อของเธอ
ในใจของเธอก็เห็นด้วยกับการหย่าร้างของพ่อแม่ แต่พ่อของเธอของเธอพูดย้ำกับเธอ: ว่าจะไม่หย่าแน่นอน!
คุณพ่อเป็นผู้นำตระกูลสาระทา เขาไม่ยอมหย่า ถึงแม้คุณแม่จะฟ้องหย่า ก็คงทำอะไรไม่ได้
เฮ้อ เธอลำบากใจมากจริงๆ