คุณหนูโลลิคลั่งเนีย ลิสตัน - ตอนที่ 12 เดบิวต์ไอดอลโลลิ ส่วนหลัง
12 เดบิวต์ภาพสะท้อนเวทมนตร์ ส่วนหลัง
ทีมช่างภาพกำลังเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่……ต่อหน้าเจ้าของ
“ท่านประธาน คุณต้องการเรียกประชุมสรุปหรือไม่ครับ?”
คนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าฉูดฉาดเล็กน้อยที่ดูท่าทางเหมือนเป็นตัวแทนของทีมช่างภาพเข้ามาคุยกับคุณพ่อ――อะเร๊ะ?
ขณะที่ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนสักแห่งมาก่อน ริโนกิสที่ตื่นเต้นก็ก้มมากระซิบที่ข้างหู
“――คุณหนูคะ คุณหนูคะ นั่นเบนเดริโอ้ไงคะ เบนเดริโอ้! เบนเดริโอ้!!”
ใช่แล้ว
ใบหน้าฉูดฉาดนั้นคือใบหน้าของเจ้าหมอนั่นที่ฉันเกลียดจากการที่ดื่มเหล้าตั้งแต่เช้าโดยไม่รับรู้ความรู้สึกของคนดูในรายการ「สารคดีท่องเที่ยวดินแดนลิสตัน」ไกด์นำเที่ยวเบนเดริโอ้ไงล่ะ
แต่เมื่อมองดูแล้วก็ไม่ได้ดูฉูดฉาดเหมือนกับที่เห็นในภาพสะท้อน ฉูดฉาดราว ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังชีวิตแค่เพียงเล็กน้อย……ดูเหมือนกับพ่อบ้านธรรมดาทั่วไปที่แต่งตัวฉูดฉาดเล็กน้อยและพยายามอย่างหนักเพื่อให้ดูอ่อนกว่าวัย
อ้า เข้าใจแล้ว
หน้าฉูดฉาดนั้นคือเมคอัพเองสินะ
ในตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามองเขาดูดีขึ้นบ้าง แต่แน่ใจว่าน่าจะมีเหตุผลที่จำเป็นต้องทำให้ใบหน้าเคร่งคัดต้องมันเยิ้มและเอ่อล้นไปด้วยพลังแบบนั้นใช่ไหม
“――หนูคือเนียจังสินะ”
เบนเดริโอ้ประชุมสรุปสั้น ๆ กับคุณพ่อ ก่อนหันมาหาฉันที่นั่งอยู่บนรถเข็นอยู่ข้างคุณพ่อ
โอ้…..จริงด้วย
พอได้พิจารณาอย่างใกล้ชิดแล้ว ก็พบว่าเป็นไกด์เบนเดริโอ้ตัวจริง จริง ๆ ล่ะ
ในภาพสะท้อนเวทมนตร์มีบางครั้งที่ฉันหงุดหงิดนิดหน่อยกับใบหน้าฉูดฉาดกระหยิ่มยิ้มย่องแต่เห็นแบบนี้แล้วดูเหมือนเป็นคุณลุงที่มีอัธยาศัยดีทั่วไป
ฉันทักทายเบนเดริโอ้ที่ตั้งใจนั่งยอง ๆ ลงมาเพื่อเผชิญหน้าจ้องมองฉัน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เบนเดริโอ้ซามะ เนีย・ริสตันค่ะ หนูได้ดูใบหน้าของคุณผ่านแผ่นคริสตัลทุกวันเลยค่ะ”
ในฐานะขุนนางระดับขั้นที่สี่ และเป็นลูกสาวของลอร์ดแห่งลิสตัน ฉันไม่สามารถให้คำตอบที่น่าอับอายได้
ฉันระดม「ความเป็นกุลสตรี」อย่างเต็มที่จากความรู้ที่คลุมเครือและน้อยนิดของฉันเพื่อทักทายกลับไป
ม๊า เพราะยังเป็นเด็กถึงจะไร้มารยาทในระดับหนึ่งก็ยังพอได้รับการให้อภัยอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรแสดงออกคือความวิตกกังวลและความตึงเครียด
เพราะนั้นคือการแสดงออกถึงจุดอ่อน
ต่อให้กำลังมีความวิตกกังวลและความตึงเครียดจนไม่มีกำลังเพียงพอ ก็ต้องตั้งท่าให้เหมือนร่างกายยังมีกำลังเหลือพอ นั่นคือทัศนคติขั้นต่ำที่ควรมีเมื่อเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่ง
――ม๊า แต่ฉันไม่ได้กำลังมีความวิตกกังวลและความตึงเครียดอะไร แถมยังมีพลังเหลือเกินพอ แค่ว่าค่อนข้างรำคาญอารมณ์พุ่งพล่านของริโนกิสที่แพร่มาจากข้างหลัง
“โห๊……ทุกวันเลยเหรอ”
เบนเดริโอ้แข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิด เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งด้วยความพอใจให้กับการทักทายของฉันที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดูมีมารยาทและความเฉลียวฉลาด ถึงจะไม่สามารถพูดได้อย่างแข็งแรง หรือมีชีวิตชีวา หรือกระปรี้กระเปร่า คุณพ่อก็พยักหน้าเช่นกัน ดีล่ะ เหมือนจะไม่ได้หลุดอะไรไร้มารยาทไป ไม่ได้ทำผิดพลาดด้วย สำหรับตอนนี้น่ะนะ
“ไหน ๆ ก็แล้ว มีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างล่ะ?”
“สบาย ๆ ละมุนละม่อม หนูชอบค่ะ ――แต่ว่าช่วงนี้มีฉากดื่มเยอะเกินไปไม่คิดอย่างงั้นบ้างเหรอคะ?”
“เข้าใจล่ะ นั่นสินะ ผมเองก็คิดว่ามากอยู่เหมือนกัน”
และเบนเดริโอ้ก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย เจอตัวเป็น ๆ ก็ยังหน้าตาบาดตาจริง ๆ
“ยังไงก็ตามเหล้าและผลิตภัณฑ์พิเศษของท้องถิ่นได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชม ทำให้ขายดีหลังจากออกอากาศ”
ริโนกิสก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน
……ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นเหมือนกัน
ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่เมื่อฉันได้เห็นเบนเดริโอ้ดื่มเหล้าแต่เช้าตรู่ก็ทำให้ฉันอยากดื่มด้วยเหมือนกัน
คนที่เหมือนฉันก็ต้องซื้อแน่นอนใช่ไหมล่ะ
“เนีย จำต้นร่างได้แล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ โอโต้ซามะ”
พวกคุณพ่อเป็นคนคิดบทพูดสำหรับประกาศการรอดชีวิตของฉันทั้งหมด ฉันพึ่งจำได้ก่อนนี้เอง ม๊า ก็เป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหา
“――ท่านประธาน เราควรทำยังไงกับการแต่งหน้าของเนียจังดีคะ?”
คุณพ่อตอบกลับทีมงานคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงที่นำอุปกรณ์แต่งหน้ามาให้ว่า “วันนี้อากาศดี ไม่จำเป็นหรอก”
เข้าใจล่ะ มีการเมคอัพเพื่อให้ดูดีในการถ่ายทำสินะ พูดอีกอย่างนี่คือสาเหตุที่ใบหน้าของเบนเดริโอ้ดูฉูดฉาด
“……จ๊า แล้วจะทำยังไงกับสีผมดีคะ…….?”
เธอถามมาอย่างลังเล อาจเป็นเพราะสีผมของพ่อแม่กับสีผมของฉันแตกต่างกัน
เพราะผมของฉันยังคงเป็นสีขาว
“นั่น…….”
“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็ได้ค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อกำลังสับสนดังนั้นฉันจึงแสดงความคิดเห็นออกไป ถ้าหากลังเลใจสู้ให้ทำตามความต้องการของฉันแทนจะดีกว่า
“เส้นผมนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหนูได้ต่อสู้กับโรคร้าย ไม่มีสิ่งใดต้องอายหรอกค่ะ”
ไม่ใช่สำหรับฉัน
เพราะมันเป็นรอยแผลเป็นจากการต่อสู้ของเนีย และเป็นหลักฐานการมีอยู่ของเธอ
ถึงจะไม่รู้ว่าจะขาวไปนานแค่ไหน
บางทีมันอาจจะเป็นสีนี้ไปตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันไม่มีความปรารถนาหรือความอับอายที่อยากจะปกปิดรอยแผลเป็นของเธอ
“……เข้าใจแล้ว ถ้าเนียพูดอย่างนั้น ถ้าอย่างงั้นมาเริ่มกันเถอะ”
การเตรียมการถ่ายทำเป็นไปตามลำดับ
กล่องสีดำที่มีขาตั้งตรึงกับพื้นคล้ายบันไดพาด ดูเหมือนว่าจะเป็นกล้อง
กระจกที่ติดอยู่กับกล้อง――ฉันถูกบอกให้หันไปมองที่นั่น เพราะภาพจะถูกบันทึกด้วยเลนส์นั่น
พ่อกับแม่ยืนชิดข้างหลัง พี่ชายยืนถัดจากฉัน และที่ตรงกลางคือฉันที่นั่งอยู่บนรถเข็น
จากนั้นคนรับใช้หลักที่รับใช้ตระกูลริสตัน เข้าแถวด้านหลังพวกเรา
เมื่อการถ่ายทำเริ่มขึ้นในที่สุด พวกคนรับใช้ก็รู้สึกกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ถึงพวกเขาจะไม่มีบทต้องพูด แต่ก็ไม่สามารถหยุดกระแอมจนได้ยินจากที่นี่และที่นั่นได้
พ่อแม่เป็นเจ้าของจึงมีความคุ้นชินใช่ไหมนะ? ถึงได้ดูใจเย็น พี่ชาย……ดูประหม่าเล็กน้อย
ฉันเองก็ทำใจเย็นได้เหมือนกัน
ตอนที่ฉันพึ่งเริ่มเป็นเนียซึ่งอ่อนแอกำลังจะตายจากอาการไอ เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตบนความเครียดและหวาดกลัวมากกว่านี้เยอะ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังดีกว่าตาย
พอคิดแบบนั้นแล้วก็จะไม่มีความหวั่นวิตก ไม่มีอะไรสั่นไหวความรู้สึกได้
ที่จริงฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
ต้องเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ถึงจะทำให้ฉันประหม่าได้
เบนเดริโอ้ซึ่งยืนอยู่ข้างกล้อง ลดนิ้วห้านิ้วข้างขวาที่ชูขึ้นทีละนิ้ว เป็นการส่งสัญญาณให้เริ่มถ่ายทำ
ความหมายคือที่อย่างจะเริ่มต้นทันทีที่นิ้วหายไป
คุณพ่อแสดงความรู้สึกอย่างสง่างาม ขอบคุณต่อความช่วยเหลือมากมายที่ทำให้ลูกสาวของตนรอดชีวิตมาได้
คุณแม่ พี่ชาย พูดต่อเนื่องกันคนละประโยค――ตามที่ได้ซ้อมเอาไว้ และถ่ายตรงมาที่ฉันเป็นคนสุดท้าย แค่นั่นแหละ ไม่มีการดัดแปลงใด ๆ
“――”
คำพูดที่เตรียมไว้ในต้นร่างถูกกล่าวด้วยบรรยากาศที่ดูมีมารยาทและความเฉลียวฉลาด ถึงจะไม่สามารถพูดได้อย่างแข็งแรง หรือมีชีวิตชีวา หรือกระปรี้กระเปร่า ――เบนเดริโอ้ตะโกนว่า「คัท!」และการถ่ายทำก็ได้จบลง
ฉันยังไม่ทันรู้สึกอะไรเท่าไร การถ่ายทำก็จบลงแล้ว
ดูเหมือนจะหมดหน้าที่ของฉันแล้ว
พอมาคิดดู พ่อแม่ก็ดูคาดหวังไว้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน
เหลือแค่ว่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไร
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องโกหกที่ฉันต้องการช่วยเหลือครอบครัว(เนีย) และฉันคิดว่ามันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นผลลัทพ์ที่มาจากการพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วย
ยังไงก็ตาม
―― เด็กหญิงที่ป่วยหนักนอนอยู่กับเตียงได้รับการช่วยเหลือ
เสียงสะท้อนของข้อเท็จจริงนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน
ภาพสะท้อนเวทมนตร์ที่ผู้คนจำนวนมากรอรับชม ตัวอย่างจริงที่ชัดเจน ของการที่สามารถช่วยเหลือคนป่วยที่บรรดาแพทย์ต่างยอมแพ้
เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ ผู้ประกอบการ นักลงทุน และขุนนางจำนวนมากที่ปกครองดินแดนต่างเชื่อมั่นในความเป็นไปได้และผลกำไรมหาศาลของภาพสะท้อนเวทมนตร์
วัฒนธรรมของภาพสะท้อนเวทย์มนตร์ซึ่งแพร่กระจายอย่างช้า ๆ จนถึงตอนนี้ จากนี้ไปจะเกิดการแพร่กระจายไปในคราวเดียวราวกับพลุแตก
และฉัน ――
” ―― จ๊า เนียจัง ฝากด้วยน๊า!”
ค๊า ค๊า ฉันลุกขึ้นจากรถเข็นและเคลื่อนตัวไปข้างหน้ากล้อง
“สาม、สอง、หนึ่ง、――”
นิ้วของหัวหน้าผู้กำกับหายไป และการถ่ายทำก็เริ่มขึ้น
“――อรุณสวัสดิ์ค่ะ รายการเยี่ยมชมอาชีพกับเนีย・ลิสตัน วันนี้ฉันอยากจะพาทุกท่านไปเยี่ยมชมที่ทำงานของคุณผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมดาบกันค่ะ”
――และฉันก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานถ่ายทำในภาพสะท้อนที่จะปรากฎบนป้ายโฆษณาเพื่อเผยแพร่ภาพสะท้อนเวทมนตร์
ปล.จบงานดูแลแล้ว ล้าไปทั้งตัว อยู่เฉยๆตะคริวยังกินรัวๆจนกล้ามเนื้ออักเสบอีกต่างหาก กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่กลับมาแปลได้ แค่มองตัวหนังสือเยอะหน่อยก็แสบตาจนน้ำตานองเลย ถ้าไม่ได้ฮาเร๊มโลลิปลอบใจคงตายไปแล้ว? ฮา