คุณหนูโลลิคลั่งเนีย ลิสตัน - ตอนที่ 91 จะเรียกว่าเมล็ดพันธุ์โลลิแห่งความเป็นหมีได้ใหม่ ๆ ได้หรือไม่
- Home
- คุณหนูโลลิคลั่งเนีย ลิสตัน
- ตอนที่ 91 จะเรียกว่าเมล็ดพันธุ์โลลิแห่งความเป็นหมีได้ใหม่ ๆ ได้หรือไม่
91 จะเรียกว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ได้หรือไม่
“――ข้าได้ยินมาแล้วว่าพวกเธอได้เจอกันแล้ว แต่ก็ขอแนะนำให้รู้จักอีกครั้ง ลูกสาวคนที่สองของข้า ริเคลวิต้า”
หลังจากได้เจอริเคลวิต้า ลูกสาวคนที่สองของตระกูลซิลเวอร์ในตอนเช้าที่ทุกอย่างค่อนข้างยุ่งเหยิง ฉันก็ได้เจอเธออีกครั้งที่โต๊ะอาหารเย็น
พอถ่ายทำในตอนบ่ายเสร็จ พวกเราก็กลับมาเจอเธอที่ถูกวิกซอน・ซิลเวอร์พามาแนะนำตัวอย่างถูกต้องอีกครั้ง
“สะ สวัสดี เมื่อเช้า……กุฟู๊ว……”
ในที่สุด ริเคลวิต้าก็ออกมากล่าวทักทายอย่างเป็นทางการ
เธอตัวสั่นพยายามส่งเสียงหัวเราะที่เป็นมิตรอย่างน่าสงสาร
“――ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ นีล・ลิสตันครับ”
“――เนีย・ลิสตันค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
พี่ชายทักทายอย่างสมาร์ททั้งที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ ฉันก็ทักทายด้วยเช่นกัน
“ขอโทษด้วยสำหรับการทักทายที่ล่าช้า ก็อย่างที่เห็น เด็กคนนี้ขี้อายมาก……
ข้าคิดว่าถ้าบังคับให้ออกมาเจอกัน ก็มีแต่จะทำให้ไม่สบายใจกันซะเปล่า ๆ ข้าก็เลยคิดว่าจะปล่อยให้เธอทำตามความสมัครใจ แต่ว่า……”
“―― แล้วก็เป็นไปตามที่ท่านตั้งใจไว้ ริเคลวิต้าโดโนะสมัครใจออกมาพบพวกเราเองสินะครับ”
สมกับเป็นพี่ชาย สามารถคิดตามได้อย่างรวดเร็วราวกับกำลังบอกว่า「เรื่องของทางนี้ยังไงก็ได้」
จริงสิ ความจริงที่ว่าริเคลวิต้ามาหาพวกเราเองก็ไม่ใช่เรื่องโกหก
ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการทำราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนขนนกที่เบามาก เบาเกินไปจนดูเหมือนไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป ถึงแม้ว่าก็ไม่มีอะไรนอกจากเสียงกรีดร้องที่ดังออกมา ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้น
ตอนนี้สมาชิกทั้งของตระกูลซิลเวอร์มารวมตัวกันที่นี่แล้ว
ผู้นำตระกูล วิกซอน・ซิลเวอร์
ลูกสาวคนโต รัฟฟิน
ลูกสาวคนที่สอง ริเคลวิต้า
ลูกสาวคนที่สาม ลิลิมิ
และที่คุ้นเคยกันมากที่สุด ลูกสาวคนสุดท้อง เรเลียเรด
เป็นโชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ที่พวกเราได้พบกันในช่วงเวลาก่อนการมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงในอีกไม่กี่วันนี้
เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์กับพวกเขาในอนาคตแล้ว การพบปะเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ในอนาคตข้างหน้านี้ อาจจะมีบางครั้งที่ฉันจะมาที่ตระกูลซิลเวอร์ และฉันคิดว่าคงจะขออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้
แต่ทว่า จะจำเป็นต้องกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า
ฉันเข้าใจว่าเธอขี้อายมาก และแม้แต่ตอนนี้เธอก็ดูเหมือนจะผืนบังคับตัวเองให้ยิ้มอย่างอย่างน่าสงสารมาให้ฉัน
ฉันสงสัยจังว่าควรจะต้องรักษาระยะห่างระดับไหนดี
“――ใช่แล้ว ริเคลวิต้าวาดรูปเก่งมากเลยนะ เธอมักจะวาดรูปอยู่ในห้องตลอด ช่วยดูสักหน่อยจะได้ไหม?”
และ พวกเราก็ถูกเชิญชวนทั้งแบบนี้
ถ้าฉันไม่เดินเข้าไปหาก็ไม่คิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่……สงสัยว่าจะเป็นอีกฝ่ายที่อยากเปลี่ยนแปลงระยะห่างสินะ
“―― กุฟู๊ว? โอะ โอโต้ซามะ นั่นออกจะน่าอาย……”
แต่ความรู้สึกกระสับกระส่ายของริเคลวิต้านั้นเป็นเหมือนถึงจะรู้สึกอายแต่ก็อยากให้ดู ต้องคิดอย่างนั้นอยู่แน่นอน ฉันเข้าใจว่าอย่างงั้น ฉันไม่รู้สึกถึงคำพูดหรือท่าทางที่จะปฏิเสธ
แต่ว่า ปัญหาคือต่อจากนี้
ฉันควรหลีกเลี่ยงดีไหม
หรือฉันควรไหลไปตามกระแส
เมื่อพิจารณาว่าฉันถูกกรีดร้องใส่เมื่อเช้านี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าฉันไม่ควรกังวล――
“――ครับ แน่นอน หากไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป ผมก็อยากเห็นเหมือนกันครับ”
อะ ไม่มีที่ว่างให้ลังเลอีกแล้ว
พี่ชายตอบอย่างสมาร์ทดังเช่นขุนนาง ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลอีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามน้ำไป
ม๊า ยังไงก็ได้
ดูเหมือนริเคลวิต้าก็ไม่ปฎิเสธเช่นกัน
――พูดโดยสรุป คำเชิญนี้จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นไปได้ใหม่ ๆ
หลังอาหารเย็น ฉัน พี่ชาย และริเคลวิต้า
พวกเราไปเยี่ยมชมห้องของริเคลวิต้าพร้อมกับพี่น้องของเธอ และสาวใช้อีกสองสามคนซึ่งดูกระวนกระวาย และเป็นกังวลในทุกความหมาย
อย่างแรกเลย กลิ่นของสีโชยมาแตะจมูกฉัน
จากนั้นในห้องที่มีเพียงแสงสลัว มีผืนผ้าใบและขาตั้งที่วางไม่เป็นระเบียบกระจัดกระจายไปทั่ว
เมื่อเปิดไฟ……เข้าใจล่ะ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ห้องส่วนตัวแต่เป็นห้องสำหรับวาดรูป อาจเรียกว่าสตูดิโอได้เลย
“เข้าใจล่ะ สุดยอดเลย……”
ฉันไม่รู้ว่าเข้าใจอะไร แต่ในสายตาของพี่ชายซึ่งดูเหมือนจะมีเซนส์ด้านศิลปะที่ยอดเยี่ยม รูปวาดมากมายใน้องดึงดูดสายตาของเขา
ฉัน……ส่วนฉันไม่เข้าใจอะไรเลย
ฉันเข้าใจรูปวาดทิวทัศน์และรูปวาดบุคคล แต่ไม่เข้าใจรูปวาดนามธรรมเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สมเหตุสมผลเลยที่ดึงเฉพาะอิมเมจมาจากโมเดลแล้ววาดด้วยโมทีฟ(แม่ลาย?)ที่แตกต่างออกไป
ม๊า ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก ฉันก็รู้สึกบางอย่างเหมือนกัน แต่……นี่ใช่ม้าน้ำหรือเปล่า? ไม่ใช่? ชายชราที่มีไม้เท้า? ……เอ่ ชายชราถือไม้เท้า!? นี่คือ!? ม้าน้ำไม่ใช่เหรอ!? อันไหนชายชราและอันไหนม้าน้ำกัน!? อะ คือม้าน้ำใช่แล้วสินะ…….ว่าแล้วเชียว ฉันไม่เข้าใจเลย รู้แค่ว่าเป็นรูปลึกลับที่ดูเหมือนม้าน้ำเท่านั้น
“หนูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร รู้แค่ว่าเป็นเทคนิคขั้นสูงเท่านั้น”
เรเลียเรดดูเหมือนมีปัญหาเดียวกันกับฉัน ม้าน้ำใช่ไหม? ไม่ใช่? ……ครัวซองต์? เอ๊ะ ครัวซองค์!? ตรงไหนครัวซองต์อยู่ตรงไหน!? เส้นรอบหัวของม้าน้ำตัวนี้ดูเหมือนครัวซองต์!? นี่คือม้าน้ำต่างหาก! ……อะ ไม่ใช่เหรอ ชายชรากับไม้เท้า ……งั้นเหรอ ม๊า นั่นสินะ หมายถึงชายชราที่ดูเหมือนม้าน้ำสินะ สงสัยอาจจะเป็นม้าน้ำที่แก่แล้วก็ได้ น่าจะเป็นม้าน้ำแก่ ๆ
“นี่ก็……”
“ดูดีเลย สงสัยจังว่ามีอยู่เท่าไหร่”
พี่ชายกับลูกสาวคนโต รัฟฟินถอนหายใจขณะมองดูรูปวาดที่สาวใช้ช่วยกันจัดเพื่อให้ดูได้ง่าย ๆ
นี่คือความแตกต่างในความเฉียบแหลมสินะ ……นั่นคือวัวใช่ไหม? เอ๊ะ? ไม่ใช่? รู้แล้ว ฉันรู้แล้วเป็นสิ่งที่ดูเหมือนวัว แต่ไม่ใช่วัวสินะ บางสิ่งบางอย่างจากโมเดลวัว
“อาโน๊ เนียจัง นี่”
เรเลียเรดกับลิลิมิ ลูกสาวคนที่สามเอียงหัวไปมองพร้อมกัน เมื่อริเคลวิต้านำกระดาษภาพร่างปึกหนึ่งที่ไม่ใช่ผ้าใบออกมา
“……อ้า ถ้าเป็นอันนี้เข้าใจง่าย ๆ เลย”
ฉันล่ะ
ภาพโมโนโทนที่เกิดจากการวาดเส้นด้วยถ่านคือ ใบหน้าของฉัน
เป็นรูปวาดที่ราวกับมีชีวิตที่ดูเหมือนกับจะหลุดออกมาจากภาพสะท้อนเวทมนตร์ของเมจิกวิชั่น แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น
“มีเรเลีย ด้วย”
“อะ……สุดยอด”
กองกระดาษทั้งหมดเป็นภาพร่างของผู้คน
มีของฉันกับพี่ชายอยู่ค่อนข้างมาก แต่ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะจำลองมาจากครอบครัวและคนรับใช้ของตระกูลซิลเวอร์
พอเห็นอะไรที่เข้าใจง่ายแบบนี้ ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเธอวาดรูปเก่งจริง ๆ
“ริเคลเน่ซามะก็วาดรูปแบบนี้ได้เหมือนกันสินะ”
“อืม บางครั้ง……ไม่มีโอกาสแสดงให้ดูเท่าไหร่ แต่……”
ลิลิมิแสดงความประทับใจอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะเธออยู่ห่างบ้านเนื่องจากชีวิตในรั้วสถาบันการศึกษา และดูเหมือนจะขาดการสื่อสารกับคนในครอบครัวด้วย
“ลองคิดดูแล้ว เน่ซามะก็เป็นคนทำหนังสือภาพกับ*การแสดงนิทานภาพ*ให้ตอนที่ฉันยังเด็ก”
“อืม……”
ริเคลวิต้ายิ้มเศร้า ๆ
“…..ลิลิมิชอบออกไปเล่นนอกบ้าน และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ จนเบื่อของที่ฉันทำทันที……หรือจะพูดว่าไม่หันกลับมามองเป็นครั้งที่สองเลย……”
“……ขะ ขอโทษ”
“……โอเน่จัง รู้สึกหดหู่ คิดว่าโดนเกลียด ไม่อยากออกไปไหนแล้ว……”
“ขอ ขอโทษ!หนูขอโทษค่ะ!”
…………
“เนีย!ไปดูรูปวาดแปลก ๆ แบบเดนิช(ศิลปะแบบเดนมาร์ก)ตรงนั้นกัน!”
ดูเหมือนกำลังเกิดละครโศกภายในครอบครัว เรเลียเรดจึงพยายามกันฉันออกห่าง แต่ ――
“……*การแสดงนิทานภาพ* งั้นเหรอ”
ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับความคิดนั้น
ภาพสะท้อนของเมจิกวิชั่นคืออะไร คือการบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ในทางกลับกัน คุณก็สามารถถ่ายทำได้เฉพาะสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงเท่านั้น
เราสามารถเพิ่มเสียงในภายหลังได้ แต่ภาพสะท้อนไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นจริงได้
――แต่ว่า แล้วรูปวาดล่ะ?
หากเป็นการฉายรูปวาด เราสามารถถ่ายทำได้แม้จะไม่ใช่「สิ่งที่เกิดขึ้นจริง」
ไม่ต้องไปที่ถ่ายทำ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศ ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพร่างกายของนักแสดง จะไม่ถูกยกเลิกเนื่องจากสถานการณ์โดยรอบ
คุณสามารถถ่ายทำได้ในร่มได้โดยไม่เป็นอุปสรรค และไม่คลาดเคลื่อนจากกำหนดการแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ หากเป็นรูปวาดก็ยังสามารถถ่ายทำได้แม้แต่สิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
ตัวอย่างเช่น การต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรคลาสพิเศษกับวีรบุรุษ หรืออะไรทำนองนั้น
บางทีนี่อาจเป็นความเป็นไปได้อย่างหนึ่งในเมจิกวิชั่น
――ต้องลองปรึกษากับฮิลเดโทร่า
――นอกจากนี้ สงสัยจังว่าฉันจะสามารถดึงริเคลวิต้าให้มาออกมาอยู่ด้วยก่อนที่จะได้รับการว่าจ้างจากช่องของดินแดนซิลเวอร์ได้ไหม
ทักษะการวาดของเธอเป็นที่แน่นอน
หากสามารถนำ「การถ่ายทำรูปวาด」เข้าสู่วงการเมจิกวิชั่นได้ จิตรกรที่มีทักษะเช่นเธอย่อมมีค่ายิ่ง ฉันต้องการการรับประกัน
“อะ เนีย”
เรเลียเรดที่จ้องหน้าฉันที่ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้ว่าเธอจะออกแรงดึงมือแค่ไหน ก็พูดราวกับอ่านใจฉันได้ทันที
“ตอนนี้ เธอกำลังสงสันว่าจะสามารถใช้*การแสดงนิทานภาพ*สำหรับเมจิกวิชั่นได้อยู่หรือเปล่าใช่ไหม?”
――อะไร!? ระ รู้ตัวด้วยเหรอ…… !?
“ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อืมอืม ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่ากำลังพูดถึงเรื่องอาร๊าย? ขอจับมือมากกว่านี้สักนิดได้ไหม?”
“อะ ก็จับอยู่แล้วไ……เจ็บๆๆๆๆๆๆ!”
กลบเกลื่อน! ต้องกลบเกลื่อน! ต้องรอดตอนนี้ไปให้ได้
เมื่อคืนจู่ๆก็หนาวเฉยเลย นอนแช่พัดลมไล่ร้อนอยู่ดีๆก็หนาวจนต้องร้องหาผ้าห่ม ตื่นมาตัวแห้งสนิท ปกติต้องมีเหงื่ออาบบ้างแท้ๆ ฮา