คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 101 ยืนนิ่งรอโบย
ตอนที่ 101 ยืนนิ่งรอโบย
คำพูดเพียงคำเดียวของหลิงฉางจื้อ ดับไฟแห่งความแค้นของหลิงฉางเฟิงจนมอดดับ
ไม่มีการสนับสนุนจากกองกำลังส่วนตัว อาศัยเพียงแค่บ่าวรับใช้กับองครักษ์ในมือเขาเพียงไม่กี่คนหวังจะแก้แค้นเยียนอวิ๋นเกอ ยากกว่าการฝันกลางวันเสียอีก
พลังการต่อสู้ของเยียนอวิ๋นเกอ เขาเคยเห็นมากับตา
ถึงตอนท้ายสุด แก้แค้นไม่สำเร็จ หากแต่ยังถูกเยียนอวิ๋นเกอจับเพื่อหลอกปล้นเงินอีก
เขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เยียนอวิ๋นเกอจะเอาเงินอย่างเดียว
แต่ว่าหากให้เขาล้มเลิก อัดอั้น!
“หรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้”
หลิงฉางเฟิงไม่เคยต้องถูกรังแกเช่นนี้
เขาอัดอั้นอย่างมาก!
“พี่ใหญ่ขี้ขลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
ทันทีที่สิ้นเสียง สายตาของหลิงฉางจื้อตวัดมองมาราวกับมีด หลิงฉางเฟิงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
หลิงฉางจื้อทำหน้านิ่ง “หลายวันก่อน มีคนลอบสังหารเยียนอวิ๋นเกอกลางถนน สุดท้ายถูกจับเป็นสามคน ศพของมือสังหารอื่นล้วนถูกโยนไว้ที่หน้าประตูสำนักจิงเจ้าอิ่น ทางเยียนอวิ๋นเกอบาดเจ็บห้าคน ไม่มีคนตาย มันคือความสามารถของทหารที่ผ่านประสบการณ์สงครามนับร้อยครั้ง โดยเฉพาะการปะทะระยะประชิด เทียบเท่าได้กับกองทัพเหนือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร”
หลิงฉางเฟิงทำหน้าฉงน ส่ายหน้า ไม่รู้
เมื่อรู้ว่าเยียนอวิ๋นเกอถูกลอบสังหาร เขามัวแต่ดีใจ ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ลึกไปมากกว่านั้น
หลิงฉางจื้อพูดเสียงเย็น “จวนท่านหญิงจู้หยางมีองครักษ์หนึ่งพันห้าร้อยนาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเชื้อสายขององครักษ์ตำหนักบูรพา หรือบางคนก็เป็นองครักษ์ตำหนักบูรพาในตอนนั้น จากรากฐานขององครักษ์เหล่านี้ เยียนอวิ๋นเกอสามารถสร้างกองทัพที่มีกำลังพลหนึ่งหมื่นคนได้ทันที เพียงแค่ฝึกฝนเพิ่มขึ้น ย่อมสามารถลงสนามรบได้ มันคือความมั่นใจของแม่ลูกตระกูลเยียน
เจ้าคิดว่า ความมั่นใจของเยียนอวิ๋นเกอมาจากบิดามารดาของนาง ตระกูลของนางหรือ อันที่จริงแล้ว ความมั่นใจของนางมาจากกำลังการต่อสู้ที่นางครอบครองเอาไว้ เหตุใดนางจึงบุกเบิก ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงกองกำลังของนางเหล่านั้นหรือ เมื่อมีกองกำลัง นางถึงจะยืนหยัดอยู่บนแผ่นดินนี้ได้ ถึงจะมีสิทธิ์ในการพูด
ส่วนเจ้าเลือกทำแต่งานเบาไม่ยอมทำงานหนัก ไม่เคยตั้งใจฝึกฝน นำทัพทำสงครามยิ่งอ่อนแอ ข้าถามเจ้า เจ้าจะใช้สิ่งใดเทียบกับเยียนอวิ๋นเกอ ข้าเตือนเจ้าอีกครั้ง อย่ามองเยียนอวิ๋นเกอเป็นคุณหนูธรรมดา เจ้าสามารถมองนางเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย เป็นแม่ทัพ เป็นที่ปรึกษา แต่ไม่อาจมองนางเป็นคุณหนูที่อยู่แต่ในจวน”
หลิงฉางเฟิงเลียมุมปาก “นางแค่มีกำลังมากแต่กำเนิด พี่ใหญ่ต้องเยินยอนางเพียงนี้หรือ”
หลิงฉางจื้อหัวเราะ “เยียนอวิ๋นเกอที่ถูกเจ้าดูถูกเกือบจะคร่าชีวิตของเจ้าได้ อีกทั้งยังเป็นสถานการณ์ที่เจ้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหาร เจ้าคิดว่า นางสมควรได้รับการเยินยอหรือไม่”
หลิงฉางเฟิงหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ
เขาพึมพำเสียงเบา “ครานั้นเป็นอุบัติเหตุ!”
หลิงฉางจื้อหัวเราะเสียงเบา “บางทีอาจเป็นอุบัติเหตุจริง! แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ นางมีความสามารถในการต่อสู้ ไม่อาจดูถูกได้ อีกทั้งนางเพียงแค่ถามหาเงินไม่กี่พันก้วนจากน้องสะใภ้ ถือว่านางมีขอบเขต เงินเพียงไม่กี่พันก้วนก็ทำให้เจ้าเสียสติ น่าอับอายเสียจริง หากเจ้าต้องการเงินเพียงแค่นั้น ข้าจะชดเชยให้เจ้าวันหลัง”
หลิงฉางจื้อมีกำลังทรัพย์ที่ไม่อาจเทียบได้ เงินเพียงเล็กน้อย เสียแล้วก็เสียไป
“แต่ว่า…”
เมื่อได้ยินคำว่า “แต่ว่า” หลิงฉางเฟิงตั้งสติกลับมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เยียนอวิ๋นเกอกระทำการกำเริบเสิบสาน บังอาจรังแกคนตระกูลหลิง หากยังคงรักษาความเงียบ เกรงว่านางได้คืบจะเอาศอก”
“ดังนั้นพี่ใหญ่จะสั่งสอนนางหรือ”
หลิงฉางจื้อกวาดตามองหลิงฉางเฟิงอย่างเย็นชา สั่งสอนอันใดกัน
โอกาสที่ดีเช่นนี้ ย่อมต้องแลกเปลี่ยนด้วยผลประโยชน์
มันถึงจะเป็นวิธีที่ฉลาด
ไม่ใช่เกิดเรื่องเพียงเล็กน้อยก็ร้องจะฆ่าจะแกงกัน
…
ไม่กี่วันต่อมา พ่อบ้านของตระกูลหลิงเดินทางมาหาถึงเรือนพักร่ำรวย เสนอข้อเรียกร้องความร่วมมือเชิงลึกระหว่างทั้งสองฝ่าย ส่งผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
พ่อบ้านใหญ่เยียนสุยตัดสินใจเองไม่ได้ เขารีบเดินทางกลับเมืองหลวงไปรายงานเยียนอวิ๋นเกอ
เยียนอวิ๋นเกอกำลังฝึกเขียนพู่กัน
ศิลปะทั้งสี่ มีเพียงการเขียนพู่กันที่นางทำได้ดีที่สุด
อย่างอื่นล้วนธรรมดา
เมื่อได้ยินรายงานของเยียนสุย เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่านายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย ในเมื่อเขาอยากร่วมมือในเชิงลึกมากขึ้น เราก็ตอบตกลง ถามว่าตระกูลหลิงของพวกเขามีของดีอันใด พวกเราก็นำมาขายได้ การค้าต้องมีไปมีกลับ ถึงจะยืนยาวได้”
เมื่อได้รับอนุญาต เยียนสุยจึงมีแนวทาง
เขาออกหน้าเจรจาการค้ากับพ่อบ้านของตระกูลหลิง
แลกเปลี่ยนไปมา ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ท่าทางเหมือนพ่อค้าอย่างมาก
…
เซียวฮูหยินบอกเยียนอวิ๋นเกอ “ฝ่าบาทคงรู้แล้ว มือสังหารที่ลอบสังหารเจ้าเป็นฝีมือขององค์หญิงติ้งเถา”
“เมื่อฝ่าบาททรงรู้ความจริงแล้ว เหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหว หรือว่าท่านแม่จะพูดถูก สุดท้ายคดีนี้จะกลายเป็นคดีคลุมเครือ แต่มันคงจะทำลายชื่อเสียงขององครักษ์จินอู่ไม่ใช่หรือ”
คดีใหญ่ทั้งสอง คดีแรกเซียวอี้สังหารนายท่านรองตระกูลเถา อีกคดีหนึ่งคือองค์หญิงติ้งเถาส่งคนลอบสังหาร ผู้ร้ายล้วนตกอยู่ในมือขององครักษ์จินอู่
สุดท้ายล้วนกลายเป็นคดีคลุมเครือ
ต่อจากนี้สำนักองครักษ์จินอู่ไม่ใช่สถานที่น่ากลัวที่ทำให้คนเข้าได้แต่ออกไม่ได้อีกต่อไป หากแต่กลายเป็นสถานที่ปิดบังความจริงที่ไม่อาจพูดได้
เซียวฮูหยินพูด “รอดูก่อนเถิด หากฝ่าบาทคิดจะไกล่เกลี่ยจริง เมื่อถึงเวลาอย่างมากก็ฉีกผ้าผืนสุดท้ายทิ้ง ติ้งเถาลอบสังหารเจ้าในเวลานี้ เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ภายในราชสำนักย่อมมีคนจำนวนมากตื่นเต้น”
เยียนอวิ๋นเกอกังวลเล็กน้อย “หากเปิดโปงความจริง ฝ่าบาทลงโทษจะทำอย่างไร เถาฮองเฮาเพ่งเล็งท่านแม่จะทำอย่างไร”
เซียวฮูหยินยิ้มเย็น “เถาฮองเฮาสั่งสอนบุตรไม่ดี นางมีสิทธิ์ใดเพ่งเล็งข้า อีกทั้งเวลานี้นางยังเอาตัวไม่รอด คงไม่มีเวลามารับมือกับข้า ส่วนฝ่าบาท หากความจริงไม่ถูกเปิดเผย เขาอาจปกป้องติ้งเถาเพื่อเกียรติยศของราชวงศ์ แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เขาอาจเป็นคนแรกที่ยื่นมือออกมาจัดการติ้งเถา”
เยียนอวิ๋นเกอสงสัยอย่างมาก ถาม “ข้ามักได้ยินว่าฝ่าบาททรงรักใคร่บุตรสามคนที่กำเนิดจากฮองเฮาเป็นพิเศษ แต่ฟังท่านแม่พูดเช่นนี้ หรือว่าฝ่าบาทไม่ทรงโปรดองค์หญิงติ้งเถาหรือ ข่าวลือเหล่านั้นล้วนเป็นเท็จหรือ”
เซียวฮูหยินยิ้ม “ในเมื่อเป็นข่าวลือ ย่อมมีจริงมีเท็จ โปรดปรานย่อมต้องอยู่ที่บุคคล ฝ่าบาทอาจทรงโปรดองค์ชายสอง องค์ชายสามจริง ส่วนติ้งเถานั้นไม่แน่
ฝ่าบาทไม่ได้มีติ้งเถาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว องค์หญิงท่านอื่นล้วนเชื่อฟังมากกว่าติ้งเถา ยิ่งทำให้คนโปรดปรานมากกว่า ติ้งเถานอกจากกำเนิดจากฮองเฮา รูปลักษณ์งดงามแล้ว อันที่จริงไม่มีสิ่งใดโดดเด่น อีกทั้งเมื่อฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ เขาไม่โปรดหญิงสาวที่มีนิสัยเอาแต่ใจที่สุด เห็นได้ชัดว่านิสัยของติ้งเถาไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท
เถาฮองเฮาได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทก็เพราะว่านางอ่อนโยน ฉลาด และงดงาม เถาฮองเฮามีวิธีการที่เหนือคนทั่วไป แต่นางไม่เคยอาละวาดต่อหน้าฝ่าบาท ปลดปล่อยนิสัยของตัวเอง นางเชี่ยวชาญในการใช้ความอ่อนโยนสยบความแข็งกระด้างที่สุด”
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงเข้าใจ
นางพูด “ถึงแม้จะเป็นบุตรสาว นิสัยไม่น่าโปรดปรานก็รักไม่ลง”
บุรุษเย็นชาและไร้เยื่อใยกว่าสตรีแต่กำเนิดอย่างแท้จริง
…
ภายในพระราชวังไม่มีการเคลื่อนไหว ทางสำนักองครักษ์จินอู่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
ราวกับเรื่องลอบสังหารจะกลายเป็นคดีคลุมเครือจริงๆ
แต่มันเป็นเพียงสถานการณ์ภายนอก
ภายใต้ผิวน้ำที่นิ่งสงบมีคลื่นที่กำลังโหมกระหน่ำ
เมื่อเวลาใกล้ถึงปีใหม่ ฮ่องเต้หย่งไท่ดำเนินการโยกย้ายคนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เหตุผลนั้นเที่ยงตรงอย่างมาก
แต่เมื่อรอรายชื่อออกมา พบว่าคนจำนวนสองในสามล้วนเป็นคนของตระกูลเถา
แม้แต่ขุนนางสายตรงของตระกูลเถาที่ภายนอกดูเหมือนถูกเลื่อนขั้นแต่อันที่จริงถูกลดอำนาจท่ามกลางการโยกย้ายในครั้งนี้
มันเป็นสัญญาณอันตรายอย่างมาก
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาตื่นตกใจอย่างมาก วิ่งมาขอเข้าเฝ้าเถาฮองเฮาถึงวังหลัง
“ฝ่าบาททรงคิดจะทำอันใด พระองค์ทรงต้องการทิ้งเรือเพื่อรักษาขุนนาง เสียสละตระกูลเถาของพวกเรา สยบสงครามทางตอนใต้ใช่หรือไม่”
เถาฮองเฮาบอกให้นายท่านใหญ่ตระกูลเถาเงียบ “ท่านอย่าฟังลมเป็นฝน ฝ่าบาทไม่ได้ทรงต้องการแตะต้องตะกูลเถา”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาโกรธเคืองอย่างมาก “ยังบอกว่าไม่มี ฮองเฮาทรงเห็นรายชื่อการโยกย้ายขุนนางในครานี้แล้วใช่หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามายังตระกูลเถาของพวกเรา ฮองเฮาอย่าได้แสร้งตาบอด อย่าแก้ตัวแทนฮ่องเต้ได้หรือไม่ ฝ่าบาทต้องการจะสละตระกูลเถาของพวกเรา!
ตระกูลเถาของพวกเราเป็นวัวเป็นม้าให้เขา งานเหนื่อยงานสกปรกล้วนมีพวกเราทำแทนเขา สุดท้ายเพื่อสยบไฟโกรธบนแผ่นดิน เขาก็ต้องการฆ่าพวกเรา ใช้หัวของพวกเราไปซื้อใจคน ฮองเฮายังจะเลอะเลือนไปถึงไหน”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาปวดใจอย่างมาก ตะโกนโอดครวญเสียงดัง
เถาฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่พอใจต่อท่าทีของนายท่านใหญ่ตระกูลเถา
“พี่ใหญ่ ระวังวาจาของท่าน”
“วาจาของกระหม่อมไม่มีปัญหา คนที่มีปัญหาคือฮองเฮา กระหม่อมว่าฮองเฮาถูกคำหวานของฝ่าบาทปิดบังดวงตา ฝ่าบาทพูดสิ่งใดท่านก็เชื่อ”
เถาฮองเฮาเผยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว เรื่องในครานี้ ฝ่าบาทไม่ได้ต้องการกดขี่ตระกูลเถา หากแต่กำลังกดขี่ข้า”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาตะลึง “เกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดฝ่าบาทต้องกดขี่ท่าน”
เถาฮองเฮาสูดลมหายใจเข้า ให้เหมาเส้าเจี้ยนไปเฝ้าที่ด้านนอกประตูพระตำหนัก จากนั้นพูดขึ้น “เรื่องที่เยียนอวิ๋นเกอถูกลอบสังหาร พี่ใหญ่ไม่ลืมใช่หรือไม่”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาพยักหน้า เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ความจำเขาไม่ได้แย่เพียงนั้น ยังจำได้อย่างชัดเจน
เขาครุ่นคิด “หรือว่า มือสังหารคือ…”
เถาฮองเฮาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ติ้งเถาเป็นคนส่งมือสังหารไป เรื่องนี้ฝ่าบาททรงทราบแล้ว ติ้งเถาเป็นบุตรสาวของข้า หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ทุกคนต่างต้องอับอาย”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาฟังแล้วมีความไม่พอใจ “ดังนั้นฝ่าบาทฉวยโอกาสกดขี่ตระกูลเถาของพวกเรา? ฮองเฮา เรื่องนี้ไม่เป็นธรรม องค์หญิงติ้งเถาทำผิดเรื่องส่งคนไปลอบสังหาร อีกทั้งยังถูกคนจับได้ เหตุใดจึงต้องผลักตระกูลเถาของพวกเราออกมารับผิด องค์หญิงติ้งเถาสร้างเรื่องเอง ย่อมต้องให้นางรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เหตุใดตระกูลของพวกเรายังต้องรับผิดชอบในการสั่งสอนหลานสาว เห็นได้ชัดว่าเป็นการระบายความโกรธ!”
สีหน้าของเถาฮองเฮาดำทะมึน “ถึงแม้จะเป็นการระบายความโกรธ ท่านก็ต้องรับเอาไว้”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาหรี่ตาลง “หากเป็นการทนทุกข์ทรมานแทนองค์ชายสาม กระหม่อมเต็มใจ แต่หากเป็นการทนทุกข์ทรมานแทนองค์หญิงติ้งเถา กระหม่อมไม่ยอม เรื่องลอบสังหารนี้เป็นความคิดโง่เขลาขององค์หญิงติ้งเถา…”
“ท่านว่าผู้ใดโง่เขลา ท่านอย่าลืม ติ้งเถาเป็นบุตรสาวของข้า เป็นหลานสาวของท่าน”
เถาฮองเฮาตวาดด้วยความโกรธ ข่มความกำเริบเสิบสานของนายท่านใหญ่ตระกูลเถาลงไป
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาละอาย แต่ภายในใจไม่เห็นด้วย อีกทั้งไม่พอใจต่อองค์หญิงติ้งเถาอย่างมาก
เขาถาม “บัดนี้จะทำอย่างไร คงไม่อาจให้ลุงโดนลงโทษแทนทุกครั้งที่นางทำผิดใช่หรือไม่”
เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจ “ท่านวางใจ ข้าจะลงโทษติ้งเถา ต่อจากนี้นางจะไม่ทำให้ตระกูลเถาเดือดร้อน”
“คำพูดของฮองเฮาได้ผลหรือ ติ้งเถาจะฟังท่าน?”
“คำพูดของข้าเคยใช้ไม่ได้ผลเมื่อใดกัน”