คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 110 ฮ่องเต้ให้เจ้าตายตีสาม
ตอนที่ 110 ฮ่องเต้ให้เจ้าตายตีสาม
หย่งไท่ปีที่สิบสอง ฤดูใบไม้ผลิ!
สงครามที่ยืดเยื้อทางใต้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง
กองทัพขบวนหนึ่งของท่านอ๋องตงผิงบุกโจมตีหลายวันติดต่อกัน ในที่สุดก็บุกเข้าเมืองแถบนครบาล
แผ่นดินสั่นสะเทือน!
นครบาลสั่นสะเทือน!
เมืองหลวงสั่นสะเทือน!
ราชสำนักสั่นสะเทือน!
เมื่อประชาชนในเมืองหลวงรู้เรื่องที่กองกำลังของเหล่าท่านอ๋องบุกรุกเข้านครบาลแล้ว บางคนเริ่มเก็บสัมภาระเตรียมตัวหนีออกนอกเมือง หลบหลีกสงคราม
อารมณ์หวาดกลัวแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ประตูเมืองเปิดก็เห็นราษฎรจำนวนมากพาครอบครัวและสมบัติทั้งหมดต่อแถวออกจากเมือง
เหลวไหล!
สิ่งสำคัญคือ อารมณ์หวาดกลัวยังคงแผ่ขยายไปถึงชนชั้นขุนนางราชสำนัก
คนส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าราชสำนักพ่ายแพ้แล้ว กองกำลังของเหล่าท่านอ๋องกำลังจะบุกเข้าเมืองหลวง
เมื่อเหล่าท่านอ๋องมาถึง ชนชั้นสูงในเมืองหลวงในเมืองหลวงล้วนต้องถูกคิดบัญชี สืบหาว่าพวกเขาได้ร่วมมือสังหารเหล่าท่านอ๋องของฮ่องเต้หรือไม่
หรือมีการทูลถวายวาจาให้ร้ายต่อเหล่าท่านอ๋องแก่ฮ่องเต้หรือไม่
อารมณ์หวาดกลัวนี้กระทบไปถึงราชสำนัก
ขุนนางชั้นสูงต่างตระหนก แต่พวกเขาไม่อาจหนีได้
แม่ทัพกองทัพเหนือปักหลักอยู่นอกเมือง
ผู้ใดกล้าพาครอบครัวเดินทางออกจากเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ อย่าโทษว่ากองทัพเหนือสังหารคนเพื่อเซ่นสวรรค์
เพียงแต่…
“ฝ่าบาท สงครามวิกฤตยิ่งนัก!”
“ฝ่าบาทโปรดเรียกกองทัพเหนือ กองทัพใต้กลับมา สงครามนี้ไม่อาจทำต่อไปได้อีก”
“ฝ่าบาท โปรดรับสั่งให้แม่ทัพใหญ่กองทัพเหนือกลับมา ให้เขาปักหลักในเมืองหลวง ปกป้องเมืองหลวง”
“เพียงแค่กองทัพขบวนเดียว อีกทั้งยังห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ พวกเจ้ากลัวอันใดกัน”
มีขุนนางใหญ่ยืนออกมา เรียกร้องเสียงดัง
ปฏิกิริยาของขุนนางจำนวนมากทำให้คนผิดหวังอย่างมาก
กองทัพยังไม่ทันบุกถึงเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นแค่กองทัพย่อยก็กลัวเพียงนี้แล้ว
ศักดิ์ศรีของราชสำนักอยู่ที่ใด
ความกล้าหาญของแต่ละคนในไปไหนหมดแล้ว
“ฝ่าบาท ข้าขอออกรบ! เพียงแค่ขอกำลังคนสามพันนาย ข้าไปจัดการกองทัพขบวนย่อยนั้น แก้ไขวิกฤตของเมืองหลวง”
มีคนรีบร้อนในการหนีตาย แต่ก็มีเสนอตัวออกรบ
ครานี้เป็นโอกาสที่หายากสำหรับเหล่าแม่ทัพ
กองทัพขบวนย่อยก็กล้าบุกเข้ามาในแถบนครบาล
มีกำลังเสริมหรือ
เส้นทางการทำสงครามยืดยาวเพียงนี้ ไม่กลัวถูกล้อมรอบ กลายเป็นปูที่ถูกจับใส่กระด้งหรือ
ความชอบที่ส่งมาถึงหน้าประตูไม่เอาได้หรือ
ย่อมไม่ได้!
เหล่าแม่ทัพต่างกระตือรือร้นในการเสนอตัว
ครานี้ รอดูว่าพวกเขาจะแสดงความสามารถกอบกู้สถานการณ์อย่างไรบ้างเถอะ
ไม่ใช่มีเพียงขุนนางบุ๋นที่มีความสามารถ
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า “ใจมนุษย์ใช้ประโยชน์ได้ ใจมนุษย์ใช้ประโยชน์ได้!”
เขาขายชื่อแม่ทัพหลายคน ให้พวกเขานำทัพของตนเอง รอคอยคำสั่ง
แม่ทัพที่ถูกเรียกชื่อดีใจอย่างมาก
ความชอบอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่ไม่คิดว่า กองทัพที่บุกโจมตีเมืองแถบนครบาลนี้ไม่ได้รีบร้อนในการบุกโจมตีเข้าเมืองหลวง
หากแต่บุกโจมตีเมืองใกล้เคียง ก่อนจะปักหลักลง ทำท่าทางเหมือนจะทำสงครามระยะยาว
อีกทั้ง ยังมีกองทัพของเหล่าท่านอ๋องอื่นกำลังเคลื่อนไหวอยู่แถวนครบาล
พวกเขาคิดจะล้อมรอบเมืองหลวงหรือ
กองทัพเหนือ กองทัพใต้อ่อนแอหรือ
ศัตรูบุกเข้านครบาลแล้ว เหตุใดกองทัพเหนือกับกองทัพใต้ไม่รั้งเอาไว้
ก่อนหน้านี้สงครามยืดเยื้อ เหตุใดเมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิ สงครามจึงเกิดการพลิกผัน
ไร้เหตุผล
ผู้ที่เสนอตัวนำทัพนับวันยิ่งมากขึ้น
เพียงแต่เมืองหลวงสำคัญกว่า
ต้องเฝ้าเมืองหลวงเอาไว้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด!
หากกองทัพของเหล่าท่านอ๋องบุกมาถึงใต้กำแพงเมืองหลวง หากเมืองหลวงไม่มีทหารที่สามารถต่อสู้ได้จะทำอย่างไร
สถานการณ์เช่นนี้ ข้อถกเถียงเรื่องการกำจัดขุนนางชั่วจึงยิ่งดุเดือดขึ้น
มีขุนนางที่ใจกล่ตะโกนเรียกร้องบนราชสำนักอย่างเปิดเผย
“โปรดประหารใต้เท้าเถา เพื่อความสบายใจของประชาชน”
“โปรดประหารสังหารเถา เพื่อความสบายใจของประชาชน”
มีขุนนางกว่าครึ่งยืนออกมา ขอให้ฮ่องเต้ประหารตระกูลเถา
ขุนนางเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ฝ่ายตระกูลเถา พวกเขาไม่ชื่นชอบการกระทำของตระกูลเถาอยู่ก่อนแล้ว
เวลานี้ แผ่นดินกำลังจะล่มสลาย สมควรประหารตระกูลเถา เพื่อประครองความถูกต้อง
เมื่อสังหารตระกูลเถาแล้ว กำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้ เหล่าท่านอ๋องย่อมไม่มีเหตุผลอาละวาดต่อไป
เมื่อถึงเวลานั้นแผ่นดินสงบ!
พวกตระกูลเถาต้องหวาดกลัว!
พวกเขามองฮ่องเต่ผู้สูงส่ง เขาจะประหารตระกูลเถาจริงหรือ
กระต่ายยังตายไม่หมดก็คิดจะฆ่าแกงหมาล่าเนื้อ ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาหวาดกลัว สายตากวาดมองไป จดจำใบหน้าของทุกคนที่เรียกร้องให้ประหารตระกูลเถา
แม้ตระกูลเถาต้องตาย เขาก็ไม่มีวันปล่อยคนพวกนี้ไปได้
ก่อนตายเขาก็ต้องดึงคนมารองหลัง
ท่าทีของฮ่องเต้หย่งไท่คลุมเครืออย่างมาก เขาไม่ได้รับปากจะประหารตระกูลเถา แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามการเรียกร้องของเหล่าขุนนาง
การหารือในท้องพระโรงจบสิ้น นายท่านใหญ่ตระกูลเถาไม่กล้าอยู่ต่อ เขารีบเดินทางไปพบเถาฮองเฮาที่วังหลัง
“เมืองหลวงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ตระกูลเถาก็ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต! เวลานี้ ฮองเฮายังคิดว่าข้าตื่นตูมไปเองหรือไม่ ท่านยังคิดว่าฮ่องเต้จะทรงไม่ประหารตระกูลเถาหรือไม่ การหารือวันนี้ดุเดือดอย่างมาก ฮองเฮาได้ยินบ้างหรือไม่ ขุนนางกว่าครึ่งเรียกร้องให้ประหารตระกูลเถา แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ห้ามปรามแม้แต่น้อย”
“แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้รับปาก!” เถาฮองเฮาสีหน้าเรียบเฉย
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “เวลานี้เจ้ายังพูดแทนฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านคิดจะทำให้ตระกูลเถาตายหรือ ท่านจะมองดูตระกูลเถาถูกประหารหรือ ไม่มีตระกูลเถา ตำแหน่งฮองเฮาของท่านยังมั่นคงอยู่หรือ”
“บังอาจ!”
เถาฮองเฮาแสดงถึงบารมีของฮองเฮา “พี่ใหญ่อย่าได้พูดเหลวไหล มิฉะนั้นข้าจะลงโทษท่านก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงลงโทษ”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาหัวเราะเสียงเย็น “ดี ดีมาก! สมกับเป็นน้องสาวของข้า โหดกับผู้อื่น แต่ก็โหดกับตนเองมากกว่า”
เถาฮองเฮาสีหน้าดำทะมึน แต่น้ำเสียงผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ท่านกลับไปก่อน ทางฝ่าบาทข้าจะจัดการเอง”
“ท่านจะไปขอร้อง? กองทัพของเหล่าท่านอ๋องบุกเข้านครบาลแล้ว เวลานี้เจ้าไปขอร้องจะมีประโยชน์ใด ทั้งไม่สามารถทำให้เหล่าท่านอ๋องถอยทัพ ทั้งไม่สามารถทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านจะไปรับความเหยียดหยามนี้ทำไม”
เถาฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “ท่านจะให้ข้าทำย่างไร ให้ข้านั่งรอความตายในตำหนักเว่ยยางหรือ อย่าได้พูดอีก ข้ามีแผนการของตนเอง ท่านรีบออกจากวังไป ส่งคนออกจากเมืองหลวงได้มากน้อยเพียงใดก็รีบจัดการเถอะ”
นายท่านตระกูลเถาสีหน้าเคร่งเครียด “แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเหนือไม่ไปโจมตีศัตรูที่อยู่แถบนครบาล หากแต่เฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทุกแห่ง นอกจากประชาชนตัวน้อย ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกจากเมืองหลวง พวกเขาป้องกันผู้ใด พวกเขาป้องกันตระกูลเถาไม่ใช่หรือ”
แววตาของเถาฮองเฮาเย็นชา ตะหวาดเสียงดัง “ข้าไม่เชื่อว่าความสามารถของตระกูลเถาจะไม่สามารถส่งคนเพียงไม่กี่คนออกนอกเมืองไปได้”
นายท่านตระกูลเถากัดฟัน “ได้! ข้าฟังท่าน ข้าจะกลับไปเตรียมการ”
เถาฮองเฮาพูดขึ้นอีกครั้ง “บอกท่านพ่อ ให้เขาไม่ต้องกังวล ฝ่าบาท…ไม่ใช่คนที่ไร้เยื่อใย”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาได้ยินดังนั้นจึงแสดงสีหน้าโกรธเคือง “เรื่องถึงเวลานี้ เจ้ายัง…”
“หุบปาก!” เถาฮองเฮาไม่อยากฟังพี่ชายบ่น ยิ่งไม่อยากฟังคำวิจารณ์ของเขาที่มีต่อฮ่องเต้
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาหมดหนทาง รีบออกจากพระราชวังไป
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้เดินออกมาจากตำหนักด้านข้าง “เสด็จแม่ ตระกูลเถาวิกฤตแล้วจริงหรือ”
เถาฮองเฮาลุกขึ้น มองออกไปด้านนอกตำหนัก ท้องฟ้าอึมครึมราวกับฝนกำลังจะตก
นางพูดอย่างใจเย็น “ต่อหน้าอำนาจทุกสิ่งล้วนเสียสละได้! แต่ว่ามีข้าอยู่ ฟ้าไม่มีทางถล่มลงมา”
นางเตรียมตัวเดินไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ตำหนักซิงชิ่ง
ฮ่องเต้หย่งไม่เห็นนางจึงสั่งให้คนรอบข้างถอยออกไป
เถาฮองเฮาไม่ได้ร้องทุกข์ ไม่ได้เอ่ยถึงผลประโยชน์หรือผลเสีย นางเพียงแค่พุ่งตรงเข้าไปในอ้อมกอดของฮ่องเต้ ร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวด
นางมีรูปลักษณ์งดงาม แต่งกายเรียบง่าย ไม่สวมใส่เครื่องประดับใด ร้องไห้หนักจนทำให้คนเกิดความสงสาร
ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียว แต่ก็เอาชนะคำพูดมากมาย
เถาฮองเฮารู้ว่าข้อได้เปรียบของตนเองอยู่ที่ใด
คนที่ร้องไห้ได้อย่างงดงามมักจะบรรลุเป้าหมายได้ง่ายกว่าคนอื่น
ฮ่องเต้หย่งไท่โอบกอดนางเอาไว้ จบไหล่และหลังของนางเบาๆ ไม่พูดสิ่งใดเช่นเดียวกัน
สามีภรรยาสองคนโอบกอดกันอย่างสงบเหมือนเวลานี้ได้น้อยครั้งยิ่งนัก พวกเขาราวกับกลับไปยังช่วงเวลาหนุ่มสาว
เมื่อเถาฮองเฮาร้องไห้เสร็จ ฮ่องเต้หย่งไท่เช็ดน้ำตาให้นาง “ดูสิ ร้องไห้จนตาแดงหมดแล้ว”
เถาฮองเฮาหลุบตาลง อารมณ์หดหู่ “หม่อมฉันกลัว!”
“ไม่กลัว! มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดทำร้ายฮองเฮาได้แม้แต่น้อย”
“จริงหรือเพคะ”
ฮ่องเต้เงยหน้าหัวเราะอย่างไร้เสียง “ฮองเฮาไม่เชื่อข้า?”
“ไม่! บนแผ่นดินนี้ ข้าเชื่อเพียงฝ่าบาท”
สองสามีภรรยาไม่พูดถึงตระกูลเถาแม้แต่น้อย บรรยากาศอบอุ่นอย่างยิ่ง
เพียงแต่เมื่อเทียบกับฏีกาเรียกร้องให้ประหารตระกูลเถาที่ลอยเข้าพระราชวังราวกับเกล็ดหิมะ ความจริงแล้วมีเพียงคมดาบ ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
แต่การร้องไห้ของเถาฮองเฮาได้ผลเสียจริง
การหารือในวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ทรงตำหนิเหล่าขุนนางที่เรียกน้องให้ประหารตระกูลเถา
“ตระกูลเถามีแต่ขุนนางจงรักและพลทหารภักดี อย่าได้พูดถึงเรื่องประหารอีก”
แต่เมื่อท่านผู้เฒ่าตระกูลเถาได้ยินคำว่า ‘ขุนนางจงรักและพลทหารภักดี’ ไม่เพียงไม่ยิ้ม หากแต่ความกลุ้มใจที่แสดงผ่านระหว่างคิ้วยิ่งมากขึ้น
กลับไปถึงตระกูลเถา ท่านผู้เฒ่าตระกูลเถายังคงกลัดกลุ้ม
เขาพูดกับนายท่านใหญ่ตระกูลเถา “ฝ่าบาททรงมีสัจจะ บอกว่าตระกูลเถามีแต่ขุนนางจงรักและพลทหารภักดี ในเมื่อเป็นขุนนางที่จงรักและพลทหารที่ภักดี เมื่อแผ่นดินมีภัยจะมีเสนอตัวบรรเทาความทุกข์แทนได้อย่างไร”
“ท่านพ่อ ท่านคิดมากไปหรือไม่” นายท่านใหญ่ตระกูลเถาไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอ่องเต้
ท่านผู้เฒ่าตระกูลเถาส่ายหัวอย่างช้าๆ “ฝ่าบาทกำลังเตือนตระกูลเถาของพวกเรา ให้พวกเราเป็นขุนนางที่จงรักและพลทหารที่ภักดี เจ้าไม่เข้าใจหรือ”
นายท่านใหญ่ทำหน้าโกรธเคือง “ลูกไม่เข้าใจ! ลูกรู้เพียงฮ่องเต้ได้ผลประโยชน์แล้วถีบส่ง ไร่คุณธรรม!”
“ฮ่า ๆ ๆ…เจ้าโง่หรือ จะพูดเรื่องคุณธรรมกับฮ่องเต้ได้อย่างไร ราชวงศ์ร่วมสมัย ขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊ที่พูดเรื่องคุณธรรมกับฮ่องเต้ไม่เคยมีจุดจบที่ดี”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาร้องไห้ “ตระกูลเถาของพวกเราไม่อาจหนีพ้นความล่มสลายจริงหรือ ข้าไม่ยอม! เรื่องสกปรกทั้งหลาย ตระกูลเถาของพวกเราล้วนทำแทนเขา แต่เมื่อถึงคราววิกฤต เขากลับคิดจะประหารตระกูลเถาของเพวกเราเซ่นสวรรค์ ท่านพ่อ พวกเราก่อกบฏเถอะ!”
“ไม่ได้! ฝ่าบาทเฝ้าระวังอยู่ก่อนแล้ว เจ้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเหนือเฝ้าระวังผู้ใด เขาเฝ้าระวังเจ้ากับข้า หากเจ้าเคลื่อนไหว ไม่ช้ากองทัพเหนือจะบุกเข้าตระกูลเถา ประหารคนทั้งตระกูล”
“พวกเราจะรอตายอย่างนี้หรือ” นายท่านใหญ่ตระกูลเถาจะสิ้นหวังแล้ว
ท่านผู้เฒ่าตระกูลเถาส่ายหน้าช้าๆ “ฝ่าบาทเพียงแค่ให้พวกเราเป็นขุนนางที่จงรักและพลทหารที่ภักดี ไม่ได้เรียกร้องให้ตระกูลเถาทั้งตระกูลต้องเป็นขุนนางที่จงรักและพลทหารที่ภักดี ใช้หัวของข้าเพียงผู้เดียวก็เพียงพอ!”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาผงะ “ท่านพ่อ…”
ท่านผู้เฒ่าตระกูลเถามองอย่างทะลุปรุโปร่ง “ข้ามีชีวิตพอแล้ว! ถึงเวลาต้องเป็นขุนนางที่จงรักและพลทหารที่ภักดีเพื่อราชวงศ์ต้าเว่ยแล้ว!”