คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 129 ความแค้น
ตอนที่ 129 ความแค้น
เจี่ยซูเฟยตายแล้ว!
สุราพิษจอกเดียวจบสิ้นชีวิตของนาง
นางตายอย่างไม่เต็มใจ ดวงตาของนางไม่ยอมปิดสนิทแม้แต่น้อย
นางในและขันทีที่ทำหน้าที่บรรจุศพหวาดกลัวอย่างมาก
เจี่ยซูเฟยที่ตายตาไม่หลับช่างน่ากลัว เพียงมองแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ฝันร้ายในตอนกลางคืน
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง ซูเฟยท่านต้องจำศัตรูให้แม่นยำ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกข้า!”
ขันทีและนางในทั้งหลายคุกเข่ากราบอยู่บนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อความสบายใจ
แอ๊ด…
เสียงหน้าต่างเปิดออกดังขึ้น
ทำให้ขันทีและนางในทั้งหลายตกใจเกือบตาย ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา
มีคนที่ใจกล้าลุกขึ้นมาสำรวจ “ลมพัดหน้าต่างเปิดออก ทุกคนอย่ากลัว”
ทุกคนต่างโล่งใจ
สุดท้ายเพิ่งหายใจได้ครู่เดียว มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนได้รับความตกใจอีกครั้ง
ประตูตำหนักถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก แสงแดดยามเย็นสาดส่องเข้ามา
แสงแดดสีเหลืองขับไล่ความเย็นยะเยือกและความหวาดกลัวภายในตำหนักใหญ่
องค์ชายหกเดินเข้ามาจากด้านนอก
ฝีเท้าของเขาเร่งรีบ สีหน้าดำทะมึน ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือด
เขาวิ่งเข้ามาภายในตำหนักบรรทม ก่อนจะหยุดชะงักลงเมื่อห่างจากเตียงสองถึงสามก้าว
เจี่ยซูเฟยเตรียมถูกบรรจุเข้าโลงแล้ว แต่ดวงตาของนางยังคงเบิกกว้าง น่ากลัวอย่างยิ่ง
องค์ชายหกยืนนิ่งราวกับตกใจกลัว
ขุนนางฝ่ายในเดินขึ้นหน้า ปลอบเสียงเบา “องค์ชายโปรดทรงปล่อยวาง!”
โครม!
องค์ชายหกเตะตั่งตัวเล็กล้มลง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่ากลัว ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาในการทำลายล้างทุกสิ่ง
เขาเดินขึ้นหน้าอย่างช้าๆ คุกเข่าอยู่ข้างเตียง
น้ำตาของเขาไหลรินลงมา
“เสด็จแม่! อ้าก…”
เสียงคำรามดังก้อง แสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างมาก กล้ามเนื้อทั้งตัวตึงแน่น อวัยวะภายในกำลังร้อนระอุ
“อ้ากกก…”
เสียงร้องหลายครั้งติดต่อกัน ราวกับมีเพียงการทำเช่นนี้ จึงจะระบายความเจ็บปวดในใจออกมาได้
ขันทีและนางในล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มหน้า ไม่กล้าขยับ
เจี่ยซูเฟยตายแล้ว แต่องค์ชายหกยังมีชีวิตอยู่
หากองค์ชายหกจะประหารพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเป็นเครื่องสังเวยเจี่ยซูเฟยก็ทำได้เพียงรับสั่งประโยคเดียว
สถานการณ์วิกฤต ทำได้เพียงอ้อนวอนให้สวรรค์มีตา อย่าได้เอาชีวิตของพวกเขาไปด้วยเลย
องค์ชายหกทุบตีหน้าอก หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างมาก
หัวใจของเขาเจ็บปวดจนไม่อาจหายใจได้!
ขุนนางฝ่ายในสองคนกลัวเขาทำร้ายตนเอง จึงรีบเดินขึ้นหน้าจับมือเขาไว้คนละข้าง
“องค์ชายโปรดทรงรักษาพระวรกาย อย่าได้ทำร้ายตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์ชายโปรดปล่อยวางพ่ะย่ะค่ะ! หากซูเฟยที่อยู่ด้านล่างทรงรู้เข้า พระองค์ก็ทรงหวังให้องค์ชายรักษาตนเองเพื่ออนาคต”
“ฝ่าบาททรงให้องค์ชายมาดูซูเฟย องค์ชายย่อมต้องไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ รักษาชีวิตให้รอด รักษาตระกูลเจี่ยให้ปลอดภัย หากองค์ชายทรงทำร้ายตนเอง ซูเฟยจะตายเปล่านะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ซูเฟยสิ้นพระชนม์อย่างไม่เป็นธรรม ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี องค์ชายต้องทรงรักษาพระวรกายอันมีประโยชน์แก้แค้นแทนซูเฟยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางฝ่ายในทั้งสองพูดเกลี้ยกล่อมองค์ชายหกเอาไว้
องค์ชายหกสงบอารมณ์ลง ฟุบตัวร้องไห้อยู่ข้างเตียง
หลังจากร้องไห้ระบายอารมณ์ออกมาแล้ว เขาก็สงบลงอย่างมาก
เขากัดฟันกรอด พลันจับมือของเจี่ยซูเฟยแน่น “เสด็จแม่ ข้าจะแก้แค้นแทนพระองค์ ข้าจะทำให้เถาฮองเฮาไร้ซึ่งที่ฝังร่าง เสด็จแม่ทรงรอก่อน ข้าจะส่งนางลงไปพบพระองค์ในเร็ววัน”
เขาก้มหน้าอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมลุกขึ้นเป็นเวลานาน
เงาบนกำแพงยืดยาวราวกับสัตว์ประหลาด
ขุนนางฝ่ายในเกลี้ยกล่อมองค์ชายหก “องค์ชาย ฟ้ามืดแล้ว ควรให้ซูเฟยทรงเข้าโลงอย่างเป็นทางการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ ขันทีและนางในเพียงแค่เปลี่ยนชุด พร้อมแต่งหน้าให้เจี่ยซูเฟย แต่ยังไม่บรรจุนางลงในโลงไม้
ศพไม่เข้าโลงก่อนกลางคืน ไม่เป็นมงคล!
องค์ชายหกพยักหน้า พลันซับน้ำตา เขาลุกขึ้นภายใต้การพยุงของขุนนางฝ่ายใน
เนื่องจากคุกเข่าเป็นเวลานาน ขาทั้งสองข้างของเขาจึงรู้สึกชา
เขายืนมองขันทีและนางในนำร่างของเจี่ยซูเฟยบรรจุใส่โลงอย่างเงียบสงบ แต่ความแค้นภายในใจกลับเต็มเปี่ยม
เถาฮองเฮาทำร้ายเสด็จแม่ของเขา ความแค้นนี้ก่อเกิดขึ้นแล้ว
หลังจากที่งานศพของเสด็จแม่ผ่านพ้นไป เขาจะลาออกจากงานในกองทัพเหนือ ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ไว้ทุกข์อย่างตั้งใจ
มีเพียงเท่านี้จึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
ขุนนางฝ่ายในพูดถูก เขาต้องรักษาชีวิตเอาไว้แก้แค้นแทนเสด็จแม่
ดังนั้นเขาตายไม่ได้!
ตายไม่ได้เด็ดขาด!
เขาจะสังหารเถาฮองเฮาผู้เป็นศัตรูกับมือจึงจะคลี่คลายความแค้นภายในใจได้
เขาสามารถทำได้ทุกสิ่งเพื่อแก้แค้น
เขาไม่สนใจว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษหรือไม่
“คืนนี้ ข้าจะเฝ้าเสด็จแม่!”
เจี่ยซูเฟยถูกพระราชทานสุราพิษ ดังนั้นจึงไม่มีพิธี ไม่มีการเซ่นไหว้
ตระกูลเจี่ยเขาวังหลวงไม่ได้
มีเพียงองค์ชายหกเฝ้าศพของเจี่ยซูเฟยคนเดียว
สามวันหลังจากนี้ต้องฝังที่สุสาน
เขาไล่ขันทีและนางในออกไป เหลือไว้เพียงขุนนางฝ่ายในคนสนิทสองคนอยู่ข้างกาย
ตำหนักที่กว้างใหญ่เงียบราวกับเรือนผีสิง ในกลางดึกน่ากลัวอย่างยิ่ง
องค์ชายหกไม่กลัว
“เสด็จแม่ไม่ทรงทำร้ายข้า มีสิ่งใดต้องกลัว หากแต่ฮองเฮาที่อยู่ในตำหนักเว่ยยางจะหลับได้สนิทในคืนนี้หรือ”
ขุนนางฝ่ายในเผากระดาษเงิน พูดเสียงเบา “ถึงแม้ตำหนักฉางชุนจะว่างเปล่า แต่องค์ชายยังทรงต้องระวังกำแพงมีหู มีเรื่องใดค่อยพูดในจวนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกยิ้มเย้ยหยัน “เวลานี้ข้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีก สตรีชั่วร้ายผู้นั้น แม้ว่านางจะบ้าคลั่งเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือกับข้าในเวลานี้ นางยังคงต้องเป็นกังวลความรู้สึกของเสด็จพ่อ”
เมื่อเอ่ยถึงเสด็จพ่อ เขาก็ก้มหน้ายิ้มเยาะเย้ยตนเอง
“ข้าไม่เชื่อว่าเสด็จพ่อจะทรงมองไม่ออกว่าเสด็จแม่ถูกคนใส่ร้าย บ่าวรับใช้ต่ำทรามเหล่านั้นถูกคนซื้อตัวอย่างเห็นได้ชัด พวกนางจึงใส่ร้ายเสด็จแม่ เพียงแค่ลมปาก เสด็จพ่อก็ประหารเสด็จแม่ ช่างใจร้ายยิ่งนัก”
ปัง!
องค์ชายหกทุบหมัดลงบนพื้น
เขาแค้น!
แค้นเถาฮองเฮา ยิ่งแค้นฮ่องเต้หย่งไท่
ขุนนางฝ่ายในถอนหายใจ “องค์ชายไม่รู้ ซุนปังเหนียนค้นหายาพิษในตำหนักฉางชุนไม่เจอ แต่กลับทำให้ฝ่าบาททรงเชื่อปากคำของบ่าวรับใช้พวกนั้น หากค้นหายาพิษเจอคงจะเหมือนการถูกใส่ร้ายยิ่งกว่า พูดได้เพียงข้างกายของเถาฮองเฮามีผู้มากความสามารถ คำนึงได้อย่างรอบด้าน แม้แต่ปฏิกิริยาของฝ่าบาทก็คำนึงถึง”
องค์ชายหกหันควับกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งที่พร้อมจะทำลายล้าง
“เจ้าหมายความว่าเนื่องจากไม่พบยาพิษ เสด็จพ่อจึงประหารเสด็จแม่อย่างนั้นหรือ”
ขุนนางฝ่ายในพยักหน้า “กระหม่อมสืบมาอย่างละเอียด สถานการณ์ประมาณนี้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกกัดฟัน “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่มียาพิษ เพียงแค่ปากคำของบ่าวรับใช้ก็ประหารเสด็จแม่ เขาโหดเหี้ยมเหลือเกิน”
ขุนนางฝ่ายในถอนหายใจ “เถาฮองเฮากับฝ่าบาททรงมีเยื่อใยผูกพันหลายสิบปี อีกทั้งตระกูลเถาทำเรื่องสกปรกแทนฝ่าบาท…”
ความหมายแฝงคือ ตระกูลเถามีประโยชน์ต่อฮ่องเต้มากกว่า
สำหรับฮ่องเต้แล้ว ตระกูลเจี่ยเป็นเพียงญาติที่มีหรือไม่มีก็ได้
ญาติที่มีประโยชน์ยังสามารถเสียสละได้
ยิ่งไปกว่านั้นเป็นญาติที่ไร้ประโยชน์
ในเมื่อทำเรื่องสกปรกไม่ได้ ไม่อาจเป็นแพะรับบาปได้ เหตุใดจึงต้องเก็บไว้
สู้ตัดทิ้ง ยึดทรัพย์ อย่างน้อยยังมีรายรับจำนวนหนึ่งเข้าคลัง
ฮ่องเต้เลือดเย็นแต่กำเนิด
ขุนนางผู้จงรักภักดีคาดหวังให้องค์ชายหกสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ในเร็ววัน
อย่าคาดหวังต่อฮ่องเต้อีก
องค์ชายหกได้ยินจึงยิ้มเสียดสี
เขาจ้องกระถางไฟ มองกระดาษเงินที่เผาไหม้จนห่อตัว ไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
“ถึงแม้เสด็จพ่อจะคำนึงถึงเยื่อใยที่มีต่อเถาฮองเฮา แต่พระองค์ก็ไม่ควรประหารเสด็จแม่ เหตุใดเสด็จแม่จึงจำเป็นต้องตาย”
ขุนนางฝ่ายในพูดเสียงเบา “กระหม่อมบังอาจเดา ฝ่าบาทประหารซูเฟย หนึ่งเพื่อตักเตือนขุนนางในราชสำนัก ข่มขู่พระสนมองค์อื่นและตระกูลของพวกนาง สองเพื่อปลอบพระทัยของฮองเฮา สงครามทางใต้ยังไม่จบสิ้น หากฮ่องเต้และฮองเฮาเป็นศัตรูกันในเวลานี้จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสงคราม”
“เติ้งกงกง เจ้าว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงโหดร้ายปานนั้น เสด็จแม่ก็มีเยื่อใยผูกพันกับเขาหลายสิบปี พวกเขาก็เคยรักกันมาก่อน เหตุใดเขาจึงประหารเสด็จแม่”
องค์ชายหกยังคงไม่อาจเกลี้ยกล่อมตนเองได้
เขายอมรับความจริงที่เสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อประหารไม่ได้
เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธยิ่งกว่ารู้ว่าเสด็จแม่ถูกคนใส่ร้าย
ขุนนางฝ่ายในเติ้งกงกงถอนหายใจ “องค์ชายโปรดทรงปล่อยวางเถิด! ผู้ที่เป็นจักรพรรดิล้วนไร้เยื่อใย”
“ฮือ…”
องค์ชายหกร้องไห้ออกมา เขาร้องไห้ด้วยหัวใจที่สลาย
วันนี้เป็นวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเขา
…
ร่างวางไว้ในวังหลวงสามวัน ไม่มีผู้ใดมากราบไหว้เจี่ยซูเฟย อีกทั้งไม่มีผู้ใดมาไถ่ถามองค์ชายหก
ตามการตายของเจี่ยซูเฟย องค์ชายหกย่อมต้องถูกทุกคนเมินเฉย
การหลีกเลี่ยงองค์ชายหก เพื่อไม่ให้แปดเปื้อนความผิดเป็นความคิดของทุกคน
ตำหนักฉางชุนขนาดใหญ่เงียบเหงา
นอกจากขันทีและนางในที่กำลังวุ่นวายกับงานศพแล้ว ก็เหลือเพียงความอ้างว้าง
ทั้งที่เป็นที่ที่ดีที่สุดในหนึ่งปีอย่างฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกเหมือนอยู่ในหน้าหนาว
องค์ชายหกส่งโลงศพของเจี่ยซูเฟยออกจากวังหลวงด้วยยิ้มอันแสนขมขื่น
เจี่ยซูเฟยถูกฝังไว้ในสุสานหลวง แต่ไม่อาจฝังในสุสานจักรพรรดิได้
คู่ควรแต่เพียงขุดหลุมฝังอยู่ข้างสุสานจักรพรรดิเท่านั้น
แม้แต่เครื่องสังเวยก็มีเพียงเครื่องเงินเครื่องทองจำนวนน้อย
เดิมทีองค์ชายหกทูลขอพระราชโองการ เขาจะสร้างกระท่อมฟางไว้ทุกข์ให้เสด็จแม่ในสุสานหลวง
แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ปฏิเสธคำขอของเขา
องค์ชายหกถวายฎีกาสามเล่มติดต่อกันเพื่อขอพระราชโองการสร้างกระท่อมฟางไว้ทุกข์
มีขุนนางราชสำนักเห็นถึงความกตัญญูขององค์ชายหก ดังนั้นจึงยืนออกมาทูลขอแทนองค์ชายหก ขอฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ความกตัญญูขององค์ชายหก
เจี่ยซูเฟยตายแล้ว ตระกูลเจี่ยเสียหายหนัก
ไม่จำเป็นต้องทำให้องค์ชายหกลำบากใจ
บรรดาขุนนางเกลี้ยกล่อมจนฮ่องเต้หย่งไท่เปลี่ยนความคิด ทรงอนุญาตให้องค์ชายหกสร้างกระท่อมฟางไว้ทุกข์
ข่าวถูกส่งไปยังสุสานหลวง ขุนนางฝ่ายในเติ้งกงกงแสดงสีหน้าดีใจ “ยินดีกับองค์ชาย ยินดีกับองค์ชาย ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตให้องค์ชายสร้างกระท่อมฟางไว้ทุกข์ได้แล้ว”
องค์ชายหกโล่งใจ
เดิมทีเขาคิดจะกลับจวนไปปิดประตูไว้ทุกข์
ต่อมาขุนนางฝ่ายในเติ้งกงกงเสนอความคิด ให้เขาไขว่คว้าโอกาสในครั้งนี้เอาไว้
หากไว้ทุกข์ในจวนองค์ชาย ย่อมมีดวงตามากมายจับจ้อง
หากไว้ทุกข์ในสุสานหลวง ย่อมหาโอกาสหนีไปได้
องค์ชายหกกดเสียงต่ำ “บรรดาท่านอ๋องในแผ่นดินหมดสิ้นหนทาง คาดหวังไม่ได้แล้ว มีเพียงหวังพึ่งบรรดาแม่ทัพที่ถือครองกองกำลังในแต่ละพื้นที่ เติ้งกงกง เจ้าว่าแม่ทัพเหล่านั้นจะร่วมมือกับข้าหรือไม่”
“องค์ชาย ไม่ต้องทรงรีบร้อนในการร่วมมือกับแม่ทัพ แม่ทัพล้วนเป็นคนไร้สัจจะ ทรงต้องระวังพวกเขาแทงข้างหลัง กระหม่อมคิดว่า องค์ชายสมควรไว้ทุกข์อย่างตั้งใจเป็นอันดับแรก ให้คนในวังหลวงชะล่าใจ ระยะนี้ กระหม่อมจะวางแผนให้พระองค์เอง”
“เจ้าพูดถูก! ข้าต้องไว้ทุกข์อย่างตั้งใจ หลอกลวงคนในเมืองหลวงทั้งหลาย”