คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 168 ล้างสมองอย่างกระตือรือร้น
ตอนที่ 168 ล้างสมองอย่างกระตือรือร้น
“ท่านโหวจะเห็นด้วยหรือเจ้าคะ”
แม่นมคนสนิทเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
เซียวฮูหยินลังเลเล็กน้อย “ทางท่านโหวนั้นครึ่งต่อครึ่ง”
นางก็ไม่กล้ารับปากว่าเยียนโส่วจ้านจะเห็นด้วยกับงานแต่งนี้
แต่นางจะพยายามสุดความสามารถ
เยียนอวิ๋นเกอเป็นบุตรสาวของนาง นางมีสิทธิ
ความคิดเห็นของเยียนโส่วจ้านเพียงแค่ต้องเคารพ แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตตาม
แม่นมคนสนิทมองไปยังริมทะเลสาบ พูดเสียงเบา “ท่าทีของคุณหนูสี่ต่อนายน้อยเซิ่นเป็นท่าทีที่ปฏิบัติต่อญาติ จากที่บ่าวดู ถึงแม้คุณหนูสี่จะไม่รังเกียจนายน้อยเซิ่น แต่นางก็ไม่มีความคิดทางด้านชายหญิง”
เรื่องนี้ เซียวฮูหยินไม่กังวล
นางพูด “ความรักล้วนมาจากการเพาะปลูก นิสัยของอวิ๋นเกอยากที่จะเกิดความรักที่แท้จริงในเดิมทีอยู่แล้ว นางไม่รังเกียจเซิ่นซูเหวินย่อมเท่ากับมีเงื่อนไขในการพูดเรื่องแต่งงาน”
สามารถทำให้เยียนอวิ๋นเกอไม่รังเกียจ หรือแม้กระทั่งชื่นชมเป็นเรื่องที่ยากมาก
ในเมืองหลวงมีชายหนุ่มที่มีความสามารถมาก แต่คนที่ได้รับการชื่นชมจากเยียนอวิ๋นเกอนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย
ถึงแม้จะเป็นองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวิน นายน้อยใหญ่ตระกูลหลิง หลิงฉางจื้อ เยียนอวิ๋นเกอยังสามารถหาข้อบกพร่องของพวกเขาออกมาได้
นางร่วมมือกับพวกเขา ไม่เท่ากับนางจะชื่นชมพวกเขา
หากพูดด้วยวาจาของเยียนอวิ๋นเกอก็คือ ความเห็นต่างกัน ไม่จำเป็นต้องบังคับ
ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตนเอง ร่วมมือได้ก็ร่วมมือ ร่วมมือไม่ได้ก็ไม่ฝืน
ยิ่งไม่มีทางตัดสินอีกฝ่ายบนจุดยืนของตนเอง
แม่นมคนสนิทเห็นเซียวฮูหยินยืนกรานในความคิดของตนเองแล้ว จึงไม่เกลี้ยกล่อมอีก เพียงแค่เอ่ยเตือน “ท่านหญิงบอกกล่าวคุณหนูสี่ก่อน หากนางเห็นด้วยจะดีที่สุด”
เซียวฮูหยินพยักหน้าระรัว “ข้าย่อมจะบอกกล่าวนางก่อน นางเติบโตขึ้นในแต่ละปี ผู้เป็นสตรีไม่อาจล่าช้าเรื่องคู่ครองได้”
…
เยียนอวิ๋นเกอแข่งขันตกปลากับเซิ่นซูเหวินได้ผลเสมอกัน
ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีความอดทนอย่างมาก
หลังจากช่วงบ่ายที่แสนวุ่นวาย พวกเขาจับปลาได้ทั้งหมดหกตัว
คนละสามตัว
ปลาที่เลี้ยงในทะเลสาบจวนท่านหญิงถูกเลี้ยงจนโง่
ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกมันยังยินดีที่จะโผล่ขึ้นจากน้ำเพื่อกินอาหาร
วิญญาณนักกินช่างน่ายกย่อง
ผลสุดท้ายก็คือเยียนอวิ๋นเกอได้ประโยชน์
เมื่อกินปลาตอนเที่ยงแล้ว นางก็ไม่ต้องการกินปลาอีกในตอนกลางคืน
ปลาที่จับขึ้นมาได้ถูกเลี้ยงไว้ในอ่างของห้อครัว ผ่านไปอีกหลายวันค่อยนำมาปรุงกิน
นางพูดกับเซิ่นซูเหวิน “คราวหน้ากินปลา ข้าจะให้คนไปเชิญท่าน ในนี้มีฝีมือของท่านด้วย ดังนั้นท่านอย่าได้ปฏิเสธ”
“ยินดีอย่างมาก ทุกอย่างขึ้นอยู่น้องอวิ๋นเกอ”
เซิ่นซูเหวินต้องเดินทางกลับสำนักไท่เสวีย ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่กินมื้อค่ำ
ไม่ว่าเซียวฮูหยินจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงกำชับบ่าวรับใช้ให้จัดเตรียมสำรับ ด้านในล้วนเป็นอาหารเลิศรสนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีเงินสิบพวง
เซิ่นซูเหวินจากไปอย่างเร่งรีบ
เซียวฮูหยินพร่ำบ่นกับเยียนอวิ๋นเกอ “พี่ซูเหลิวของเจ้าเป็นคนดีมาก รูปลักษณ์โดดเด่น แต่ยังไม่ได้หมั้นหมาย ข้าอยากเป็นแม่สื่อจัดการเรื่องใหญ่ในชีวิตให้เขาเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูออกเจ้าค่ะ ท่านแม่เห็นท่านพี่เซิ่นเป็นบุตรชายของตนเอง กังวลว่าเขาจะหนาวจะหิวเมื่ออยู่ในสำนักไท่เสวีย อีกทั้งยังกังวลเรื่องคู่ครองของเขาอีก”
เซียวฮูหยินหยอกล้อนาง “เจ้าหึงหรือ”
“ถ้าพูดถึงเรื่องหึงก็ควรจะเป็นพี่สองทีหึง พี่สองเป็นบุตรชายของท่าน ข้าเป็นบุตรสาว”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “บุตรชายและบุตรสาวก็เหมือนกัน พวกเจ้าล้วนเป็นสมบัติของข้า เจ้าคิดว่าสตรีแบบใดจึงเหมาะสมกับเซิ่นซูเหวิน ในเมื่อจะเป็นแม่สื่อให้เขา นิสัยของสตรีผู้นั้นย่อมต้องผ่านด่าน ไม่อาจทำให้การเรียนและอาชีพการงานของเขาชะลอได้”
เยียนอวิ๋นเกอพูดขึ้น “เรื่องแบบนี้ท่านแม่จัดการก็พอแล้ว ข้าไม่รู้เรื่องการเป็นแม่สื่อแม้แต่น้อย ถึงแม้ข้าจะรู้จักสตรีในเมืองหลวง แต่ไม่ได้สนิท แม้แต่สนทนาก็สนทนาเพียงไม่กี่ประโยค ลับหลังก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน ผู้ใดดีหรือไม่ดี ข้าไม่รู้แม้แต่น้อย”
“เจ้าหน่ะ บอกว่าเจ้าขี้เกียจ เจ้าก็มีความกระตือรือร้นและขยันขันแข็งในการจัดการเรือนพัก บอกว่าเจ้าขยัน เจ้ากลับไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์แม้แต่น้อย ออกไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก็มีท่าทีที่เอื่อยเฉื่อย”
เซียวฮูหยินก็หมดหนทางเช่นกัน
บุตรสาวมีความคิดเห็นของตนเองมากเกินไป ทั้งดีและไม่ดี
เยียนอวิ๋นเกอจริงจัง “ความสัมพันธ์ของมนุษย์ต้องใช้ต้นทุนทางเวลา พลังงาน และสิ่งของ…สำหรับข้าแล้วมันเสียเวลาเกินไป อีกทั้งข้าขอพูดตามตรง ข้าไม่อาจสนทนาร่วมกับสตรีเหล่านั้นได้เสียจริง ความเห็นต่างกันทำให้การสนทนาเหน็ดเหนื่อยเกินไป…”
เซียวฮูหยินพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “แต่ว่ามนุษย์เมื่ออยู่บนโลก ไม่อาจไม่สะสมสายสัมพันธ์ สายสัมพันธ์เป็นหนึ่งในรากฐานของการดำรงอยู่ของเจ้า สาเหตุที่เยียนอวิ๋นฉวนพี่ใหญ่ของเจ้าต้องการก็มีเพียงสายสัมพันธ์ในสังคมขุนนาง ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทเวลานับหลายปี และเงินจำนวนมากเพื่อสิ่งนี้”
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างขึงขัง “นี่คือความแตกต่างระหว่างข้ากับผู้อื่น คนส่วนใหญ่ล้วนยินดีสูญเสียต้นทุนมหาศาลเพื่อสายสัมพันธ์ แต่ข้ารักอิสระจึงมีความคิดเห็นที่ต่างกัน ข้าทำในทางที่ตรงกันข้าม อีกทั้งข้ายังเชื่อว่าหลังจากการพัฒนาความสามารถของตนเอง สร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง สะสมต้นทุนที่เพียงพอแล้ว สายสัมพันธ์ย่อมจะเข้ามาหาเอง
การทำสิ่งใดในเมืองหลวง สตรีเหล่านั้นไม่เชี่ยวชาญเท่าพ่อบ้านในแต่ละจวน พวกเยียนสุยมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับพ่อบ้านในแต่ละจวน การจะทำสิ่งใดย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก สตรีเหล่านั้นไม่อาจเทียบได้ อีกทั้งต้นทุนที่ต้องเสียไปก็ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกัน เพียงแค่ให้ผลประโยชน์ด้านการซื้อขายสินค้าในวันทั่วไปก็เพียงพอแล้ว”
“แต่เจ้าลืมไปว่าเหล่าสตรีย่อมมีการเติบโต พวกนางย่อมต้องออกเรือน ตระกูลของพวกนาง หรือตระกูลของสามีนางล้วนเป็นสายสัมพันธ์”
“ท่านแม่พูดถูก เมื่อข้ามีต้นทุนที่เพียงพอ ความสามารถที่แข็งแกร่งเพียงพอ สตรีที่ถือครองสายสัมพันธ์มากมายอยู่ในมือกลุ่มนี้ย่อมจะเข้ามาหาข้าเอง พวกนางจะกลายเป็นสายสัมพันธ์ของข้าด้วยตัวของพวกนางเอง ข้าไม่ต้องการเป็นฝ่าบที่ร้องขอผู้อื่น ข้าจะเป็นผู้ที่ผู้อื่นต้องมาร้องคน สักวันหนึ่ง ข้าจะหลายเป็นคนที่ทุกคนต้องการเข้าหาและต้องการสานสัมพันธ์มากที่สุด”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยความหนักแน่น เซียวฮูหยินตะลึงไปเป็นเวลานาน
หลังจากผ่านเป็นเวลานาน เซียวฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกๆ “มันเป็นความคิดจากใจของเจ้าหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ย่อมต้องเป็นความคิดที่แท้จริงของข้า”
เซียวฮูหยินเซียวฮูหยินพูดอย่างขึงขัง “ตามความคิดของเจ้า เจ้ามีแผนการแต่งงานต่อตัวเจ้าเองหรือไม่ อย่าได้พูดว่าไม่ออกเรือนเหมือนวาจาของเด็กน้อย เจ้าต้องการมองหาบุรุษผู้มีความสามารถเทียบเท่ากับเจ้า หรือผู้ที่ไม่ยุ่งเกียวกันแต่สามารถช่วยเหลือกันได้”
เยียนอวิ๋นเกอฉงน “ท่านแม่ ข้าไม่เคยคิดเรื่องออกเรือนจริงๆ ท่านถามว่าข้าอยากจะแต่งงานกับคนแบบใดเช่นนี้ ข้าไม่มีความคิด อีกทั้งไม่อาจให้คำตอบได้”
“หลายปีที่ผ่านมา เจ้ารู้จักบุรุษมากมาย ไม่มีผู้ใดทำให้เจ้าเกิดความคิดขึ้นมาเลยหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอถอนหายใจอย่างหนัก
นางกำลังถูกเร่งให้ออกเรือนหรือ
ฮือๆ นางเพิ่งอายุเท่าใดกันก็ต้องแบกรับการเร่งให้ออกเรือนแล้ว
น่าสงสารเสียจริง!
“ท่านแม่อยากให้ข้าออกเรือนในเร็ววันจริงหรือ”
นางน้อยใจ นางยังอยากอยู่ในจวนต่อไปอีกหลายปี แต่ท่านแม่ไม่ให้
นางไม่เสียใจได้อย่างไร
เซียวฮูหยินพูดอย่างจริงจัง “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะพลาดคู่ครองที่ดีไป เมื่อพบเจอคนที่เหมาะสมก็ควรจะหมั้นหมายเอาไว้ อย่าได้เลือกนาน ระวังจะเลือกจนตาลาย สุดท้ายเลยผ่านช่วงเวลาที่ดีของตนเองไป”
“แต่ข้ายังไม่พบเจอคนที่เหมาะสม”
เยียนอวิ๋นเกอแบมือ
มีชายหนุ่มตั้งมากมาย แต่ดูไปดูมา นางไม่อยากแต่งงานกับผู้ใดทั้งสิ้น
แน่นอน เหตุผลหลักคือนางไม่มีความคิดที่จะแต่งงาน ดังนั้นนางจึงไม่คิดถึงเรื่องชายหญิง
เซียวฮูหยินมองนางด้วยรอยยิ้ม “เซิ่นซูเหวินนมีความโดดเด่นในด้านความสามารถ อีกทั้งยังได้รับการชื่นชมจากอาจารย์หยู บางทีหลังจากนี้หนึ่งถึงสองปีเขาก็สามารถรับราชการได้อย่างเป็นทางการ ข้ากำลังครุ่นคิดว่าจะหมั้นหมายคู่ครองที่ดีให้แก่เขา ในเมื่อไม่อาจให้เขาลดตัว แต่ก็ต้องทำให้ฝ่ายหญิงพอใจ อวิ๋นเกอ เจ้าคิดว่าควรเลือกคู่ครองให้เขาอย่างไร”
เอ๊ะ?
เหตุใดจึงถามนาง?
เหตุใดจึงวนกลับมาเรื่องเดิม…
เยียนอวิ๋นเกอปรากฎลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาในชั่วขณะ “ท่านแม่คงไม่คิดจะให้ข้าหมั้นหมายกับท่านพี่เซิ่นใช่หรือไม่”
เซียวฮูหยินถามเสียงเบา “เจ้ารังเกียจเขาหรือ”
“ข้าไม่รังเกียจเขา แต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเขา!”
“แต่ก่อนไม่เคยคิด แต่เวลานี้เจ้าสามารถลองคิดดู”
เยียนอวิ๋นเกอกระตุกมุมปาก นางรับไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้จับคู่ไปเรื่อยเปื่อยเลย ข้าไม่มีความคิดเชิงชู้สาวกับท่านพี่เซิ่นแม้แต่น้อย”
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าพูดสิ่งใดให้เด็ดขาดเกินไป เวลานี้ไม่มี ไม่แน่ว่าอาจมีในอนาคต เจ้าบอกข้ามา เซิ่นซูเหวินเป็นคู่ครองที่ดีหรือไม่ หากแต่งงานกับเขา เจ้ายินดีหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอถอนหายใจ การดับความกระตือรือร้นในการเป็นแม่สื่อของสตรีวัยกลางคนมีเพียงอาศัยงานแต่งอีกงาน
นางพูดอย่างจริงจัง “ให้ข้าลองครุ่นคิดดูอย่างละเอียดก่อนเถิด เรื่องนี้ค่อยหารือกันในปีหน้าได้หรือไม่”
เซียวฮูหยินพยักหน้า “ไม่รีบในเวลานี้ เจ้าค่อยๆ คิด บางทีเจ้าอาจพบว่า เขาเป็นคู่ครองของเจ้า”
เยียนอวิ๋นเกอกุมขมับ นางเกือบจะพ่ายแพ้แล้ว
ฮือๆ!
ในที่สุดนางก็เข้าใจกลุ่มผู้ลี้ภัยหญิงที่ยังไม่ออกเรือนในเรือนพักร่ำรวยที่ถูกแม่สื่อตามรังควานในทุกวันแล้ว
…
เมื่อกลับถึงห้อง สาวรับใช้ อาเป่ยก็เริ่มพร่ำบ่น
“ไม่คิดว่าท่านหญิงจะหมั้นหมายคุณหนูให้นายน้อยเซิ่น แต่ว่านายน้อยเซิ่นก็ไม่เลว นอกจากยากจนไปบ้างแล้ว ไม่มีข้อบกพร่องอื่น”
เยียนอวิ๋นเกอถลึงจาใส่นาง พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด โง่เขลาเสียจริง
นางถามอาเป่ย “เจ้าคิดว่าข้าเหมาะสมกับเซิ่นซูเหวินจริงหรือ”
“เจ้าค่ะ!” อาเป่ยพูด
เยียนอวิ๋นเกอขุ่นเคือง “สายตาใดกัน! เขาเป็นบัณฑิตที่แสวงหาความมั่นคงในทุกสิ่ง ทำตามขั้นตอนในแต่ละเรื่อง แต่ข้าชอบการผจญภัย สักวันหนึ่งข้าจะออกจากเมืองหลวงและเดินทางไปทั่วแผ่นดิน ข้าจะนำผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้าพิชิตทุกความยากลำบาก เขาต้องการสตรีที่สามารถใช้ชีวิตที่มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกับเขา แต่เจ้าดูข้า ข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ”
อาเป่ยพูดอย่างลังเล “นิสัยของคุณหนูไม่ใช่คนที่ยอมอยู่อย่างสงบ ท่านมีความคิดมากมายที่ต้องการลงมือทำ หากพูดเช่นนี้ คุณหนูอาจไม่เหมาะสมกับนายน้อยเซิ่นเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าอย่างหนัก “ย่อมไม่เหมาะสม”
“แต่หากนายน้อยเซิ่นสามารถรับนิสัยของคุณหนูได้ อีกทั้งสนับสนุนทุกการตัดสินใจของคุณหนู คุณหนูจะยังปฏิเสธงานแต่งนี้หรือไม่เจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเกอเงียบ
เซิ่นซูเหวินทุกการตัดสินใจของนางหรือ
เขาจะเป็นคนเช่นนี้หรือ
อาเป่ยพูดต่อ “ดังนั้นคุณหนูอย่าได้รีบร้อนที่จะปฏิเสธ ท่านสามารถลองดูก่อนได้ ไม่แน่ว่านายน้อยเซิ่นอาจคู่ควรที่จะให้คุณหนูฝากชีวิตเอาไว้”
เยียนอวิ๋นเกอเกยคางมองอาเป่ย “ฮูหยินกรอกยาใดให้เจ้า ให้เจ้ามาโน้มน้าวข้าหรือ”
อาเป่ยส่งเสียงไม่พอใจ “คุณหนูพูดเหลวไหลอีกแล้ว! บ่าวไม่ได้ถูกผู้ใดวานให้มาโน้มน้าวคุณหนูทั้งสิ้น ข้าเพียงพูดตามความจริง”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
แฮะ!
นับวันยิ่งใจกล้า บังอาจเถียงนางแล้ว