คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 183 เซียวอี้ช่างโหดเหี้ยม
ตอนที่ 183 เซียวอี้ช่างโหดเหี้ยม
“เจ้ามั่นใจว่าข้าหาหลักฐานไม่ได้หรือ”
เซียวอี้มองนางด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อติดคอตอนกินอาหารก็จริง แต่ยังไม่ถึงขั้นติดคอจนตาย ระหว่างนั้นเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงติดคอตาย คิดว่าเจ้าคงรู้ดีที่สุด! เวลานั้นเจ้าให้คนออกไปหาไต้ฟู ความจริงแล้วก็เพื่อลงมือใช่หรือไม่ อาทิ ดึงมือของท่านพ่อไว้ ไม่ให้ท่านช่วยเหลือตนเอง อาทิยัดอาหารลงไปในคอ…”
“พอแล้ว อย่าได้พูดจาเหลวไหล!”
สีหน้าของพระชายาฉินเต็มไปด้วยความโกรธ “หากเจ้ามีหลักฐาน เจ้าจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ หากไม่มีหลักฐาน เจ้าก็ออกไปเสีย หากเจ้าคิดจะใช้โทษที่จับต้องไม่ได้มาลงโทษข้า เจ้าย่อมทำได้ แต่ถึงแม้ข้าจะต้องกลายเป็นผีก็ไม่มีทางปล่อยเจ้า คนลงมือทำ สวรรค์กำลังดู ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีคนแก้แค้นแทนข้า”
เซียวอี้ยิ้มเสียดสี “หากจะลงโทษเจ้า ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนี้ พูดมา เจ้าทำให้ท่านพ่อตายอย่างไร”
“ท่านพ่อของเจ้าติดคอตาย ไม่มีผู้ใดทำร้ายเขา!”
พระชายาฉินตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
เซียวอี้ก้มหน้ายิ้ม “ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ท่านพ่อตายอย่างไร”
“ติดคอตาย ติดคอตาย เจ้าออกไป”
พระชายาฉินชี้ไปที่ประตูห้อง ไล่ให้เซียวอี้ออกไป
เซียวอี้ลุกขึ้น “ให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่รักษาไว้ อย่างนั้นเจ้าคงต้องรับกรรมของตัวเอง”
“เจ้าจะทำอันใด”
พระชายาฉินรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน สีหน้าของนางตื่นตระหนก
เซียวอี้ไม่พูด หากแต่หันหลังจากไป
ไม่นานนัก ทหารกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลเข้ามา ปังๆๆ …
พวกเขากำลังปิดหน้าต่าง ปิดประตูห้อง เพื่อกักขังพระชายาฉินไว้ในเรือนเล็กแห่งนี้
พระชายาฉินทั้งตกใจทั้งกลัวและโกรธ
นางกระโดดขึ้นจากเตียงโดยไม่สนใจที่จะแสร้งป่วยอีกต่อไป “หยุด! หยุดทั้งหมด ผู้ใดให้พวกเจ้าทำเช่นนี้”
ไม่มีผู้ใดฟังนาง
นางพุ่งตัวออกจากประตูห้อง พุ่งตัวออกจากลานของเรือน พุ่งตัวไปถึงประตูเรือน แต่ก็ไม่อาจเดินหน้าได้มากไปกว่านี้แม้แต่ก้าวเดียว
กำแพงถูกเพิ่มให้สูงขึ้น ประตูหน้าต่างถูกปิดตาย เหลือเพียงทางเข้าออกเพียงแห่งเดียว
นอกจากนี้ยังมีบ่าวรับใช้อีกหลายคนให้ไว้นางเรียกใช้
นับจากนี้ นอกจากเรือนแห่งนี้แล้ว พระชายาฉินไม่อาจไปที่ใดได้อีก
นางเฝ้ารอวันที่จะหลุดพ้นจากการกักขัง แต่ไม่คิดว่าเพียงชั่วพริบตา นางก็ถูกเซียวอี้กักขังไว้ในเรือนอีก
กรี๊ด…
พระชายาฉินโกรธจัด คราวนี้นางเป็นลมสลบไปจริงๆ ไม่ใช่การแสร้งป่วย
บุตรชายและบุตรสาวของนางไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามา
ข่าวด้านนอกส่งเข้ามาไม่ถึง
ชีวิตของนางต่อจากนี้ถูกกำหนดให้อยู่เพียงภายในพื้นที่สี่เหลี่ยมคับแคบแห่งนี้
“เซียวอี้ เจ้าช่างโหดร้าย ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าไม่ตายดี!”
“ปล่อยข้า ให้ข้าออกไป! ข้าพูด เจ้าอยากรู้เรื่องใดข้าจะบอกเจ้า ปล่อยข้าออกไป”
“ซวิ้นเอ๋อร์ รีบมาช่วยแม่ ช่วยข้าด้วย”
“เซียวกั้ว เจ้าเป็นนายท่านของจวนอ๋องไม่ใช่หรือ แต่เจ้ากลับให้เซียวอี้ตัดสินใจ เจ้ามันไร้ความสามารถ”
…
เซียวกั้วถามเซียวอี้ “กักขังพระชายาไว้ในจวนจะเหมาะสมหรือ”
เซียวอี้เลิกคิ้ว แสดงสีหน้าเสียดสี “ท่านอยากเลี้ยงดูนาง ทำตัวเป็นลูกกตัญญู ท่านย่อมสามารถปล่อยนางออกมาได้”
เซียวกั้วพูดไม่ออก เขาย่อมไม่อยากปล่อยพระชายาฉินออกมาจริงๆ
พระชายาฉินกลับมาถึงจวนอ๋องเพียงไม่กี่วันก็เริ่มชี้นิ้วสั่ง ไม่เห็นท่านอ๋องอย่างเขาอยู่ในสายตา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จวนอ๋องคงจะต้องแยกตัวเป็นหลายฝ่าย
การกักขังพระชายาฉินเอาไว้ ความจริงแล้วเป็นการอำนวยความสะดวกต่อเขา
เขาเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ชื่อเสียงที่เสื่อมเสียล้วนให้น้องหก เซียวอี้เป็นผู้แบกรับ
ทันใดนั้น เซียวกั้วรู้สึกติดค้าง
“เหตุใดเจ้าจึงต้องมาแปดเปื้อนเรื่องสกปรกเหล่านี้ ทำลายชื่อเสียงของตนเอง”
เซียวอี้ยิ้ม พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ามีชื่อเสียงใดกัน นับแต่วันที่ท่านพ่อขับไล่ข้าออกจากตระกูล ข้าก็ไม่มีชื่อเสียงบนแผ่นดินนี้อีกแล้ว ท่านรักใคร่ในชื่อเสียง ไม่อยากเปื้อนมือของตนเอง ข้าจึงจัดการเรื่องสกปรกนี้แทนท่าน เพียงแค่ท่านอย่าใจอ่อนปล่อยนางออกมา”
“ขอบใจ! เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางปล่อยนางออกมา ข้าจะประกาศต่อผู้คนข้างนอกว่านางป่วย ต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานาน ไม่เหมาะที่จะพบผู้คน”
“ดีมาก! ท่านยุ่งอยู่ ข้าควรไปแล้ว”
“เจ้าจะไปแล้วหรือ ท่านพ่อยังไม่ฝัง เจ้าจะจากไปในเวลานี้ได้อย่างไร”
เซียวกั้วทำหน้าสงสัย
เซียวอี้มองไปทางห้องโถง ยิ้มอย่างเสียดสี “เขาไม่ยอมรับบุตรชายอย่างข้า เหตุใดข้าจึงต้องประจบเขา”
“คนตายไปแล้ว เจ้ายังจะถือสาอีก อยู่ต่อจนกระทั่งฝังเถิด”
ท่าทีของเซียวกั้วแข็งกร้าวอย่างมาก
เซียวอี้ไม่หวั่นใจ “ข้าเป็นคนใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ว่าเขาจะตายหรือยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็เกลียดเขา ส่งเขาลงฝัง ข้าไม่มีมโนธรรมถึงเพียงนั้น เขารังเกียจข้า ข้าก็รังเกียจเขาเช่นเดียวกัน”
“เจ้าๆๆ …”
เซียวกั้วไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี
“วันที่ท่านพ่อสิ้นพระชนม์ ข้าดีใจยิ่งนักที่เห็นเจ้ารีบร้อนกลับมา ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน แต่เวลานี้เจ้าจะจากไปอีกครั้ง เจ้าจะให้ข้าอธิบายต่อผู้อื่นอย่างไร หรือเจ้าจะให้ข้าบอกผู้อื่นว่าเจ้ายังโกรธแค้นท่านพ่อ ไม่อยากส่งท่านพ่อลงสุสานหรือ”
เซียวอี้ทำหน้าไม่สนใจ “แล้วแต่ท่านจะพูด! เรื่องที่ควรทำเพื่อท่าน ข้าทำหมดแล้ว นับแต่นี้ต่อไป ท่านดูแลตัวเอง”
“หยุด ห้ามไป”
เซียวกั้วยื่นมือไปจับเซียวอี้ แต่กลับถูกจับเอาไว้เอง
เซียวอี้นำทหารจากไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
จี้ซินแสรอคอยอยู่หน้าประตูใหญ่จวนอ๋องเป็นเวลานานแล้ว
เมื่อเห็นเซียวอี้ เขาเพียงถอนหายใจ “ความจริงนายน้อยไม่ต้องทำถึงเพียงนี้”
“พูดพล่ามอันใดกัน! เรื่องที่มอบหมายให้เจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือไม่”
จี้ซินแสพยักหน้า “นายน้อยวางใจ เรื่องจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เซียวอี้ขึ้นไปนั่งบนรถม้า “ไปเถิด! จวนอ๋องนี้ไม่มีสิ่งใดน่าดู”
…
ภัยแล้งดูเหมือนจะมีลางสังหรณ์มาก่อน
นับแต่เดือนสิบสองปีก่อน พื้นที่แถบนครบาลก็ไม่เคยมีฝนตกลงมาเลยสักครั้ง
การไถนาในฤดูใบไม้ผลิ น้ำในลำธารขาดสาย
มันเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก
เยียนอวิ๋นเกอเดินทางมาดูสถานการณ์ที่เรือนพัก
โชคดีที่ที่เรือนพักร่ำรวยขุดบ่อน้ำน้อยใหญ่ไว้จำนวนมากในหลายปีนี้ ในบ่อน้ำกักเต็มไปด้วยน้ำ เพียงพอต่อการใช้ไถนาเป็นการชั่วคราว
น้ำที่คนและสัตว์ส่วนใหญ่ใช้เป็นน้ำจากบ่อน้ำ
น้ำในลำธารหยุดไหล ระดับน้ำในบ่อลดต่ำลง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าบ่อน้ำบางแห่งจะแห้งแล้งเช่นเดียวกัน
ต้องคิดหาหนทาง
แต่น้ำไม่อาจเสกได้ด้วยกำลังคน
ถึงแม้จะเป็นสังคมสมัยใหม่ เมื่อประสบภัยแล้งก็ทำได้เพียงขนน้ำมาจากด้านนอก
เยียนอวิ๋นเกอเงยหน้า ท้องฟ้าสดใสมีแดดจัด มีเมฆสีขาวสองสามก้อนลอยอยู่บนท้องฟ้า
ฟ้าสดใสงดงาม
แต่ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้กลับทำให้คนกลัดกลุ้ม
นางถามเยียนสุย “ได้ถามชาวนาที่มีประสบการณ์หรือไม่ กว่าภัยแล้งจะผ่านพ้นไปต้องใช้เวลานานเพียงใด พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง”
เยียนสุยส่ายหน้า “ชาวนาที่มีประสบการณ์ต่างบอกว่าภัยแล้งในปีนี้ไม่อาจสิ้นสุดในระยะเวลาอันสั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีฝนแม้แต่น้อยจนถึงฤดูร้อน”
เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้วในทันที
หากไม่มีฝนตกลงมาจนกระทั่งฤดูร้อนคงน่ากลัวอย่างมาก!
แห้งแล้งเป็นเวลายาวนานเพียงนี้ ต้องมีคนตายอย่างแน่นอน
การทำนาต้องใช้น้ำปริมาณมาก
ไม่มีน้ำ เมล็ดพันธุ์ไม่อาจงอกงามได้ ไม่อาจมีเสบียงให้เก็บเกี่ยวได้
ซึ่งหมายความว่าปริมาณการผลิตเสบียงจะลดลง หรืออาจจะขาดแคลน
ไม่มีเสบียง ทุกคนจะกินสิ่งใด
กินลมหรือ
เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่กู้ยืมเงินดอกเบี้ยสูงก็ต้องขายลูกขายหลาน ขายคนทั้งตระกูลเป็นทาส ทำงานจนตาย
นางถามเยียนสุย “สำนักราชการมีแนวทางใดหรือไม่”
เยียนสุยส่ายหน้า “จนถึงเวลานี้ สำนักราชการไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย”
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอได้ยิน นางก็โกรธจนหัวเราะออกมา
“ช่วงเวลาแห่งการเพาะปลูก มีลำธารที่ไม่มีน้ำไหล สำนักราชการไม่ดูแลเลยหรือ ปีนี้ผลประกอบการเสบียงไม่ดี ไม่อาจจ่ายส่วยได้ พวกเขาสามารถอยู่เฉยได้หรือ”
เยียนสุยถอนหายใจ “สังคมอยู่ยาก คุณหนูไม่ต้องตกใจ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเยาะเย้ย “นครบาลยังเป็นเช่นนี้ สถานที่อื่นจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดก็รู้แล้ว ในเมื่อคาดหวังสำนักราชการไม่ได้ ก็ทำได้เพียงหาหนทางเอง ค้นหาแหล่งน้ำใต้ดิน เจาะบ่อน้ำเพิ่มขึ้น สร้างบ่อเก็บน้ำ ควบคุมปริมาณการใช้น้ำ กิจการที่ต้องใช้น้ำในปริมาณมากล้วนหยุดลงก่อน อันดับแรกต้องรับรองปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูก รวมถึงการใช้ของคนและสัตว์”
นางคิดวิธีที่ดีกว่าไม่ออกแล้ว
แม้นางจะมีความคิดมากมายเพียงใดก็ไม่อาจเสกน้ำออกมากลางอากาศได้
ทำได้เพียงประหยัดน้ำ รับรองปริมาณการผลิตเสบียงในปีนี้ รับรองว่าทุกคนจะมีข้าวกินก่อน
เยียนสุยจดลงมาทีละข้อ พลันถาม “หลังจากฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้น ชาวบ้านระแวกใกล้เคียงจำนวนมากเข้ามาเช่าพื้นที่ในเรือนพักร่ำรวยของพวกเรา อีกทั้งยังมีผู้อพยพจำนวนมากเข้ามาขอบุกเบิก คนเหล่านี้จะรับไว้ทั้งหมดหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “รับชาวบ้านท้องถิ่นเอาไว้ ชาวบ้านต่างถิ่นเลือกคนที่ดีเอาไว้”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”
เยียนอวิ๋นเกอตรวจสอบสถานการณ์บ่อกักเก็บน้ำ
นางรู้สึกโชคดีที่อย่างมากที่หลายปีนี้ขุดบ่อน้ำน้อยใหญ่หลายสิบบ่อเอาไว้
ลำธารหยุดไหล การขนส่งทางน้ำหยุดชะงัก
สินค้าทำได้เพียงขนส่งเข้าออกทางบก
ถนนสามสายที่เชื่อมต่อกับด้านนอก เมื่อผ่านการใช้งานจากคนและรถม้าเป็นระยะยาว อีกทั้งสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ทำให้พื้นถนนแข็งกระด้าง ขรุขระไม่เรียบ จำเป็นต้องซ่อมแซม
เนื่องจากความแห้งแล้ง เยียนอวิ๋นเกอจึงออกคำสั่งให้งดส่งออกผ้าผืนในปริมาณมาก
แต่สามารถส่งออกในปริมาณน้อย
เมื่อถึงครึ่งปีหลัง หากภัยแล้งยังคงต่อเนื่อง ผ้าผืนย่อมต้องขึ้นราคา
เมื่อเป็นเช่นนี้ โรงงานทอผ้าย่อมไม่จำเป็นต้องเร่งผลิตอีก
หากปริมาณงานในแต่ละวันลดน้อยลงหนึ่งส่วนสามย่อมหมายความว่ารายรับก็จะลดน้อยลงหนึ่งส่วนสาม
หวังหยวนเหนียงกลุ้มใจเล็กน้อย
นางมีครอบครัวของตนเอง ยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยง
รายได้ลดลง ทำให้นางต้องประสบกับอุปสรรคมากมายทันที
พี่เซิ่นเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวดทุกวัน จึงพูดขึ้น “เจ้าอย่าคิดมากเลย ใช้รายรับของข้าส่งไปให้พ่อตาจัดการปัญหาตรงหน้าก่อน”
หวังหยวนเหนียงกัดฟัน สีหน้าลังเล
“หรือไม่พวกเราไปถามพ่อบ้าน สถานการณ์นี้จะคงอยู่นานเท่าใด เถ้าแก่ตัดสินใจลดการผลิตเพราะการค้าไม่ดีหรือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราต้องคิดวิธีหารายรับเพิ่ม”
พี่เซิ่นพูด “กลางคืนข้าให้คนไปถาม เจ้าอย่าร้อนใจมาก”
หวังหยวนเหนียงไม่ร้อนใจไม่ได้ “ฝนไม่ตกหลายเดือน ถึงแม้ในเรือนไม่มีปัญหาด้านการใช้น้ำ แต่น้ำที่ใช้รดที่นากลับเป็นปัญหามาก ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า หมู่บ้านทั้งสองข้างเคียงปะทะกันเพื่อแย่งน้ำ มีคนบาดเจ็บสิบกว่าคน ข้ากังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เสบียงปีนี้จะลดลง เมื่อถึงสิ้นปีทุกคนต่างลำบาก เกรงว่าทุกคนจะต้องทนหิวโหย หากไม่ใช้เวลานี้เก็บเงินและเสบียงให้มาก เมื่อถึงสิ้นปีจะทำอย่างไร”
———————————————-