คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 185 ความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง
ตอนที่ 185 ความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง
ยุ่งจนถึงเดือนสี่ที่อากาศนับวันยิ่งร้อนขึ้น เยียนอวิ๋นเกอจึงจะกลับเมืองหลวง
นางไปเดินตลาดมารอบหนึ่ง ความรู้สึกที่มากที่สุดก็คือสามัญชนประหยัดขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างเร่งรีบ บนใบหน้าล้วนเผยให้เห็นสีหน้าขมขื่น
เยียนมู่บอกนาง “ร้านน้ำแกงเครื่องในขายไม่ดีเท่าเวลานี้ของปีก่อน ทุกคนต่างใช้เงินอย่างประหยัดกว่าแต่ก่อน งานหายาก คนแบกกระสอบที่ท่าเรือก็มีงานในแต่ละวันน้อยกว่าทุกปี”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า พลันพูด “มีแม่น้ำบางสายแห้งเหือด ท่าเรือขนส่งสินค้าไม่อาจเทียบปีก่อนได้ย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล สินค้าขนส่งทางบกเป็นอย่างไรบ้าง”
การขนส่งทางน้ำลดลงยังสามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะภัยแล้ง ไม่อาจต้านทานได้
แต่หากการขนส่งทางบกก็ลดน้อยลง ปัญหาจึงค่อนข้างร้ายแรง
เยียนมู่ส่ายหน้าด้วยความกลุ้มใจ “คนที่ใช้แรงงานทางคลังสินค้าก็บอกว่าปีนี้กิจการไม่ดี คนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ มีสินค้ามา ทุกคนต่างแย่งกัน ไม่แย่งก็ไม่มีโอกาสหาเงิน ราคาแรงงานลดลงเพื่อแย่งสินค้า”
เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว นางพูดกับเยียนมู่ “ลดกิจการลงสามส่วน ข้ามผ่านเวลานี้ไป ดูสถานการณ์ก่อน”
เมื่อเยียนมู่ได้ยิน จึงเริ่มกลุ้มใจ เขาเตือนอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ลดกิจการลงสามส่วน ในร้านก็ไม่ต้องใช้คนมากเพียงนั้นแล้ว ต่อมาต้องปลดคนออกใช่หรือไม่ เวลานี้ปลดคนออก คนที่ถูกปลดคงหางานทำไม่ได้ ชีวิตของคนในครอบครัวล้วนขึ้นอยู่กับงานนี้…”
“ยังไม่ปลดคน!”
เยียนอวิ๋นเกอกวาดตามองเยียนมู่ พลันหยอกล้อ “เจ้ามีใจเมตตา”
เยียนมู่ยิ้มเก้อ “ทุกคนนต่างยากลำบาก คนหนึ่งทำงานหาเลี้ยงครอบครัวใหญ่ ดูแล้วน่าสงสาร อีกทั้งอยู่ด้วยกันมานานก็มีเยื่อใยต่อกัน ข้าทนเห็นพวกเขาหมดหนทางไม่ได้”
เยียนอวิ๋นเกอเข้าใจ ผู้ดูแลไม่อาจเย็นชาเกินไป แต่ก็ไม่อาจมีมโนธรรมเกินไป
นางพูดกับเยียนมู่ “ข้าขอบอกไว้ก่อน หากภัยแล้งปีนี้ยังคงต่อเนื่อง กิจการนับวันยิ่งแย่ลง เมื่อถึงเวลาไม่ปลดคนก็ลดเงินเดือน ลดสามส่วนหรือห้าส่วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์”
เยียนมู่รีบรับปาก “คุณหนูวางใจ ข้าน้อยรู้ขอบเขต ข้าจะบอกกับทุกคนให้ชัดเจน ยอมรับการลดเงินเดือนก็อยู่ต่อ ไม่ยอมก็ออกไปหาทางออกใหม่”
เยียนอวิ๋นเกอเตือนเขา “หากใจร้ายไม่ลงก็ให้จี้ผิงออกหน้า”
จี้ผิงผู้เคยเป็นจั่งกุ้ยของร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยสาขาหนึ่งได้รับเลื่อนเป็นพ่อบ้านรองของร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยแล้ว
อย่ามองว่าจี้ผิงยิ้มแย้ม ท่าทางใจดีอยู่ตลอดเวลา แต่เวลาสำคัญเขาสามารถใจร้ายขึ้นมาได้ ถือว่าเป็นคนโหดเหี้ยมไม่น้อย
เยียนมู่ใจดี บางครั้งไม่อาจลงมือได้ ย่อมต้องให้คนโหดเหี้ยมอย่างจี้ผิงช่วยเหลือ
…
เยียนอวิ๋นเกอกลับมาถึงจวนท่านหญิง ภายในเงียบสงบ มีระเบียบแบบแผน
ภัยแล้งก็ดี น้ำหลากก็ดี ล้วนไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในจวนท่านหญิง
ไม่อาจจินตนาการได้ว่าด้านนอกแห้งแล้งถึงเพียงใดแล้วเมื่ออยู่ในสวนดอกไม้จวนท่านหญิง นั่งตกปลาอยู่ในศาลาพักร้อน
ทรัพยากรน้ำไม่พอทำให้สถานการณ์น้ำดื่มไม่เพียงพอสำหรับคนและสัตว์แล้ว
คนและสัตว์ดื่มน้ำยังยากลำบาก เพียงแค่คิดก็รู้ว่าน้ำสำหรับการเพาะปลูกยิ่งไม่ต้องคาดหวัง พื้นดินคงจะแห้งแตกไปแล้ว
หากภัยแล้งยังคงต่อเนื่อง คนเหล่านี้ย่อมเป็นคนกลุ่มแรกที่หนีออกจากบ้านเกิดเพราะภัยแล้ง
หากภัยแล้งต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งปี เมื่อถึงเวลาแถบนครบาลคงเต็มไปด้วยผู้อพยพ
ภัยคุกคามของภัยแล้งที่มีต่อการดำรงชีวิตนั้นสูงกว่าภัยน้ำหลาก
ภัยแล้งคือไม่มีกินไม่มีดื่ม คนต้องหิวหรือกระหายจนตาย
ภัยน้ำหลากทั่วไปแล้วต่อเนื่องไม่นาน เพียงแค่ฝนหยุด น้ำหลากก็จะถดถอยไปอย่างรวดเร็ว อันตรายที่ใหญ่ที่สุดคือหลังจากฝนตกแล้ว ง่ายต่อการเกิดโรคระบาด
ส่วนใหญ่ภัยแล้งจะกินเวลายาวนานถึงครึ่งปีหรือหนึ่งปี ภัยแล้งที่กินเวลายาวนานสามถึงห้าปีก็เคยปรากฏขึ้น
แต่ไม่มีภัยน้ำหลากที่กินเวลาสามถึงห้าปีอย่างแน่นอน
เยียนอวิ๋นเกอเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่แดดจัด ไม่ใช่ลางสังหรณ์ที่ดีนัก
อากาศสดใสทุกวันไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
วันนี้นางตกปลาตะเพียนตัวน้อยหนักสามจินได้เพียงหนึ่งตัว
เมื่อปลดเบ็ดแล้ว นางจึงปล่อยปลาน้อยกลับสระไป
จากนั้นนางเก็บไม้ตกปลาเตรียมเดินกลับ
อาเป่ยกังวลเล็กน้อย “วันนี้คุณหนูไม่ตกปลาหรือเจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ล้วนเป็นฝูงปลาโง่ ไม่สนุก วันอื่นข้าจะไปตกปลานอกจวน”
หลังจากเก็บของแล้ว นางก็ไปทักทายเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา
…
เซียวฮูหยินพลางดื่มชา พลางมองไปทางนั้น เหมือนต้องการพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด
เยียนอวิ๋นเกอจึงพูดขึ้น “หากท่านแม่มีเรื่องใดก็พูดมาเลยเถิด”
เซียวฮูหยินยิ้ม “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากบอกเจ้า ไม่รู้เจ้าจะดีใจหรือว่าจะโกรธ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยียนอวิ๋นเกอก็สนใจขึ้นมาทันที
“เรื่องใดหรือเจ้าคะ”
เซียวฮูหยินวางแก้วชาลง ครุ่นคิดอยู่สักพักจึงพูดขึ้น “หลายวันก่อน ซูเหวินมาเยี่ยมข้า ข้าเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายของพวกเจ้า…”
“ฮะ?”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าฉงน
เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “เหตุใดจึงกังวลเพียงนั้น ฟังข้าให้จบก่อน ข้าเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายของพวกเจ้า เจ้าลองเดาดูว่าเขาตอบอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า ไม่ตอบเรื่องนี้
ไม่ยอมรับก็ปฏิเสธ
เซียวฮูหยินพูด “เจ้าย่อมคาดไม่ถึง เขาปฏิเสธ”
อ่อ!
เยียนอวิ๋นเกอแอบโล่งใจ
“เจ้าไม่สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงปฏิเสธหรือ” เซียวฮูหยินถามด้วยรอยยิ้ม
เยียนอวิ๋นเกอพูด “คงไม่พ้นเรื่องความเหมาะสม”
เซียวฮูหยินพยักหน้า “เพราะสาเหตุนี้ เขาจึงปฏิเสธ แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า มองออกว่าเขาก็หวั่นไหวกับเจ้าแล้ว เขาบอกว่าเวลานี้เขาเป็นเพียงนักเรียนของสำนักไท่เสวีย ยังไม่สำเร็จสักอย่าง ไม่กล้าหมั้นหมายเอาไว้ เกรงว่าจะขัดขวางอนาคตของเจ้า หากอนาคต เขาสามารถรับราชการได้อย่างราบรื่น มีความสำเร็จขึ้นมาเล็กน้อย หากเจ้ายังไม่ออกเรือน เขาจะมาสู่ขอ”
“แค่กๆๆ …”
เยียนอวิ๋นเกอกระแอมไอ
เซียวฮูหยินหยอกล้อนาง “ดูท่าทางตื่นเต้นของเจ้า จำเป็นหรือ เขาถือว่าจริงใจต่อเจ้า เจ้าแอบดีใจเสียเถิด!”
เยียนอวิ๋นเกอชี้หน้าที่ขมขื่นของตนเอง “ท่านแม่ ท่านดู ข้าเหมือนคนตื่นเต้นหรือ”
นางเศร้าอย่างมากต่างหาก
เซียวฮูหยินหัวเราะร่า นางเหมือนจะดีใจอย่างมากเมื่อเห็นบุตรสาวขายหน้า
นางพูด “เขาถือว่าเป็นคนมีน้ำใจ ไม่อยากขัดเจ้า ดังนั้นจึงไม่ยอมรับปากเรื่องหมั้นหมาย ส่วนเจ้า เจ้าคิดอย่างไร ปีก่อนเจ้ารับปากข้าว่าจะให้คำตอบข้าในปีนี้”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยความจริงจัง “ข้าไม่อยากออกเรือนจริงๆ”
มันเป็นความในใจของนาง ไม่ใช่คำโกหกอย่างแน่นอน
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “รู้ว่าเจ้าจะพูดเช่นนี้ เมืองหลวงมีชายหนุ่มมากมาย ข้าดูไปดูมา มีเพียงซูเหวินเหมาะสมกับเจ้าที่สุด เขาเป็นบุรุษที่มีความสุภาพ หากเจ้าแต่งงานกับเขา หลังแต่งงานย่อมจะมีความสุข”
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือรัว “ในเมื่อเขาปฏิเสธแล้ว ท่านแม่ก็อย่าจับคู่เลย บุตรสาวของท่าน ข้าไม่ใช่แต่งไม่ออก ไม่ใช่ต้องเป็นเขาเท่านั้น หากข้าอยากแต่ง ย่อมมีคนมากมายให้เลือก”
“เจ้าลองพูดมา คนมากมายให้เลือกที่เจ้าว่ามีผู้ใดบ้าง” เซียวฮูหยินยิ้มอย่างมีนัย อยากเห็นความอับอายของนาง
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
นางขุดหลุมให้ตัวเอง น่าอนาถ!
“วันนี้ท่านแม่อยากกินอันใด ข้าเห็นในห้องครัวมีไก่มีเป็ด เราต้มน้ำแกงไก่ดีหรือไม่”
นางเบี่ยงเบนประเด็นพลันลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกทันที
นางจะไปทำอาหารที่ห้องครัว นางยุ่งมาก
เรื่องหมั้นหมาย ออกเรือนอันใดกัน ไม่ว่างจะใส่ใจ!
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะร่าเมื่อหนีออกมาได้สำเร็จ
เซียวฮูหยินอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้ ต้องให้นางพูดอย่างไรดี
แม่นมคนสนิทหยอกล้อ “คุณหนูสี่ยังเด็ก ขี้อาย ท่านหญิงไม่ต้องรีบร้อน เมื่อวาสนามาถึง จะกีดขวางอย่างไรก็กีดขวางไม่อยู่”
เซียวฮูหยินพยักหน้า “อวิ๋นเกอมีความคิดของตนเองเกินไป หากข้าไม่คำนึงแทนนาง เกรงว่านางจะยืดเยื้อต่อไป พูดถึงเรื่องวาสนาเถิด ใช่ว่าคิดจะมีก็มีได้ เซิ่นซูเหวินดีในทุกเรื่อง สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือตระกูลล่มจม”
นางถอนหายใจ รู้สึกเสียดายอย่างมาก
แม่นมคนสนิทโน้มน้าว “ท่านหญิงไม่ต้องถอนหายใจ จัดงานแต่งของนายน้อยสองให้เสร็จก่อน ค่อยจัดการเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ก็ยังไม่สาย อีกอย่าง ด้านหน้ายังมีคุณหนูสามที่ยังไม่ออกเรือน เรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ไม่ต้องรีบร้อน”
“เจ้าพูดถูก เยียนอวิ๋นจือยังไม่ออกเรือน ยังไม่ถึงคราวของอวิ๋นเกอ”
…
เยียนอวิ๋นจือหมั้นหมายเมื่อปีก่อน งานแต่งกำหนดไว้ครึ่งปีหลังในปีนี้
เฉินฮูหยินอยากจะเตรียมสินสอดให้เยียนอวิ๋นจือมากขึ้น ดังนั้นจึงตั้งใจกำหนดวันงานแต่งให้ช้าลง
นางเขียนจดหมายให้บุตรชายคนโต เยียนอวิ๋นฉวน นางถามเยียนอวิ๋นฉวนว่าสามารถกลับจวนมาส่งน้องสาว เยียนอวิ๋นจือออกเรือนได้หรือไม่
เยียนอวิ๋นฉวนลำบากใจอย่างมากเมื่อได้รับจดหมาย
เวลานี้เขามีตำแหน่งขุนนางอยู่กับตัว หากไม่มีพระราชโองการไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้
เขาไม่ได้เต็มใจนักที่จะลางานเพื่อกลับไปเข้าร่วมงานแต่งของน้องสาว
เขาหารือกับที่ปรึกษาหวัง “ท่านคิดว่าข้าควรจะตอบกลับอย่างไรดี”
ที่ปรึกษาหวังลูบเครา “นายน้อยใช้เหตุผลว่างานยุ่ง ไม่อาจปลีกตัวไปได้ คิดว่าฮูหยินจะต้องเข้าใจ”
เยียนอวิ๋นฉวนรู้สึกว่าเหตุผลนี้ยังไม่เพียงพอ แต่เขาก็คิดหาเหตุผลที่ดีกว่าไม่ได้ ทำได้เพียงใช้ข้อเสนอแนะของที่ปรึกษาหวัง
“ท่านมากความสามารถ ท่านเขียนให้ข้า ข้าจะคัดลอกอีกรอบ”
ที่ปรึกษาหวัง รับปาก พลันจรดปลายพู่กัน
จดหมายที่เต็มไปด้วยความจริงใจ และความเสียใจก็เสร็จสิ้น
เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนได้อ่านเนื้อหาก็พอใจอย่างมาก
เขาคิดว่าเมื่อท่านแม่เห็นจดหมายฉบับนี้ย่อมต้องเข้าใจความลำบากของเขา
เขาคัดลอกอีกรอบ พลันใส่ลงซองจดหมาย ปิดปากซองมอบให้พ่อบ้านส่งออกไป
ที่ปรึกษาหวังไม่ลืมที่จะเตือนเขา “เรื่องคู่ครองของนายน้อยก็ต้องเร่งมือแล้ว”
เยียนอวิ๋นฉวนร้อนใจ “เรื่องนี้ยังต้องรอท่านพ่อตอบจดหมายกลับมา ไม่รู้ท่านพ่อหารือกับทางตระกูลหลิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
…
แคว้นซ่างกู่ที่ไกลออกไปพันลี้
เยียนโส่วจ้านได้รับจดหมายตอบกลับจากตระกูลหลิง
เมื่อเขาอ่านเนื้อหาในจดหมายจบ เขาก็ยิ้มเย็นยะเยือกขึ้นมา “ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ ต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง อยากเป็นทั้งนางโลมแต่ก็อยากตั้งป้ายระลึก! ตระกูลหลิงนี้ช่างไร้ยางอาย”
ตู้ซินแสหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน
จดหมายตอบกลับของตระกูลหลิงอ้อมค้อมอย่างมาก
คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจความหมายแฝงในนั้น
สรุปแล้วก็คือหากเยียนอวิ๋นเพ่ยตายไป ตระกูลหลิงยินดีที่จะปรองดองกับตระกูลเยียนต่อด้วยการเลือกบุตรสาวที่กำเนิดจากภรรยาเอกให้เยียนอวิ๋นฉวน
แต่ตระกูลหลิงไม่เคยทำเรื่องที่ผิดมโนธรรม
อย่างไรเยียนอวิ๋นเพ่ยก็เป็นสะใภ้ของตระกูล ชีวิตของนาง ตระกูลหลิงตัดสินใจไม่ได้ ต้องให้ตระกูลเยียนตัดสินใจ
ความหมายก็คือ เยียนโส่วจ้านต้องเป็นคนลงมือ ตระกูลหลิงจึงยอมแต่งบุตรสาว
เยียนโส่วจ้านหัวเราะเสียงเย็น ฝันไปเถิด
———————————————-