คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 187 เสียใจ
ตอนที่ 187 เสียใจ
“น้องสี่สามารถรักษาคอจนพูดได้ช่างน่ายินดี! ตอนนั้นได้รับจดหมายรับรู้เรื่องนี้ ข้าดีใจจนแทบอยากจะเหาะมาเมืองหลวง ฟังเจ้าพูดด้วยตนเอง”
เยียนอวิ๋นเกอพูดกลั้วหัวเราะ “เวลานี้พี่ใหญ่ได้ยินข้าพูด น้ำเสียงไม่ไพเราะนัก แต่สิ่งอื่นล้วนดีมาก”
“น้ำเสียงไพเราะมาก” เยียนอวิ๋นเฟยลูบไล้แก้มของนางแผ่วเบา “เป็นน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดบนโลกนี้”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มเบิกบาน “พี่ใหญ่ช่างเยินยอคนเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเฟยยิ้ม “ตอนรักษาเจ็บหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ไม่เจ็บ!”
นางครุ่นคิด ก่อนจะใช้โอกาสนี้ถามคำถามที่อยากถามแต่ไม่มีโอกาสถามตลอดมา
“พี่ใหญ่ ท่านรู้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บอย่างไรหรือไม่”
คำนวณจากเวลา ตอนที่นางได้รับบาดเจ็บ พี่ใหญ่ก็โตเป็นสาวแล้ว นางคงจะพอรู้เรื่องอยู่บ้าง
แต่ไม่คาดคิดว่าเยียนอวิ๋นเฟยกลับส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร ข้าจำได้ว่าเจ้าแอบวิ่งออกไป ต่อมาท่านพ่อพาเจ้ากลับมา ตอนกลับมาตัวของเจ้าเต็มไปด้วยเลือด ทุกคนต่างตกใจ เมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมา จึงได้พบว่าคอของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจพูดได้อีก เมื่อถามเจ้า เจ้าก็จำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าได้รับบาดเจ็บอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าฉงน “ข้าวิ่งออกไปเองหรือ”
เป็นไปไม่ได้!
เวลานั้นนางยังเด็ก จะแอบวิ่งออกไปได้อย่างไร
เยียนอวิ๋นเฟยพูดอย่างจริงจัง “ท่านพ่อกับท่านแม่ล้วนพูดเช่นนี้”
เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว
“พี่ใหญ่กำลังสงสัยเรื่องใดใช่หรือไม่ ท่านบอกข้าได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเฟยครุ่นคิดเล็กน้อย “เจ้าคงไม่ได้แอบวิ่งออกไปเอง หากไม่มีเรื่องผิดพลาด ท่านพ่อคงจะพาเจ้าออกจากจวนไป แต่ออกไปทำเรื่องใด ข้าก็ไม่แน่ชัด แต่เมื่อเจ้ากลับมา เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บ คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างตัวเจ้าก็หายไปหมด”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
โธ่เอ๋ย
เกี่ยวข้องกับบิดาชั่วจริงด้วย
มิน่าเขาถึงตามใจตนเองเพียงนั้น เพราะว่าเขารู้สึกผิดหรือ
นางสาปแช่งอยู่ในใจ จากนั้นชี้ไปที่คอของตนเอง “คอของข้าได้รับบาดเจ็บเพราะยาพิษ จึงไม่อาจเปิดปากพูดได้”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว! ไม่มีผู้ใดจะลงมือกับเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นคุณหนู นอกจากเจ้าจะได้รับบาดเจ็บแทนผู้อื่น”
น้ำเสียงของเยียนอวิ๋นเฟยมั่นใจอย่างมาก เรื่องเกี่ยวกับคอของเยียนอวิ๋นเกอได้รับบาดเจ็บ นางราวกับมีคำตอบอยู่ก่อนแล้ว
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างไม่มั่นใจนัก “ตอนเด็กข้าคงไม่ได้ทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองจนต้องวางยาพิษลอบทำร้าย”
เรื่องตอนเด็กผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว ความทรงจำไม่ได้กระจ่างชัดนัก
รายละเอียดบางอย่างก็นึกไม่ออกแล้ว
เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะขึ้นมา “ตอนเด็กเจ้าซนอย่างมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้ผู้อื่นโกรธแค้นจนต้องวางยาพิษแก้แค้น จนกระทั่งคอของเจ้าได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจพูดได้ นิสัยของเจ้าจึงได้เปลี่ยนไป อีกทั้งเจ้ามีพละกำลังมากแต่กำเนิด คนส่วนใหญ่จึงกลัวเจ้า”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
อ่อ!
ไม่ใช่นิสัยของนางไม่ดี แต่เพราะนางไม่อาจพูดได้ ไม่อาจทะเลาะกับผู้อื่นได้ จึงต้องใช้หมัดในการแก้ไขปัญหา
ดูนางในเวลานี้ เพียงแค่เปิดปากก็ทำให้อีกฝ่ายตายได้ เหตุใดต้องใช้กำลัง
ระยะนี้หมัดของนางใกล้จะขึ้นสนิมแล้ว
จะไปหาคนมาให้นางได้ยืดเส้นยืดสายได้จากที่ใดกัน
เยียนอวิ๋นเฟยเห็นทีจึงหัวเราะร่า “อย่ามัวแต่คิดจะตีคน! พูดเรื่องเรือนพักร่ำรวยของเจ้าให้ข้าฟังหน่อย ได้ยินว่าเรือนพักของเจ้าก่อความเคลื่อนไหวที่ใหญ่มาก หากมีเวลาข้าจะไปดูด้วยตาของตนเอง”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ก็แค่ปีแรกเท่านั้นที่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ เพราะว่าฝีมือการเพาะปลูกผักในฤดูหนาว แต่หลังจากนั้นข้าก็ถ่อมตนเสมอมา ไม่ได้สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา”
เยียนอวิ๋นเฟยลูบจมูกของนาง “ผ้าผืนหนานเป่ยขายไปยังอวี้โจวแล้ว นี่เรียกว่าไม่ได้ทำหรือ”
“จริงหรือ พ่อค้าเหล่านั้นขายสินค้าไปยังอวี้โจวเชียวหรือ ไกลเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอตกตะลงเล็กน้อย
สมัยนี้การค้าไม่ง่าย
ด่านสกัดมีมาก ระยะทางยาวไกล หนทางไม่ราบเรียบ ระหว่างทางไม่สงบ…
ความยากลำบากที่นึกถึงได้ล้วนมีอยู่ในยุคนี้
ดังนั้นคนที่สามารถทำการค้าในยุคนี้ล้วนเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์และความกล้า อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่มีข่าวสารว่องไว
คนที่ไม่กล้าทำได้เพียงเป็นพ่อค้าเปิดร้านหรือพ่อค้าประจำถิ่น
เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เพียงผ้าผืนหนานเป่ย ยังมีซีอิ๊ว น้ำมันถั่ว เครื่องปรุงรสรวมถึงเครื่องเทศต่างๆ ด้วย”
เยียนอวิ๋นเกอสงสัยอย่างมาก “ผ้าผืนและเครื่องหอมขนส่งไปไกลถึงอวี้โจวย่อมมีกำไร แต่ซีอิ๊ว น้ำมันถั่ว เครื่องปรุงเหล่านี้น่าจะมีอยู่ทุกที่ ขนส่งไปไกลถึงอวี้โจวจะมีกำไรหรือ”
“คงจะมีกำไร! สินค้าจากเรือนพักร่ำรวยไม่ว่าจะเป็นซีอิ๊ว น้ำมันถั่วล้วนมีกลิ่นหอมกว่า คนในพื้นที่อวี้โจวไม่อาจทำรสชาติแบบนั้นออกมาได้ ตระกูลมั่งคั่งจำนวนไม่น้อยล้วนชื่นชอบ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
มีเพียงเจ้าเดียว ไม่มีสาขาอื่น มิน่ามีพ่อค้าบางคนไม่สนใจระยะทางที่ยาวไกล ตั้งใจขนส่งไปขายยังพื้นที่ห่างไกลนับพันลี้
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ปีนี้มีภัยแล้ง สภาพอากาศไม่ดี คุณภาพน้ำไม่ดี หากภัยแล้งไม่บรรเทาลง เสบียงย่อมต้องลดการผลิต ซีอิ๊วและเครื่องปรุงในปีนี้รสชาติย่อมไม่อาจเทียบปีก่อน เวลานี้เรือนพักควบคุมปริมาณการส่งออก เตรียมกักตุนสินค้าไว้สำหรับสิ้นปีและปีหน้า”
สภาพอากาศและคุณภาพน้ำมีผลต่อผลผลิตทางการเกษตรอย่างมาก
ปีที่สภาพอากาศดี ไม่เพียงผลผลิตทางการเกษตรมีผลผลิตดี คุณภาพก็ยิ่งดี
ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพดี ผักดอง เครื่องปรุง ซีอิ๊วที่ทำออกมายิ่งมีรสชาติยอดเยี่ยม
ปีที่สภาพอากาศไม่ดี ในเวลาเดียวกันกับที่ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรลดลง คุณภาพก็ลดต่ำลง
เครื่องปรุง ซีอิ๊วที่ใช้วัตถุดิบเช่นนี้ทำออกมา รสชาติย่อมไม่อาจเทียบปีที่ผ่านมาได้
เยียนอวิ๋นเฟยพูด “ปีนี้อวี้โจวก็แห้งแล้ง เพียงแต่ไม่ร้ายแรงเท่าเมืองหลวง อวี้โจวอยู่ติดน้ำ ไม่ว่าจะแห้งแล้งอย่างไร เพียงแค่ลำธารไม่แห้ง ย่อมสามารถรักษาผลผลิตทางการเกษตรไว้ได้ส่วนหนึ่ง แต่เมืองหลวงเต็มไปด้วยภูเขา เกรงว่าจะลำบาก”
เยียนอวิ๋นเกอรีบถาม “ระหว่างทางที่พี่ใหญ่มาเมืองหลวงนี้ มีที่ใดฝนตกหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเฟยส่ายหน้า “ระหว่างทางนี้ ฝนไม่ตกแม้แต่น้อย ระหว่างทางล้วนแห้งแล้ง! เพียงแต่สถานที่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ชัดเจนนัก มีลำธารและแหล่งน้ำ ภัยแล้งจึงไม่ปรากฏออกมา”
แย่แล้ว!
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอได้ยิน นางก็รู้ว่าภัยแล้งปีนี้ปะทุในวงกว้าง
ไม่รู้ว่าราชสำนักจะมีนโยบายอย่างไร
หากราชสำนักและสำนักราชการไม่มีการเคลื่อนไหว ปีนี้ผลผลิตเสบียงในแต่ละที่ลดลง เมื่อถึงสิ้นปี เกรงว่าต้องมีคนตายเป็นจำนวนมาก
แถบนครบาลเกรงว่าจะมีผู้ลี้ภัยมากขึ้นหลายแสนหรือหลายล้านคน
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ดูท่าข้าต้องกักตุนเสบียงไว้มากขึ้นอีก มิฉะนั้นเกรงว่าสิ้นปีคงจะไม่พอกิน”
เยียนอวิ๋นเฟยได้ยิน จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เรือนพักร่ำรวยขาดแคลนน้ำอย่างมากหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “พื้นที่ข้าใหญ่ ไม่มีทางดูแลได้ทุกตารางนิ้ว ปีนี้เสบียงย่อมต้องลดการผลิต”
“พอกินก็พอ เจ้าอย่าเหนื่อยมากเกินไป”
“ข้ากังวลว่าจะไม่พอกิน คนจำนวนหลายหมื่นล้วนหวังพึ่งเรือนพักกินข้าว แรงกดดันมากนัก”
เยียนอวิ๋นเกออยากร้องไห้…
พื้นที่ขนาดใหญ่มีข้อดีที่ขนาดใหญ่ แต่ก็มีข้อเสียจำนวนมาก
ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดคือต้องรับภาระหนักในปีที่มีภัยธรรมชาติ ต้นทุนสูง แรงกดดันมาก
เยียนอวิ๋นเฟยพูดทันที “ในเมื่อคนมากเกินไปก็ปลดคนออกครึ่งหนึ่ง เวลานี้อย่าได้ใจอ่อน ควรปลดคนก็ต้องปลดคน มิฉะนั้นทั้งเรือนพักจะเดือดร้อน เมื่อถึงเวลาทุกคนต่างไม่มีข้าวกิน”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ข้าขอดูสถานการณ์ก่อน หากภัยแล้งได้รับการบรรเทาลงก็ไม่ต้องปลดคน หากภัยแล้งไม่อาจบรรเทาก็จำเป็นต้องปลดคน”
เยียนอวิ๋นเฟยเปิดม่านรถขึ้นดูท้องฟ้าด้านนอก นางพูด “เกรงว่าภัยแล้งจะไม่อาจบรรเทาได้ ระหว่างทางที่ข้ามา ได้ยินชาวนาพูดกัน ปีนี้ไม่ใช่ปีที่สงบ อาจมีภัยจากแมลงด้วยก็เป็นได้”
ภัยจากแมลง?
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอได้ยินก็ปวดหัวยิ่งขึ้น
นางต้องกำชับให้เรือนพักป้องกันภัยจากแมลงไว้ล่วงหน้า
พี่น้องสองคนพูดคุยกัน ขบวนรถก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองหลวงช้าๆ
แม่ทัพประตูเมืองไม่กล้ากลั่นแกล้งคนในตระกูลของท่านโหวผิงอู่ สืออุน จึงปล่อยผ่านอย่างรวดเร็ว
เยียนอวิ๋นเกอพึมพำ “ล้วนเป็นพวกตีหมาดูนาย”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนโด่งดังทั่วแผ่นดิน
ตำแหน่งของเขาสูงกว่าบิดาชั่วอย่างเยียนโส่วจ้านหลายระดับ
แม้แต่ราชสำนักและฮ่องเต้ยังต้องให้เกียรติท่านโหวผิงอู่ สืออุน
เยียนอวิ๋นเฟยในฐานะฮูหยินของท่านโหวผิงอู่ย่อมสูงส่งอย่างหาเทียบไม่ได้
ตระกูลสือมีจวนอยู่ในเมืองหลวง เป็นจวนใหญ่ที่มีเรือนซ้อนกันสามหลัง ตั้งอยู่ในตรอกไป๋หม่าที่มั่งคั่ง ดีกว่าที่ตั้งของจวนท่านหญิงจู้หยางเสียอีก
แต่ว่าเยียนอวิ๋นเฟยไม่ได้รีบร้อนไปยังจวนในตรอกไป๋หม่า
นางให้ขบวนรถไปปักหลักที่ตรอกไป๋หม่า เก็บกวาดจวนให้เรียบร้อยเสียก่อน
ส่วนนางติดตามน้องสี่มุ่งหน้าไปจวนท่านหญิงพบมารดา
บ่าวรับใช้ของจวนท่านหญิงลุกขึ้นมาเตรียมตัวแต่เช้าตรู่
เมื่อเยียนอวิ๋นเฟยมาถึงก็เปิดประตูกลางต้อนรับ
เยียนอวิ๋นเฟยพูดเชิงตำหนิ “เหตุใดจึงต้องยิ่งใหญ่เพียงนี้ ข้ามาพบท่านแม่ จะเดินเข้าประตูกลางได้อย่างไร เดินประตูข้างเข้าจวนก็พอ”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ฐานะของพี่ใหญ่ในเวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ท่านเป็นฮูหยินของท่านโหวผิงอู่ เดินเข้าประตูกลางก็สมเหตุสมผล”
“ไม่สมเหตุสมผล! อยู่ที่นี่ ไม่มีฮูหยินของท่านโหวผิงอู่ มีแต่บุตรสาวที่ออกเรือนของตระกูลเยียน ผู้น้อยของตระกูลเยียน”
สุดท้ายรถม้าเคลื่อนผ่านประตูข้าง ลงรถที่ประตูสอง
เยียนอวิ๋นเกอนำนางไปพบเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา
แม่ลูกสองคนพบหน้ากัน ทันใดนั้นก็กอดคอร้องไห้
ออกเรือนนับปี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบหน้ากัน
เยียนอวิ๋นเกอก็หลั่งน้ำตา
ตอนที่พบกับพี่ใหญ่นางเต็มไปด้วยความดีใจ
เวลานี้มีแต่ความกลัดกลุ้ม จึงเศร้าโศกขึ้นมา
ยากเหลือเกิน!
พบหน้ากันช่างยากเหลือเกิน!
นางอยากร้องไห้อย่างมาก!
———————————————-