คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 242 ความหวังอยู่ตรงหน้า
ตอนที่ 242 ความหวังอยู่ตรงหน้า
หวังหยวนเหนียงพาพี่เซิ่นกลับตระกูล
เพื่อความปลอดภัย นางยอมเสียเงินเช่ารถม้าของเรือนพัก
นางส่งเสบียง ผ้าผืนและเงิน รวมทั้งผักดองที่ใช้แทนเกลือไปให้ครอบครัว
เหล่าพี่น้องต่างดีใจราวกับปีใหม่
ตาหวังคนซื่อได้แต่ฉีกยิ้มหัวเราะ ทักทายให้ลูกเขยดื่มน้ำ จากนั้นก็หมดคำพูด
หวังต้าเหนียงอย่างน้อยก็รับแขกเป็น นางให้ลูกชายพูดคุยกับลูกเขย
ส่วนนางลากหวังหยวนเหนียงเข้าไปคุยในห้อง
เมื่อเห็นลูกสาวส่งผ้าผืนกลับมา หวังต้าเหนียงชอบใจอย่างมาก
“วันเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ พวกเจ้าสองคนทำงานในเรือนพักร่ำรวยยังสามารถกักตุนเสบียงและผ้ามากเพียงนี้ เจ้าส่งสิ่งของกลับมามากมายเช่นนี้ ลูกเขยไม่มีความเห็นหรือ หากทางตระกูลเซิ่นรู้เข้า ย่อมต้องมีคำนินทา”
หวังหยวนเหนียงกดเสียงต่ำ นางกลัวพี่เซิ่นในห้องโถงได้ยินบทสนทนาของพวกนาง
“เขาเป็นคนเสนอให้ข้าส่งเสบียงและผ้าผืนกลับมาเอง ทั้งสองฝ่ายได้สิ่งของเหมือนกัน ทางตระกูลเซิ่นไม่รู้ ท่านแม่อย่าได้หลุดพูดออกไป”
หวังต้าเหนียงถอนหายใจ “ลำบากเจ้าแล้ว! ออกเรือนแล้วยังต้องคิดถึงครอบครัว โทษที่ข้ากับพ่อของเจ้าไร้ประโยชน์ ทำงานทั้งปีก็ไม่มีข้าวกิน ได้แต่หวังพึ่งให้เจ้าช่วยเหลือ”
หวังหยวนเหนียงไม่พอใจ “เหตุใดท่านแม่จึงพูดเช่นนี้ ต้าจ้วงหาเงินได้แล้ว อีกไม่กี่ปีน้องๆ ก็สามารถช่วยอีกแรงได้ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านกับท่านพ่อก็สามารถพักผ่อนได้แล้ว”
หวังต้าเหนียงเผยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าไม่คาดหวังว่าจะได้พักผ่อน เพียงแค่ไม่ต้องทนหิว ในโอ่งยังมีข้าวสาวก็เพียงพอแล้ว ส่วนเจ้า ต่อจากนี้อย่าได้ส่งสิ่งของกลับมามากมายเพียงนี้ มูลค่ามากเกินไป หากถูกคนตระกูลเซิ่นรู้เข้าย่อมต้องนินทา
ลูกเขยไม่ถือสาเพราะเขาเห็นใจเจ้า ไม่อยากให้เจ้าลำบาก แต่เจ้าอย่าได้ตามใจเขาหมด อนาคตพวกเจ้าย่อมต้องมีลูก พวกเจ้าต้องเตรียมความพร้อมให้ลูก อย่างผ้านุ่นนี้ เจ้าเอากลับมาพวกข้าก็ไม่ได้ใช้ สู้เก็บไว้ทำชุดให้ลูกดีกว่า”
หวังต้าเหนียงอยากจะคืนผ้านุ่นให้ลูกสาว เพราะมันมีมูลค่ามากเกินไปจริงๆ
มีเสบียงมีผักดอง อีกทั้งยังมีเงินหนึ่งร้อยสลึง เพียงพอที่จะผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปแล้ว
หวังหยวนเหนียงไม่เต็มใจ “ทางข้ายังมีอยู่! ให้ท่านแล้ว ท่านก็รับเอาไว้ ข้ากตัญญูกับมท่าน ไม่ได้หรือ”
“แต่ว่ามันมูลค่ามากเกินไป ผ้านุ่นที่ดีเช่นนี้ ไม่ใช่คนอย่างพวกเราสวมใส่ได้ สิ้นเปลืองของดี”
“ไม่ใส่ก็นำมาแลกเสบียงได้” หวังหยวนเหนียงพูดอย่างหนักแน่น “ระยะนี้เรือนพักมีงานน้อย หาเงินยาก รอฤดูใบไม่ผลิ สถานการณ์นี้ยังคงต่อเนื่องอีกระยะ ข้าเกรงว่าจะช่วยเหลือพวกท่านไม่ได้ในช่วงเวลาที่ขาดแคลน เมื่อมีผ้านุ่นผืนนี้ หากชีวิตยากลำบากก็นำมันไปแลกเสบียง อย่างไรก็สามารถรับมือให้ผ่านพ้นไปได้”
หวังต้าเหนียงไม่กล้าแม้แต่จะจับผ้านุ่น กลัวมือที่หยาบกร้านข่วนผ้านุ่นเป็นรอย ทำลายผ้าที่ดีเช่นนี้
“ผ้านุ่นผืนนี้ดีเสียจริง! หากสวมใส่อยู่บนตัวย่อมต้องสบายอย่างมาก รอถึงช่วงเวลาที่ขาดแคลนนำมาแลกเสบียงก็ย่อมได้ เวลานี้ผ้าผืนราคาแพง สินค้ามีจำนวนน้อย มีเงินก็หาซื้อผ้าที่ดีเช่นนี้ไม่ได้”
หวังต้าเหนียงชอบผ้าผืนนี้มาก นางใช้เศษผ้าสะอาดห่อมันเอาไว้ กลัวว่าจะเปรอะเปื้อน
นางนำผ้าผืนใส่ไว้ในลังพร้อมคล้องแม่กุญแจ ลูกกุญแจนำติดตัวไว้ นางจึงสบายใจ
เมื่อคล้องกุญแจแล้วก็ไม่กลัวถูกคนขโมย
นางจับมือหวังหยวนเหนียง “เรือนพักหาเงินง่ายกว่าการทำนาใช่หรือไม่”
หวังหยวนเหนียงพยักหน้า พลันพูด “เมื่อมีฝีมือ อย่างไรก็ไม่อดตาย ผู้เช่าแปลงนาเหล่านั้นก็มีชีวิตยากลำบาก มีกินมื้อนี้ ไม่มีกินมื้อหน้า แต่ว่าไม่ว่าลำบากเพียงใด พวกเขาก็มีชีวิตที่ดีกว่าผู้ลี้ภัยที่เร่ร่อน”
หวังต้าเหนียงครุ่นคิด “เจ้าดูว่าจะนำเจ้าสามเข้าไปในเรือนพัก หางานให้นางทำได้หรือไม่ นางฝีมือดี เจ้าก็รู้ ให้โอกาสนาง นางย่อมฝึกฝนฝีมือได้ หากให้นางอยู่ในเรือน เกรงว่าจะหาสามีที่ดีไม่ได้ สถานการณ์ในเรือน เจ้าก็เห็นแล้ว ไม่มีหนทางเอาเสียเลย”
หวังหยวนเหนียงได้ยินจึงกลุ้มใจ
“เวลานี้ในเรือนพักไม่มีงานที่เหมาะกับน้องสาม นางไม่มีความสามารถทางงานฝีมือ ให้นางฝึกถักรองเท้าฟางหรือปั่นเชือกในเรือนก่อนดีกว่า อย่างไรก็ต้องฝึกพื้นฐานไว้ จึงจะผ่านการทดสอบของพ่อบ้าน ข้าจึงจะช่วยนางหางานที่หาเงินได้”
หวังต้าเหนียงผิดหวังเล็กน้อย “ปีนี้หมดหนทางแล้วหรือ”
หวังหยวนเหนียงส่ายหน้า “หมดหนทางจริงๆ ข้าได้ยินพ่อบ้านบอกว่า ปีนี้เถ้าแก่ขาดทุนอย่างมาก งานทั้งหมดต้องการเพียงคนที่เชี่ยวชาญ แรงงานของพวกข้าในเวลานี้ได้เพียงร้อยละสามสิบของปีที่แล้ว แต่ยังทำงานเหมือนเดิม ข้ากับพี่เซิ่นล้วนต้องประหยัดกินประหยัดใช้ มิฉะนั้นคงกักตุนเสบียงเอาไว้ไม่ได้แม้แต่น้อย ผ้าและเสบียงที่ส่งกลับมาคราวนี้ล้วนกักตุนตั้งแต่ต้นปีที่ค่าแรงสูง หากเป็นตอนนี้ มีข้าวกินก็ไม่เลวแล้ว”
“เฮ้อ…”
หวังต้าเหนียงถอนหายใจ “ชีวิตยากลำบาก! ไม่คิดว่าเรือนพักที่ใหญ่เพียงนั้นก็ขาดทุน”
“ขาดทุนมากโขเชียว ปีนี้ปลูกสิ่งใดก็ไม่ได้ อีกทั้งยังต้องเสียเงินค่าเมล็ดพันธุ์ สิ่งของล้วนขึ้นราคา โรงงานของพวกเราไม่มีงานทำแบบทเต็มวันมากว่าครึ่งปีแล้ว ล้วนทำเพียงครึ่งวัน บางครั้งแม้แต่ครึ่งวันยังไม่มี”
หวังต้าเหนียงพยักหน้า “อย่างนั้นก็ตามที่เจ้าว่า ให้เจ้าสามฝึกกับพ่อเจ้าในเรือนก่อน อย่างน้อยก็มีพื้นฐาน รอปีหน้ายังต้องหาทางให้นางเข้าไปทำงานในเรือนพัก ถือว่าให้นางเก็บออมค่าสินสอดของตนเอง เวลานี้ไม่มีสินสอดก็หาคู่ครองลำบาก”
“พวกชายโสดที่หาภรรยาไม่ได้ยังกล้าเลือกอีกหรือ” หวังหยวนเหนียงไม่อยากเชื่อ
หวังต้าเหนียงตำหนิ “เจ้าสามย่อมไม่สามารถออกเรือนกับชายโสด อย่างไรก็ต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานเล็กน้อย คนอย่างนั้นล้วนเลือกตระกูลหญิงสาวอย่างมาก”
หวังหยวนเหนียงตอบรับ
หวังต้าเหนียงมีความคิด “โรงงานของพวกเจ้ามีชายหนุ่มที่เหมาะสมหรือไม่ แนะนำให้เจ้าสามได้หรือไม่ ยุคสมัยนี้ยังต้องมีฝีมืออยู่กับตัวถึงจะได้ ไม่ต้องกังวลว่าต้องอดตาย”
หวังหยวนเหนียงตอบรับ “ข้าหลับไปลองสืบดู หากมีข่าว ข้าจะให้คนมาบอก”
“ได้!”
เมื่อพูดเรื่องคู่ครองของเจ้าสามเสร็จ หวังต้าเหนียงก็เริ่มกังวลคู่ครองของบุตรชายเอ้อจ้วง
“น้องสองของเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว หากมีคนที่เหมาะสม เจ้าช่วยดูให้ด้วย”
“เวลานี้น้องสองหาเงินได้ เพียงแค่ลำบากเล็กน้อย เขาเป็นชาย แต่งงานช้าก็ไม่เป็นอันใด รอให้เขาเก็บเงินได้มากกว่านี้ อนาคตย่อมมีหญิงสาวชื่นชอบเขา”
“ต้องรออีกหลายปีหรือ ข้ากับพ่อของเจ้าร้อนใจนัก”
หวังหยวนเหนียงรีบพูด “บุรุษในเรือนพักล้วนแต่งงานช้า อย่างไรก็ต้องมีทรัพย์สมบัติบ้าง อย่างน้อยก็ต้องมีสินสอดจึงจะแต่งงานได้ เงินที่น้องสองหาในเวลานี้ล้วนเอามาให้ครอบครัว ไม่เหลือเงินแม้แต่สลึงเดียว ท่านจะให้เขาแต่งงานมือเปล่าหรือ บิดามารดาตระกูลใดใจร้ายเพียงนี้ ให้บุตรสาวออกเรือนกับชายหนุ่มที่ยากจน”
หวังต้าเหนียงครุ่นคิด “เจ้าพูดมีเหตุผล รออีกสักสองสามปี?”
หวังหยวนเหนียงพยักหน้า “อย่างน้อยก็ให้น้องสองเก็บสินสอดก่อน ค่อยหารือเรื่องแต่งงาน”
“ได้! ล้วนฟังเจ้า”
…
หวังหยวนเหนียงกับพี่เซิ่นพักอยู่ในเรือนหนึ่งคืน วันที่สองก็ออกเดินทางไปยังครอบครัวของฝ่ายขาย
พี่น้องของพี่เซิ่นแยกครอบครัวไปนานแล้ว แต่บิดาและมารดายังแข็งแรงอยู่
ตอนที่เขาแต่งงานก็มีการให้คำสัญญา แม้ตัวเขาจะไม่อยู่ในเรือน ดูแลชีวิตประจำวันของบิดามารดาไม่ได้ แต่เขาต้องตอบแทนด้วยเสบียงและเงิน
เมื่อเขาพาลูกสะใภ้มาส่งเสบียง ผ้าผืนและเงินให้บิดามารดา จึงทำให้พวกเขาดีใจอย่างมาก
พี่น้องทั้งหลายก็ดีใจ
พวกเขาเลี้ยงดูบิดาและมารดา สิ่งของที่พี่เซิ่นให้บิดามารดา ย่อมต้องมีส่วนของพวกเขา
สิ่งที่ทุกคนโปรดปรานที่สุดก็คือผ้านุ่น
พื้นที่ชนบทที่ห่างไกลไม่มีโอกาสได้เห็นผ้านุ่น
เมื่อพี่เซิ่นนำผ้านุ่นผืนหนึ่งกลับมา จึงทำให้คนดีใจกว่าได้เสบียงสองร้อยจิน
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดึวามรู้สึกดีต่อหวังหยวนเหนียงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้จู้จี้จุกจิกเหมือนตอนแต่งงาน
ลูกสะใภ้ทำงานเก่ง หาเงินเลี้ยงครอบครัวได้…ดี!
ตระกูลเซิ่นมีเงื่อนไขดีกว่าตระกูลหวัง
ตอนกลางคืนพวกเขากินข้ามต้มกับผักดอง อีกทั้งยังมีหมั่นโถวครึ่งลูก
หมั่นโถวดูก็รู้ว่าวางไว้หลายวันแล้ว
แต่ละวันกินทีละเล็กทีละน้อยอย่างประหยัด
ถึงแม้จะนำไปอุ่นในหม้อแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเทียบกับหมั่นโถวที่ทำสดใหม่ในวันนั้น
แต่ว่าไม่มีคนรังเกียจ
ในสมัยนี้ มีอาหารให้กินก็เป็นความสุขที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
สามีภรรยาสองคนพักอยู่ในเรือนหนึ่งคืน ก่อนจะรีบเดินทางกลับเรือนพัก
สิ้นปี พวกเขาต้องพยายามทำงานให้มากขึ้น กักตุนเสบียงให้มากขึ้น
รอถึงปีหน้า ช่วงเวลาที่ยากลำบาก พวกเขาจะได้มีกำลังเหลือช่วยเหลือครอบครัวทั้งสองฝ่าย
ในเรือนยังมีผ้าป่านเหลืออยู่สองผืนเก็บไว้ในหีบ
มันเป็นสมบัติของทั้งสองคน รอเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ ผ้าป่าสองผืนก็สามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก
วันนี้ หวังหยวนเหนียงไปถามหางานจากร้านผ้าสี่ฤดู
เกาชู หัวหน้าร้านของร้านผ้าสี่ฤดูสาขาเรือนพักร่ำรวยบอกกับหวังหยวนเหนียงว่าเวลานี้ไม่มีงานที่เหมาะสมกับนาง
ในขณะที่หวังหยวนเหนียงผิดหวังอย่างมากนั้น อีกฝ่ายก็ถามขึ้น “พี่เซิ่นของเจ้าทำพื้นรองเท้าหนังได้หรือไม่”
หวังหยวนเหนียงผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้ารับปาก เพียงแค่บอกว่า “สามีข้าทำได้ทุกอย่าง มือของเขาคล่องแคล่วอย่างมาก อาจารย์ยังเทียบเขาไม่ได้ ให้ข้าลองกลับไปถามเขาก่อน หากเขาทำได้ ข้าให้เขาเข้ามาตอบท่าน”
เกาชูพยักหน้า “เจ้ารีบกลับไปถาม ทางข้ารับงานรองเท้าหนังมา หนังมาถึงเมืองหลวงแล้ว รอแค่ช่างทำงาน”
“ท่านรอเดี๋ยว ข้าจะกลับไปถามเขาเดี๋ยวนี้”
หวังหยวนเหนียงวิ่งกลับเรือนไปอย่างร้อนใจ แต่ไม่เห็นคน
จากนั้นนางก็วิ่งไปหาทางโรงงาน
นางหอบหายใจ พลันถามพี่เซิ่น “ทำพื้นรองเท้าหนังได้หรือไม่ ร้านผ้าสี่ฤดูต้องการช่าง ท่านไหวหรือไม่”
พี่เซิ่นลังเลเล็กน้อย “ข้าไม่เคยทำพื้นรองเท้าหนัง แต่หากให้ข้าได้ดูวิธีการทำก่อน ข้าย่อมทำได้”
นี่คือพรสวรรค์ของพี่เซิ่น งานฝีมือเพียงแค่ดูก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว
ทั้งสองคนสามารถกินอิ่มได้ในช่วงภัยพิบัติ อีกทั้งยังมีกำลังเหลือดูแลสองครอบครัว เพราะมีพรสวรรค์ของพี่เซิ่น
หวังหยวนเหนียงดึงเขา “ท่านตามข้ามา ท่านพูดกับเกาจั่งกุ้ยเอง ไม่ว่าอย่างไรให้เขาให้โอกาสท่าน”
หากรับงานนี้ได้ ก่อนปีใหม่ย่อมหาเงินค่าเสบียงได้อีกอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงเสบียง ภายในใจของหวังหยวนเหนียงก็ร้อนรุ่ม