คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 258 เยือน
ตอนที่ 258 เยือน
หลิงฉางจื้อเดินทางมาเยือนเซียวฮูหยินที่จวนท่านหญิงจู้หยาง
เขาคำนับตามประเพณีของผู้น้อยด้วยความสุภาพ
เซียวฮูหยินรับการคำนับของเขาเอาไว้
ถึงแม้จะเป็นการคำนับของผู้น้อย แต่เรื่องที่เจรจาวันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว
“นั่งเถิด! นานทีเจ้าจะมาสักครั้ง ลองชิมใบชาที่อวิ๋นเกอนำมาจากทางใต้ ใบชาใหม่ของปีนี้ สองวันก่อนเพิ่งส่งมาถึงเมืองหลวง แน่นอน เจ้าย่อมไม่สนใจใบชาเพียงเท่านี้ แต่ข้าดื่มดูแล้วรู้สึกไม่เลว เจ้าลองวิจารณ์ดู!”
“ท่านหญิงเกรงใจ! ท่านหญิงเป็นผู้รักชา คราวหน้าข้าย่อมจะนำใบชาชั้นดีจากสวนชาของตระกูลหลิงมาให้ท่านหญิงได้ลอง!”
“เจ้ามีน้ำใจแล้ว ข้ากำลังรอใบชาของเจ้าอยู่พอดี”
“ท่านหญิงวางใจ วันนี้ข้ากลับไปจะให้คนขนใบชาจากสวนชามาให้”
ทั้งสองดื่มชา พูดคุยสัพเพเหระ
เซียวฮูหยินถามด้วยความห่วงใย “เจ้าอยู่ในเมืองหลวงตลอดปี เหตุใดจึงไม่รับภรรยาและบุตรมาอยู่ในเมืองหลวงด้วย”
“เด็กกำลังเรียนอยู่ในสำนักเรียนของตระกูล ก่อนที่จะประสบความสำเร็จทางการศึกษา ไม่สามารถออกจากจวนได้ตามกฎของตระกูลหลิง ส่วนภรรยาของข้าเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูล มีภาระหนัก ไม่สามารถห่างจากจวนได้”
“ลำบากพวกเจ้าสองสามีภรรยาแล้ว ต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อตระกูล อีกทั้งยังต้องแยกกันอยู่ หากข้าจำไม่ผิด สะใภ้ของเจ้าเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลสือใช่หรือไม่”
“ขอรับ! ตระกูลของภรรยาข้าเป็นญาติของทางท่านป้าข้า”
ท่านป้าที่หลิงฉางจื้อเอ่ยถึงย่อมหมายถึงภรรยาเดิมของท่านโหวผิงอู่ สืออุน
เซียวฮูหยินถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลเจ้าติดต่อกับตระกูลสือเป็นประจำหรือ”
หลิงฉางจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “มีการติดต่อในแต่ละเทศกาล เมื่อครบรอบวันเสียของท่านทวด ท่านแม่ก็มักจะกลับไปเซ่นไหว้ที่ตระกูลสือ”
“ท่านแม่ของเจ้าลำบากแล้ว แต่นางยังโชคดีกว่าข้า นางยังมีตระกูลให้กลับ แต่ข้าไม่มีแม้แต่ตระกูลให้กลับแล้ว”
หลิงฉางจื้อพูดขึ้นทันที “เชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นคนในตระกูลของท่านหญิง ตระกูลเซิ่นย่อมเป็นเช่นนั้น!”
เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ตระกูลเซิ่นไม่ไหวแล้ว ระยะเวลาเพียงยี่สิบกว่าปีก็ล่มจมจนไม่เหลือเป็นรูปเป็นร่าง แปลงนาดีกว่าหลานไร่ล้วนเปลี่ยนแซ่ บ่าวรับใช้บ้างถูกขาย บ้างหนีไป ตระกูลหลิงของเจ้าห่างจากตระกูลเซิ่นไม่ไกล สถานการณ์ของตระกูลเซิ่นในเวลานี้ เจ้าคงจะรู้ดีใช่หรือไม่”
สีหน้าของหลิงฉางจื้อเรียบเฉย คิ้วและดวงตาไม่ขยับแม้แต่น้อย “ตอนที่ข้าอยู่ในจวน แต่ละวันล้วนก้มหน้าศึกษาตำรา ไม่เคยสนใจเรื่องภายนอกนัก เมื่อมาถึงเมืองหลวง แต่ละวันก็ยุ่งอยู่กับงาน สถานการณ์ของตระกูลเซิ่น พูดตามความจริง ข้าไม่รู้เอาเสียเลย หากตระกูลเซิ่นมีเรื่องลำบาก ต้องการความช่วยเหลือ ท่านหญิงสามารถบอกข้าได้ เรื่องที่ช่วยได้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ”
เซียวฮูหยินยิ้มอย่างรู้ทัน
นางอยากถามว่าแปลงนาที่ตระกูลหลิงยึดครองจากตระกูลเซิ่นไปจะคืนให้ตระกูลเซิ่นได้หรือไม่
แน่นอน นางเพียงแค่คิด แต่ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้จริงๆ
“ถึงแม้ตระกูลเซิ่นจะไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ น้ำใจของเจ้า ข้าจะรับไว้แทนตระกูลเซิ่น”
“ท่านหญิงอย่าได้เกรงใจกับข้าเด็ดขาด”
“ข้าไม่เกรงใจกับเจ้า จะว่าไป พวกเราสองตระกูลปรองดองกัน เพียงแต่เจ้ามักจะยุ่ง จึงติดต่อกันน้อย”
“เป็นความผิดของข้า ข้าควรมาเยือนท่านหญิงให้เร็วกว่านี้”
“ไม่เป็นอันใด! เจ้ายุ่ง ข้าเข้าใจได้ ตระกูลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบพระคุณท่านหญิงที่เป็นห่วง ทุกสิ่งล้วนดี ทางตระกูลสือ ฮูหยินท่านโหวผิงอู่สบายดีหรือไม่ ข้าไม่ได้ติดต่อกับท่านลุงมาระยะหนึ่งแล้ว สถานการณ์ของตระกูลสือ ข้าก็ไม่รู้มากนัก”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “ฮูหยินท่านโหวผิงอู่สบายดี เด็กก็สบายดี ปีที่แล้วนางกำเนิดบุตรชาย เพิ่งพักฟื้นเสร็จก็รีบร้อนกลับไป ข้ายังเป็นห่วงอย่างมาก โชคดีที่นางกลับไปถึงอวี้โจวอย่างปลอดภัย เด็กก็แข็งแรง คราวหน้านางเขียนจดหมายมาบอกว่าเด็กลุกขึ้นนั่งได้แล้ว แต่ละวันซุกซนอย่างมาก”
หลิงฉางจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่น้องชายคลอด ข้ายังส่งของขวัญมาชิ้นหนึ่ง เสียดายตอนที่ฮูหยินและน้องชายออกจากเมืองหลวง ข้าไม่ได้ไปส่งด้วยตนเอง น่าเสียดายอย่างมาก”
“ไม่เป็นอันใด! ฮูหยินท่านโหวผิงอู่ นางไม่ถือสา”
ฮูหยินท่านโหวผิงอู่ที่พวกเขาเอ่ยถึงย่อมหมายถึงเยียนอวิ๋นเฟย
คุยไปคุยมา หลิงฉางจื้อจึงได้เอ่ยถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนวันนี้
“คราวหน้าตอนที่ท่านหญิงส่งจดหมายไปให้ฮูหยินท่านโหวผิงอู่ก็ตักเตือนนางเอาไว้เสียหน่อย น้องชายยังเล็กเพียงนั้น เพื่อน้องชายแล้ว นางก็อย่าได้กังวลใจมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องภายนอกตระกูลสือ หากกังวลมากเกินไปจะเหนื่อยใจ! ไม่ดีต่อน้อยชาย”
เขาตักเตือนและข่มขู่อย่างอ้อมค้อม
เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว สายตาเย็นชา “ฮูหยินท่านโหวผิงอู่ทำสิ่งใดย่อมมีขอบเขต นางย่อมไม่มีทางแทรกแซงเรื่องภายนอกตระกูลืออย่างไร้เหตุผล ฉางจื้อ ความกังวลของเจ้า ข้ารับแทนนางเอาไว้แล้ว แต่ข้าวกินมั่วซั่วได้ คำพูดไม่สามารถพูดจามั่วซั่วได้ ระวังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล”
“ขอบพระคุณท่านหญิงที่ตักเตือน ข้ารู้แล้ว! ข้าคงกังวลเกินไป ท่านหญิงถือว่าข้าพูดจาเหลวไหลก็พอ วันนี้รบกวนเป็นเวลานานแล้ว ข้าขอตัวก่อน ใบชาข้าจะให้คนส่งมาในวันอื่นให้ท่านหญิงได้ลิ้มลอง หากท่านหญิงชื่นชอบ ต่อจากนี้ข้าจะให้คนมาส่งใบชาให้ท่านหญิงทุกปี”
“ข้ารับน้ำใจของเจ้าเอาไว้แล้ว ข้าจะเอาใบชาของเจ้าทุกปีได้อย่างไร เอามาลองชิมรสชาติก็พอ อีกทั้งอวิ๋นเกอให้คนทำสวนชาทางใต้เอาไว้แล้ว ใบชาของข้า นางเป็นคนรับผิดชอบ”
หลิงฉางจื้อหัวเราะขึ้นมา “ข้าลืมไปแล้ว คุณหนูสี่เป็นหญิงสาวที่มากความสามารถ ไม่แพ้ชายผู้ใดทั้งสิ้น จริงสิ คุณหนูสี่มีคู่หมั้นแล้วหรือไม่ หากยังไม่ได้หมั้นหมาย ข้าจะเป็นพ่อสื่อให้นาง ไม่รู้ท่านหญิงมีความคิดเห็นอย่างไร”
เซียวฮูหยินเกิดความสนใจขึ้นทันที “เจ้าลองบอกข้า มีชายหนุ่มมากความสามารถตระกูลใดจึงจะเข้าตาเจ้าได้”
หลิงฉางจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “บุตรชายตระกูลชุยในติ้งโจว ท่านหญิงคิดเห็นว่าอย่างไร”
“ตระกูลชุย? ตระกูลของใต้เท้าชุย เสนาบดียุติธรรม?”
“ถูกต้อง!”
เซียวฮูหยินหวั่นไหวเล้กน้อย แต่นางกลับพูดอย่างถ่อมตน “ตระกูลชุยเป็นตระกูลใหญ่ที่ดีเลิศในแผ่นดิน เกรงว่าบุตรชายในตระกูลนั้นจะไม่โปรดอวิ๋นเกอของข้า อวิ๋นเกอของข้านิสัยโลดโผน ไม่สามารถแบกรับหน้าที่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลได้”
สะใภ้ใหญ่ของตระกูล ไม่เพียงต้องฉลาด อีกทั้งยังต้องมีร่างกายที่แข็งแรง สิ่งสำคัญคือต้องยอมทนเหน็ดเหนื่อย ต้องสุภาอ่อนหวาน
อย่างภรรยาของหลิงฉางจื้อ ในฐานะภรรยาของบุตรชายคนโตตระกูลหลิง นางย่อมต้องดูแลบุตร ทำงานอย่างหนักในบ้านเกิดตลอดปี
หากเป็นเยียนอวิ๋นเกอคงไม่ได้
หลิงฉางจื้อรีบพูด “ท่านหญิงวางใจ คนที่ข้าจะแนะนำไม่ใช่บุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ หากแต่เป็นบุตรชายคนโตของบ้านสาม”
“บ้านสาม?”
เซียวฮูหยินลังเลเล็กน้อย “ตามที่ข้ารู้ บ้านสามของตระกูลชุยแข็งกร้าวอย่างได้ ได้ข่าวว่าบ้านสามไม่ลงรอยกับบ้านใหญ่และบ้านสอง มักมีความขัดแย้งกันเป็นประจำ บ้านใหญ่อาศัยความสัมพันธ์ในราชสำนักกดขี่คนของบ้านสาม บ้านสามหาตัวช่วยจากด้านนอก ทั้งสองฝ่ายปะทะกันตั้งแต่ภายในตระกูลยันราชสำนัก”
“ท่านหญิงพูดถูก บ้านสามตระกูลชุยแย่งชิงกับบ้านใหญ่และบ้านสองอย่างดุเดือน แต่ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็เป็นคนตระกูลชุย ห่างจากตระกูลชุยไม่ได้”
เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ฉางจื้อ เจ้าเป็นพ่อสื่อให้อวิ๋นเกอ ข้าขอบใจเจ้า เพียงแต่บ้านสามตระกูลชุยสถานการณ์ไม่ดี เจ้าให้อวิ๋นเกอแต่งเข้าไป ชีวิตจะเป็นอย่างไร!”
หลิงฉางจื้อเตรียมคำอธิบายไว้ก่อนแล้ว “ท่านหญิงพูดผิดแล้ว! คุณหนูสี่เป็นนักรบแต่กำเนิด สถานการณ์อย่างตระกูลชุยเหมาะสำหรับการแสดงความสามารถของนาง จากความสามารถของคุณหนูสี่ ข้าเชื่อว่านางจะเป็นนายหญิงน้อยที่ยืนอย่างมั่นคงในตระกูลชุยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าทำให้นางขุ่นเคือง”
คำพูดนี้มีเหตุผล
ตระกูลที่สุขสงบอาจไม่เหมาะสมกับนิสัยของเยียนอวิ๋นเกอ
หากแต่เป็นตระกูลที่มีการแย่งชิงอย่างดุเดือด อวิ๋นเกอจึงจะมีพื้นที่แสดงความสามารถ
เมื่อแย่งชิงกันอย่างดุเดือด ย่อมไม่ต้องสนใจเรื่องกฎระเบียบ ไม่กลัวการถูกควบคุมจากกฎตระกูล
เพียงแต่…
ในฐานะมารดา เซียวฮูหยินย่อมไม่อยากให้บุตรสาวของตนเองแต่งเข้าไปรับแรงกดดัน
จากส่วนลึกในใจ นางยังคงหวังให้อวิ๋นเกอแต่งงานกับชายที่มีสถานการณ์ครอบครัวเรียบง่าย
“น้ำใจของเจ้าข้ารับเอาไว้แล้ว ทางตระกูลชุย ข้าขอไตร่ตรองก่อน”
“เมื่อท่านหญิงไตร่ตรองแล้ว หากมีการตัดสินใจ ให้คนมาบอกข้า ข้าสามารถเป็นสะพานเชื่อมโยงให้ทั้งสองตระกูลลองพบกันก่อนได้”
“รอข้าตัดสินใจ ข้าจะบอกเจ้า”
“ข้ารอรับสั่งของท่านหญิง”
หลิงฉางจื้อโน้มตัว จากนั้นขอตัวจากไป
เซียวฮูหยินไม่ได้รั้งเขาเอาไว้
…
เยียนอวิ๋นเกอเดินออกมาจากห้องด้านใน
“พี่ใหญ่ทำให้เขาไม่พอใจหรือ เขาจึงเดินทางมาตักเตือน”
นางไม่พอใจเล็กน้อย
ถึงแม้หลิงฉางจื้อจะมีท่าทีสง่างาม พูดจาไพเราะ
เพียงแต่คำพูดของเขาล้วนเป็นการตักเตือนพี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟย อย่ายื่นมือยาวเกินไป เยียนอวิ๋นเกอย่อมรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเยียนอวิ๋นเฟย
เซียวฮูหยินหัวเราะเสียงเบา “พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคือง หากแต่เป็นตระกูลหลิง ทางตระกูลหลิงย่อมต้องเกิดเรื่อง อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับท่านโหวผิงอู่ สืออุน เกรงว่าพี่ใหญ่ของเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เขาจึงตั้งใจเดินทางมาตักเตือน แต่ไม่ได้ฉีกหน้ากัน กิริยาท่าทางของเขาล้วนอยู่ในขอบเขต เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับพี่ใหญ่ของเจ้า มีแต่จะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร”
เยียนอวิ๋นเกอสงสัยอย่างมาก “พี่ใหญ่ทำสิ่งใดกัน ทำให้หลิงฉางจื้อเดินทางมาให้พวกเราส่งสารบอกพี่ใหญ่ด้วยตนเอง”
เซียวฮูหยินรับสั่งพ่อบ้านคนสนิท “ส่งคนไปสืบ ตระกูลหลิงกับตระกูลสือเกิดความขัดแย้งใด”
พ่อบ้านรับคำสั่งพลันจากไปอย่างเร่งรีบ
เซียวฮูหยินถามเยียนอวิ๋นเกอ “ทางเยียนอวิ๋นฉวนมีการเคลื่อนไหวหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหว นับจากที่เขาดื่มสุรากับหลิงฉางจื้อ เขาก็สงบลง ราวกับไม่คิดจะกลับแคว้นซ่างกู่”
เซียวฮูหยินได้ยินจึงหัวเราะออกมา “หากพูดเช่นนี้ ข้ายังต้องขอบใจหลิงฉางจื้อที่เกลี้ยกล่อมเยียนอวิ๋นฉวนเอาไว้ เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะให้เกียรติเขา ส่งข่าวให้พี่ใหญ่เจ้าแทนเขา”