คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 286 ขุดมุมกำแพง
ตอนที่ 286 ขุดมุมกำแพง
ท้องฟ้ามืดมน ฝนตกลงมาโปรยปราย
ปีนี้สภาพอากาศประหลาดยิ่งนัก ราวกับสวรรค์ตระหนี่หยาดฝน ยอมประทานฝนลงมาเพียงเล็กน้อย แม้แต่หยาดฝนขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยก็ไม่ยอมตกลงมา
ช่างทำให้คนทั้งรักทั้งชัง
แต่ผู้คนก็ไม่กล้าต่อว่าสวรรค์มากเกินไป
เกรงว่าหากไปถึงหูของสวรรค์ สวรรค์จะไม่พอใจ ประทานภัยแล้งลงมาอีก
ฝนโปรยแม้จะน้อย แต่ก็ยังเป็นฝน ไม่ถึงกับไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียวเหมือนตลอดปีที่แล้ว
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินเลือกเดินทางออกจากจวนองค์ชายสองไปยังวัดไป๋อวิ๋นในสภาพอากาศเช่นนี้
วันนี้ไม่ใช่วันที่หนึ่งหรือสิบห้า อีกทั้งฝนตก วัดไป๋อวิ๋นจึงมีคนน้อย
แม้แต่พ่อค้าด้านนอกวัดก็หลบอยู่ใต้เพิงฟางอย่างไร้ชีวิตชีวา
เซียวเฉิงเหวินสักการะพระพุทธรูปด้วยความศรัทธา
หลังจากนั้น เขาเดินทางไปยังห้องพักด้านหลังภายใต้การนำของพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่รับแขก
เขานั่งขัดสมาธิลง ทำจิตใจให้สงบ ความคิดลอยออกไปไกล
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เฟ่ยกงกงเรียกเขา “องค์ชาย ท่านหญิงจู้หยางมาถึงแล้ว อยู่นอกประตู”
เซียวเฉิงเหวินลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจออกมา พลันเปลี่ยนท่านั่ง “เชิญท่านหญิงเข้ามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากนั้น ท่านหญิงจู้หยางหรือเซียวฮูหยินถูกเชิญเข้าห้องพัก
นางมองเซียวเฉิงเหวินด้วยสีหน้าประหลาด “เจ้านัดข้ามาพบในวัด ไม่รู้สึกว่าประหลาดหรือ ข้าเป็นแม่ยายของเจ้า หากเจ้าอยากพบข้า เดินทางมาจวนท่านหญิงย่อมได้ เหตุใดจึงต้องนัดมาพบในวัด”
“ที่นี่ทำให้คนจิตใจสงบ! ท่านหญิงเชิญนั่ง!”
เซียวฮูหยินนั่งลงกับพื้น คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางคั่นด้วยโต๊ะเล็ก
“เจ้านับพบข้ามีเรื่องใด”
เซียวเฉิงเหวินยกเหยือกชาขึ้นรินชา “ข้าเพียงอยากรู้ความคิดของท่านหญิง ท่านต้องการสิ่งใด”
เซียวฮูหยินเลิกคิ้วยิ้ม “ในที่สุดเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว”
เซียวเฉิงเหวินวางเหยือกชาลง ยกมือขึ้น “เชิญท่านหญิงดื่มชา!”
เซียวฮูหยินยกแก้วชาขึ้น แต่ไม่ดื่ม
นางมองอีกฝ่าย “ร่างกายเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
เซียวเฉิงเหวินโน้มตัวเล็กน้อย มันคือความเคารพของผู้เยาว์ต่อผู้อาวุโส “ขอบพระคุณท่านหญิงที่เป็นห่วง ดีขึ้นแล้ว ถึงแม้ฤดูร้อนจะอบอ้าว แต่อย่างน้อยก็ออกจากจวนได้”
เซียวฮูหยินวางแก้วชาลง “ข้าไม่ได้ถามว่าฤดูร้อนเป็นอย่างไร ร่างกายของเจ้าคงจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนใช่หรือไม่”
“เหตุใดท่านหญิงจึงพูดเช่นนี้” เซียวเฉิงเหวินถามกลับ
เซียวฮูหยินยิ้ม “ระยะนี้เจ้ามีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง หากร่างกายไม่ดีขึ้น เจ้าคงไม่รีบร้อนเช่นนี้”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ท่านหญิงให้ความสนใจต่อข้าเสียงจริง!”
เซียวฮูหยินยิ้มอย่างมีนัย “เจ้าเป็นบุตรเขยของข้า ข้าย่อมต้องสนใจเจ้าตลอดเวลา”
“แล้วท่านหญิงล่ะ ท่านมีจุดประสงค์ใด เรียกร้องเมืองป๋อไฮ่แทนเยียนโส่วจ้านมีผลดีอย่างไรต่อท่าน ทั้งที่ท่านรู้ว่ามันมีความเสี่ยงที่จะทำให้เยียนโส่วจ้านขึ้นมาเป็นใหญ่ บั่นทอนกำลังของราชสำนักให้อ่อนแอลง เหตุใดท่านยังต้องช่วยเขา เขาปฏิบัติต่อท่านไม่ดีนักไม่ใช่หรือ”
เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม พูดอย่างจริงจัง “ข้าเพียงแค่กำลังแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเย้ยหยัน “คำพูดนี้หลอกเสด็จพ่อก็พอ ต่อหน้าข้า ท่านหญิงอย่าได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้”
เซียวฮูหยินหยอกล้อเขา “เจ้าช่างห่วงใยบ้านเมืองและราษฎร แต่ฝ่าบาทไม่ทรงให้ความสำคัญกับความเห็นของเจ้า อีกทั้งยังเกลียดที่เจ้าแทรกแซงการเมืองโดยพลการ เจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่”
“ย่อมคุ้มค่า! ข้าเป็นบุตรหลานตระกูลเซียว ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด ขอเพียงไม่ละอายใจเท่านั้น”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “นี่ก็คือคำตอบของข้า ข้าขอเมืองป๋อไฮ่แทนเยียนโส่วจ้าน ข้าไม่ละอายใจ”
“เหตุใดท่านจึงไม่ละอายใจ ท่านอย่าลืมว่าท่านแซ่เซียว”
“แล้วอย่างไร แซ่เซียวสูงส่งมากนักหรือ ข้ามีเพียงความเหยียดหยามและความแค้น ชีวิตคนนับพันในตำหนักบูรพา รวมทั้งชีวิตคนนับหมื่นที่เกี่ยวกับกับตำหนักบูรพา มันคือความทรงจำที่ฝันแน่นลงไปในกระดูกที่แซ่ ‘เซียว’ นำมาให้ข้า”
“ถึงแม้ท่านจะแก้แค้นก็ไม่ควรนำแผ่นดินต้าเว้ยมาล้อเล่น หากวิญญาณของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ มีอยู่จริง เขาจะเห็นด้วยกับการกระทำของท่านหรือไม่ เกรงว่าเขาจะชี้หน้าตำหนิท่านว่าลืมบรรพบุรุษ…”
“เจ้าบังอาจ!”
เซียวฮูหยินโกรธจัด สีหน้าดำทะมึน “เซียวเฉิงเหวิน ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะมีแผนการใด ข้าไม่เคยแทรกแซงเจ้า ดังนั้นเจ้าก็อย่าคิดแทรกแซงข้า”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่อาจทนหนคนบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว้ยโดยไม่ทำสิ่งใด โดยเฉพาะคนที่บ่อนทำลายยังแซ่เซียว”
เซียวเฉิงเหวินพูดอย่างหนักแน่น ท่าทีแน่วแน่
เซียวฮูหยินเลิกคิ้วยิ้ม “หากข้ายืนกรานที่จะบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว้ย เจ้าจะทำอย่างไร”
เซียวเฉิงเหวินส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าจะกำจัดตระกูลเยียนให้สิ้นซาก เหยียบเรือนพักร่ำรวยให้ราบเป็นหน้ากลอง”
“เจ้ากล้า!”
“ท่านสามารถลองดูว่าข้ากล้าหรือไม่! อย่าคิดว่าอาศัยองครักษ์หลายพันนายที่เลี้ยงไว้ในเรือนพักร่ำรวย ท่านก็จะสามารถทำตามใจตัวเองได้ เหยียบเรือนพักร่ำรวยให้ราบเป็นหน้ากลอง สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายดาย ตระกูลเยียนหลบอยู่ในแคว้นซ่างกู่ ข้าไม่สนใจว่าจะทำสิ่งใด แต่หากบังอาจก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด”
“ฮ่าๆ…”
เซียวฮูหยินเปล่งเสียงหัวเราะ สายตาเต็มไปด้วยความเสียดสี “เซียวเฉิงเหวินเอ๋ยเซียวเฉิงเหวิน เจ้าพูดประโยคนี้ออกมาในฐานะใด ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ราวกับเจ้าคิดว่าตนเองเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินไปเสียแล้ว เจ้าคิดว่าตนเองเป็นโอรสสวรรค์หรือ”
เซียวเฉิงเหวินเม้มปากแน่น ไม่ตอบโต้
เซียวฮูหยินพูดต่อ “เจ้าจะแย่งชิงอำนาจ ต้องการตำแหน่งในวังหลวงนั้น ข้าไม่สนใจ แต่หากเจ้าบังอาจแตะต้องเรือนพักร่ำรวย บังอาจแตะต้องลูกข้าแม้แต่นิ้วเดียว แม้ข้าจะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่ได้นั่งตำแหน่งนั้น”
สายตาของเซียวเฉิงเหวินจริงจัง “ท่านคิดว่าข้าสนใจ? ในสายตาของพวกท่านทุกคน ทุกสิ่งที่ข้าทำก็เพื่อตำแหน่งนั้น? เหลวไหล!”
คราวนี้กลายเป็นเซียวฮูหยินที่สับสน
ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งนั้นแล้วจะเพื่อสิ่งใด
ทุ่มเทแรงกายแรงใจ แม้แต่ชีวิตก็ทุ่มเทเข้าไป ตกลงแล้วเพื่อสิ่งใด
เซียวเฉิงเหวินส่งเสียงไม่พอใจ “ความคิดของข้า พวกเจ้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ท่านไม่ใช่คนแรก แต่ก็จะไม่ใช่คนสุดท้าย หลายปีนี้ข้าพูดเช่นนี้กับคนมากมาย หากผู้ใดบังอาจบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว้ย ย่อมเท่ากับเป็นปรปักษ์กับข้า ข้าจะทำให้เขาตาย!”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นเทพปกปักษ์ราชวงศ์ต้าเว้ย? เจ้าคิดว่าเจ้าจะรักษาแผ่นดินนี้ไว้ได้ด้วยกำลังของเจ้าผู้เดียว?”
“เพียงแค่ข้ามีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ข้าก็จะปกป้องเอาไว้ได้อย่างแน่นอน”
“ผู้ใดปลูกฝังความคิดนี้ให้เจ้า” เซียวฮูหยินสงสัยอย่างมาก
ความคิดของเซียวเฉิงเหวินประหลาดและหาพบได้ยากเกินไป
หากไม่มีผู้ชี้นำ เขาจะเกิดความคิดที่ประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อเซียวเฉิงเหวินได้ยินจึงหัวเราะออกมา
ดวงตาของเขาหลั่งไหลอารมณ์ที่แท้จริงอย่างหาได้ยาก มันคือความภาคภูมิใจ
“ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดปลูกฝัน ข้ารู้หน้าที่ของตนเองตั้งแต่เด็ก”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “เหลวไหล! หากไม่มีคนชี้นำเจ้า เจ้าไม่มีทางเกิดความคิดประหลาดเช่นนี้อย่างแน่นอน”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเสียดสี “ความคิดของข้าไม่ประหลาด คนที่ประหลาดคือเชื้อพระวงศ์อย่างพวกท่านต่างหาก พวกท่านเอาตัวรอดไปวันๆ ไร้ซึ่งความกังวลระยะใกล้และระยะไกล มองดูตระกูลขุนนางและแม่ทัพที่ครอบครองกองกำลังกลืนกินแผ่นดินอย่างเฉยชา หากมีวันหนึ่ง แผ่นดินล่มสลาย คนที่สมควรตายก่อนก็คือพวกท่าน”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น “ฮ่องเต้องค์ก่อนตรัสสิ่งใดกับเจ้าก่อนสวรรคต”
เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้า
เซียวฮูหยินไม่เชื่อ
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเย็น “ฮ่องเต้องค์ก่อน เดิมทีข้าควรเรียกเขาว่าเสด็จปู่ แต่ข้าคิดว่าเขาไม่คู่ควร ข้าคิดว่าท่านก็คงคิดเช่นนี้ เรื่องหายนะในวันนี้ล้วนมาจากฮ่องเต้องค์ก่อน เดิมทีตระกูลขุนนางที่ถูกฮ่องเต้จงจ้งกดขี่จนเหลือเพียงลมหายใจเดียวได้รับโอกาสพักหายใจเพราะฮ่องเต้องค์ก่อน อีกทั้งยังขยายอำนาจอย่างต่อเนื่อง
รอจนกระทั่งเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ อำนาจของตระกูลขุนนางก็กระจายไปทั่วทั้งภายในและภายนอกราชสำนักแล้ว บัณฑิตสามัญชนที่ถูกรับเข้ามาในราชวงศ์จงจ้งถูกตระกูลขุนนางขับไล่ออกจากราชสำนักไปตลอดชีวิต สถานการณ์ในวันนี้มีสาเหตุมาจากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”
เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว “เจ้ามีความเห็นตรงกับข้าอย่างหาได้ยาก ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีปณิธานใหญ่แต่ละเลยผู้มีความสามารถ หากมิใช่ฮ่องเต้จงจ้งสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้แก่เขา บัลลังก์ของเขาคงไม่มั่นคงเช่นนั้น”
ร่างกายของเซียวเฉิงเหวินโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย เขาพูดอย่างจริงจัง “ท่านคิดว่าการตายของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ เป็นเพราะถูกคนใส่ร้าย อีกทั้งยังพัวพันกับคดีไสยศาสตร์จริงหรือ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง”
“อย่าได้พูดเหลวไหล!” เซียวฮูหยินตะหวาด
เซียวเฉิงเหวินกลับหัวเราะขึ้นมา “ข้าไม่เชื่อว่าหลายปีนี้ท่านไม่เคยสืบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ข้าบอกสาเหตุกับท่าน ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ จำเป็นต้องตายเพราะเขาสนับสนุนการสอบคัดเลือก เขาให้ความสำคัญกับบัณฑิตสามัญชน หากเขาได้ขึ้นครองราชย์ ตระกูลขุนนางกับแม่ทัพท้องถิ่นจะมีทางรอดได้อย่างไร
ฮ่องเต้จงจ้งเพียงคนเดียวก็กดขี่จนพวกเขาแทบหายใจไม่ออกแล้ว หากมี ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ที่สนับสนุนการสอบคัดเลือกอีก ตระกูลขุนนางย่อมหมดทางรอดอย่างสิ้นชิง ดังนั้น ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ จำเป็นต้องตาย! อีกทั้งยังต้องตายอย่างอนาถและทารุณอย่างยิ่ง
ใช้การตายของเขาตักเตือนคนทั้งแผ่นดิน หากบังอาจแตะต้องผลประโยชน์ของตระกูลขุนนาง แม้จะเป็นองค์รัชทายาทก็ยากที่จะหนีพ้นความตาย ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้จงจ้งก็ถูกพวกเขาควบคุมอยู่ในกำมือ ดังนั้นท่านแค้นผิดคนมาตั้งแต่แรก”
ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ต้องตายไม่ใช่ฮ่องเต้องค์ก่อน ไม่ใช่ฮ่องเต้จงจ้ง หากแต่เป็นตระกูลขุนนางกับแม่ทัพท้องถิ่น ท่านแก้แค้นผิดคน การบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว้ยมีเพียงจะทำให้ศัตรูได้ใจ ท่านหญิงจู้หยาง ขอให้ท่านได้โปรดล้มเลิกการแก้แค้น พุ่งเป้าของท่านไปยังตระกูลขุนนางแทน พวกเขาถึงจะเป็นศัตรูของท่าน”
เงียบ!
เงียบอย่างต่อเนื่อง!
ภายในห้องพัก ได้ยินแต่เสียงฟองจากน้ำที่เดือดในเหยือกน้ำที่ตั้งอยู่บนเตาดิน
น้ำชาในแก้วชามีควันลอยขึ้นมา
แสงอาทิตย์ส่องผ่านร่องประตูเข้ามา
ไม่รู้ว่าฝนหยุดตกเมื่อใด ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นขับไล่หมอกทึบบนหัว
“ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์”
ทันทีที่สิ้นเสียง แก้วชาล้มลง น้ำชาไหลออกมา
เซียวฮูหยินลุกขึ้นจากไป “ใช้วาทศิลป์ของเจ้าไปโน้มน้าวฮ่องเต้ได้ ข้าคงจะยอมรับเจ้าจริงๆ มิฉะนั้น เจ้าอย่าคิดจะยั่วยุข้าด้วยวาจาที่เหลวไหล”
เซียวเฉิงเหวินตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าพูดจาเหลวไหลหรือไม่ ท่านหญิงมีคำตอบอยู่ภายในใจแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่กล้าเผชิญกับความจริง ท่านกำลังหวาดกลัวหรือ ท่านก็กลัวตระกูลขุนนางหรือ อย่างไรพวกเขาก็มีอำนาจแข็งแกร่ง คนทั่วไปไม่อาจจัดการพวกเขาได้”
เซียวฮูหยินหันกลับมาหัวเราะเย้ยหยัน “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่สิ้นเปลืองน้ำลายอยู่ตรงนี้ หากแต่เข้าวังหลวงไปสังหารฮ่องเต้ สังหารพี่น้องเพื่อให้ตนเองได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อถึงเวลานั้น แผ่นดินนี้จะบริหารอย่างไร เจ้าเป็นคนตัดสินใจ!”