คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 289 ปลดฮองเฮา
ตอนที่ 289 ปลดฮองเฮา
ภายใต้การ ‘เกลี้ยกล่อม’ ของบรรดาขุนนางราชสำนัก ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงยอมจำนนอีกครั้ง
เขาหงุดหงิด ขุ่นเคือง แต่ก็หาทางระบายไม่ได้
เมื่อมองดูบรรดาขุนนางราชสำนักจากไปด้วยความหยิ่งผยอง เขาก็ชักดาบออกมา โบกสะบัดไปทั่วตำหนักใหญ่
บรรดาขันทีและนางในตกใจจนกรีดร้องเสียงแหลม หนีกระเจิดกระเจิง
เกรงว่าตนแองจะกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของฮ่องเต้
“อ้ากกก…”
ฮ่องเต้หย่งไท่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ เสียงของเขาสะเทือนไปถึงหลังคา
โครม!
เสียงร้องเงียบไปอย่างกะทันหัน ฮ่องเต้ล้มลงไปทางด้านหลัง
…
ฮ่องเต้ทรงประชวร!
เขาโกรธจนหมดสติล้มลงกับพื้น ขันทีไม่ทันได้พยุงเขาเอาไว้ ทำให้ศีรษะของเขากระแทกลงพื้นจนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลนองเต็มพื้น
เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงมาก
ขันทีและนางในทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนถูกจับเอาไว้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด หรือน่าสงสารเพียงใดก็ตาม
หากฮ่องเต้ทรงไม่เป็นอันใด พวกเขายังมีโอกาสรอดชีวิต
หากฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บอันใด คนเหล่านี้ล้วนต้องตาย!
ซุนปังเหนียนกลับมาปรนนิบัติข้างกายของฮ่องเต้หย่งไท่ เวลานี้มีเพียงเขาที่เหมาะสมจะอยู่ข้างกายฮ่องเต้
เถาฮองเฮาเฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ยืนอยู่ด้านข้าง “หมอหลวงบอกว่า พระอาการของเสด็จพ่อในคราวนี้รุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากต้องการทรงมีอายุยืนยาว อย่าได้ใจร้อน อย่าได้อารมณ์ขึ้นลงมาก”
เถาฮองเฮาถอนหายใจ “เสด็จพ่อของเจ้านับวันยิ่งอารมณ์ร้าย คนก็ดื้อรั้น ไม่ฟังผู้ใดทั้งสิ้น นอกเสียจาก…บรรดาขุนนางบีบเค้น เขาจึงจะยมจำนน ขุนนางราชสำนักเหล่านั้นรังแกกันเกินไป ไม่รู้จักคล้อยตามเสด็จพ่อของเจ้า เอาแต่จะเป็นปรปักษ์กับเสด็จพ่อของเจ้า”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “กระหม่อมคิดว่า พระราชบุตรเขยหลิวไม่ออกจากเมืองหลวงไปหลบภัยก่อน ก็ต้องให้องครักษ์จินอู่ล้อมจวนองค์หญิงเอาไว้ มิฉะนั้น หากคราวหน้ากองทัพเหลียงโจวเกิดเรื่องใดขึ้นอีก เสด็จพ่อก็ทรงต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากอีก เสด็จแม่ เวลานี้เสด็จแม่ยังล้มลงไม่ได้ แผ่นดินไม่มีเสด็จพ่อไม่ได้”
สีหน้าของเถาฮองเฮายากที่จะคาดเดา นางไม่ได้หันหน้ากลับไปมององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ เพียงแค่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ามั่นใจหรือ”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้พยักหน้าอย่างหนัก “กระหม่อมมั่นใจ!”
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ เขาก็กดเสียงต่ำ ใช้น้ำเสียงในระดับที่ได้ยินเพียงสองคนพูดขึ้น “กระหม่อมไม่รีบ”
เถาฮองเฮากัดฟันด้วยความไม่พอใจ
เขาไม่รีบ แต่นางรีบ!
นางหลับตาพลันถอนหายใจด้วยความระอา
“ถ่ายทอดรับสั่งของข้า ลงโทษให้พระราชบุตรเขยหลิวออกจากเมืองหลวงไปตรวจดูแปลงนาหลวง ไม่มีรับสั่งห้ามกลับเมืองหลวง”
เซียวเฉิงอี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสด็จแม่ทรงตัดสินพระทัยถูกต้องแล้ว”
เถาฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าหลังจากที่เสด็จพ่อของเจ้าฟื้นขึ้นมาจะไม่โทษข้า ทางตะวันตกเฉียงเหนือ กองทัพเหลียงโจวไม่ได้รับรางวัลที่ต้องการ พวกเขาย่อมต้องก่อเรื่องขึ้นในไม่ช้า หากให้ข้าพูด พวกเราต้องเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่จากเยียนโส่วจ้าน”
“เรื่องนี้ต้องให้เสด็จพ่อทรงอนุญาต! หากแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เยียนโส่วจ้านย่อมไม่มีทางอยู่เฉย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะก่อเรื่องขึ้นมา”
เถาฮองเฮาหัวเราะเย้ยหยัน “เยียนโส่วจ้านคนเดียว มีกองทัพเหนืออยู่ เขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ กองทัพเหลียงโจวจึงจะเป็นภัยที่แท้จริง หากไม่สยบไฟโกรธของกองทัพเหลียงโจว ปัญหาก็แก้ไขไม่ได้ เสด็จพ่อของเจ้าดื้อรั้นเกินไป อีกทั้งยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่อยากจะกลับคำ…แต่เขาไม่ลองคิดดู เรื่องแบบนี้เขาทำมากี่ครั้งแล้ว คงไม่ต้องสนใจแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
เซียวเฉิงอี้พูดเสียงเบา “คราวนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา”
ที่ผ่านมา เพียงแค่จัดการกับตระกูลเดียว
เวลานี้ถีบหัวส่งเยียนโส่วจ้าน ไม่ใช่เพียงตระกูลเดียว หากแต่เป็นทั้งกองทัพโยวโจว
หากเกิดเรื่องขึ้นมาย่อมมีการสั่นคลอนไม่น้อย
เถาฮองเฮาไตร่ตรองผลดีและผลเสีย “แต่อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้กองทัพเหลียงโจวก่อเรื่อง”
กองทัพเหลียงโจวเป็นกองทัพแข็งแกร่งที่ทั่วทั้งแผ่นดินยอมรับ เยียนโส่วจ้านเมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพเหลียงโจวก็ทำได้เพียงยอมรับความอ่อนแอ
การเปรียบเทียบที่ชัดเจนเช่นนี้ ยังต้องลังเลว่าจะเลือกทางใดอีกหรือ
ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย!
สาเหตุที่ฮ่องเต้ทรงลังเล ตัดสินพระทัยไม่ได้เสียทีก็เป็นเพียงเพราะศักดิ์ศรี กลัวถูกคนนินทา
เฮ้อ…
การเดินหมากผิดทีละก้าว สุดท้ายก็เดินมาถึงวันนี้
เถาฮองเฮาแทบจะทนมองไม่ได้
“แผ่นดินดีๆ กลับต้องเต็มไปด้วยบาดแผลและสงครามภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ช่างน่าเสียดาย!”
นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงออกพระราชโองการปลงพระชนม์บรรดาท่านอ๋องเป็นต้นมาก็ผิดพลาดแล้ว
เขากำจัดบรรดาท่านอ๋องอย่างโหดเหี้ยมเกินไป จนกระทั่งไม่มีอำนาจกลุ่มหนึ่งมาต่อต้านตระกูลขุนนาง จึงทำให้เกิดหายนะในวันนี้ขึ้นมา
หากฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ทรงเด็ดขาดเพียงนั้น หลงเหลือท่านอ๋องไว้เพื่อข่มตระกูลขุนนางในแต่ละท้องถิ่น สถานการณ์ก็คงไม่กลายเป็นเหมือนดั่งทุกวันนี้
หากฮ่องเต้ไม่ทรงทอดทิ้งตระกูลเถาหลังจากใช้ประโยชน์แล้ว วันนี้ตระกูลเถาย่อมจะช่วยเหลือฮ่องเต้อย่างซื่อสัตย์
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาอ้างว่าป่วยจึงไม่ออกจากจวน แม้เถาฮองเฮาจะเรียกเขาเข้าเฝ้าหลายครั้ง เขาก็ไม่ยอมเข้าวัง
เห็นได้ชัดว่าเขากลัว!
กลัวถูกคิดบัญชีย้อนหลัง!
…
ฮ่องเต้ทรงหมดสติไปสองวัน
ทั้งภายในและภายนอกวังหลวง ทั้งภายในและภายนอกราชสำนัก ทุกคนต่างหวั่นใจ
คนส่วนมากต่างตื่นตระหนก!
“ฮ่องเต้คงไม่สวรรคตใช่หรือไม่”
“หากฮ่องเต้ทรงข้ามผ่านมันไปไม่ได้ จะทำอย่างไรดี”
“ฮ่องเต้ยังไม่ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท หากจากไปอย่างกะทันหัน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะต้องทำอย่างไร”
แต่ละคนในแต่ละมุมของเมืองหลวงต่างจับจ้องไปยังทิศทางของวังหลวง รอคอยเสียงระฆังแห่งความสูญเสียดังขึ้น
กองทัพเหนือเตรียมกองทัพ พวกเขากังวลยิ่งกว่าเวลาใดทั้งสิ้น
ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงราวกับกำลังจะมีลมพายุพัดผ่าน
บรรดาองค์ชายต่างมีแผนการของตนเอง ไม่มีผู้ใดสามารถนอนหลับได้
ทุกคนกำลังรอบทสรุป
เซียวฮูหยินส่งคนออกจากเมืองหลวงไปเตือนไม่ให้เยียนอวิ๋นเกอกลับเมืองหลวงมา
หากเมืองหลวงเกิดการจลาจลขึ้น นางอยู่นอกเมืองยังสามารถหาแผนการรับมือได้บ้าง
เยียนอวิ๋นเกอนำองครักษ์ส่วนตัวปักหลักอยู่ในแปลงนาที่ห่างจากเมืองหลวงห้าสิบลี้ นางคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวทางเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเห็นฮ่องเต้ไม่ทรงฟื้นขึ้นมาเสียที หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ตัดสินใจเข้าวังเพื่อทูลขอคำชี้แนะในการเตรียมพิธีพระราชบรมศพหรือไม่จากเถาฮองเฮา
ไม่คิดว่าเวลาสองวันเต็ม ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็ยังคงฟื้นขึ้นมา
เขาอ่อนแออย่างมาก ตาพร่ามัว
เมื่อเขารู้ว่าตนเองหมดสติไปสองวัน เรื่องแรกที่ทำก็คือรับสั่งให้แม่ทัพกองทัพเหนือเข้าเฝ้า เรื่องที่สองก็คือรับสั่งให้ซุนปังเหนียนปิดเมืองหลวง ให้องครักษ์จินอู่เฝ้ารักษาตำหนักซิงชิ่ง
ซุนปังเหนียนโน้มตัวรับคำสั่ง พร้อมทั้งพูดขึ้น “วันที่ฝ่าบาททรงหมดสติ กระหม่อมบังอาจให้องครักษ์จินอู่เข้าวังมาเฝ้ารักษาตำหนักซิงชิ่ง สองวันนี้ขุนนางราชสำนักและเชื้อพระวงศ์อยากเข้ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาท กระหม่อมบังอาจกีดขวางพวกเขาไว้นอกตำหนัก ไม่อนุญาตให้พวกเขารบกวนฝ่าบาท”
“เจ้าทำถูกแล้ว!”
ฮ่องเต้หย่งไท่โล่งใจ
“ข้าจะพบเพียงแม่ทัพกองทัพเหนือ ยังไม่พบผู้อื่นในเวลานี้”
ซุนปังเหนียนลังเลเล็กน้อย “สองวันนี้เถาฮองเฮาทรงเฝ้าอยู่ในตำหนักซิงชิ่งเสมอ ไม่ว่ากระหม่อมจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร นางก็ไม่ยอมจากไป”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดด้วยความอ่อนเพลีย “ไม่ต้องสนใจนาง เจ้าให้นางอยู่อย่างสงบ ข้าย่อมไม่ทำให้นางลำบากใจ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
รับสั่งถูกถ่ายทอดลงไปทีละอย่าง ไม่นานนัก ทุกคนต่างรู้ว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว
มีคนดีใจ มีคนก่นด่า มีคนเสียใจ…
แต่ละคนล้วนมีอารมณ์ที่ปะปนต่างกันไป
มีกองทัพเหนือปักหลักอยู่ในเมืองหลวง เมืองหลวงย่อมปลอดภัยไร้กังวล คิดว่าบนแผ่นดินนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ามาท้าทายบารมีของกองทัพเหนือ
เพียงแค่เมืองหลวงไม่เกิดความวุ่นวาย แผ่นดินต้าเว่ยย่อมจะมั่นคง
ฮ่องเต้หย่งไท่เรียกหมอหลวงเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์
หลังจากเข้าเฝ้ากว่าครึ่งชั่วยาม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหมอหลวงทูลสิ่งใดต่อฮ่องเต้บ้าง
อย่างไรก็ตาม หลังจากหมอหลวงถอยออกมาครึ่งชั่วยาม เขาก็ดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง
ความลับถูกหมอหลวงนำเข้าไปในหีบศพ กลายเป็นความลับไปตลอดกาล
เถาฮองเฮาตกใจเล็กน้อย
หมอหลวงดื่มยาพิษปลิดชีพตนเองเป็นสัญญาณที่ไม่ดีอย่างมาก
มันหมายความว่าหมอหลวงทูลบอกเรื่องที่ร้ายแรงมากต่อฮ่องเต้ ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องป้องกัน เขาจำเป็นต้องดื่มยาพิษปลิดชีพตนเองเพื่อรักษาความลับ
นางถูกเชิญเข้าตำหนักบรรทม
หลังจากวุ่นวายมาสักพัก ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็ทรงยอมสละเวลาพบนาง
สีหน้าของฮ่องเต้ย่ำแย่อย่างมาก ทั้งซีดเซียว ทั้งอ่อนเพลีย ท่าทางราวกับถูกดูดวิญญาณไปจนหมดเหมือนกับคนชราที่ใกล้ตาย
เถาฮองเฮาเสียใจเล็กน้อย นางนั่งลงที่ข้างเตียง “ฝ่าบาทควรทรงพักรักษาพระวรกายให้ดี เรื่องด้านนอกทรงรับสั่งให้คนด้านล่างไปทำเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่นั่งพิงหัวเตียงพลันหอบหายใจ
ลมหายใจของเขาหนักมาก ทำให้คนรู้สึกว่าเขาหายใจลำบาก
เขาจ้องมองเถาฮองเฮา “ตามที่เจ้าปรารถนา ข้ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว”
เถาฮองเฮาอ้าปากตำหนิ “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงตรัสเช่นนี้เพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็คิดเรื่องหนึ่งอยู่เสมอ หากคราวนี้ข้าไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ จากไปในขณะที่หมดสติ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทจะเกิดเหตุการณ์อย่างไร เมืองหลวงจะเกิดการจลาจลหรือไม่ ต่อมาข้าครุ่นคิดแล้ว เมืองหลวงคงไม่เกิดการจลาจล
ถึงแม้ข้าจะจากไปแล้ว แต่ฮองเฮายังอยู่ กองทัพเหนือจะฟังเจ้า เจ้าอาศัยการปกป้องของกองทัพเหนือย่อมสามารถทำให้เจ้าสามขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าย่อมจะเป็นพระพันปี เสียดายเพียงหมอหลวงยังพอมีความสามารถ เขาดึงข้ากลับมาได้ เจ้ารู้สึกเสียดายหรือไม่”
เถาฮองเฮาหัวเราะ “ฝ่าบาทอย่าทรงคิดว่าหม่อมฉันร้ายเพียงนั้น แผ่นดินวุ่นวายต้องให้ฝ่าบาททรงกอบกู้กลับมา เจ้าสามบารมีไม่เพียงพอ ทั้งข่มขุนนางตระกูลใหญ่ไว้ไม่ได้ ทั้งข่มเชื้อพระวงศ์ไว้ไม่ได้ หากเขานั่งบัลลังก์ของฝ่าบาท เกรงว่าแม้แต่วันเดียวก็ยังทำไม่ได้”
“ฮ่าๆๆ…”
คำพูดของเถาฮองเฮาทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเทียบกับคำพูดหลอกลวงที่ไพเราะ ฮ่องเต้หย่งไท่โปรดปรานที่จะได้ยินเถาฮองเฮาพูดความจริงเสียมากกว่า โดยเฉพาะคำพูดที่กึ่งจริงกึ่งเท็จ ไพเราะที่สุด
เขากุมมือของเถาฮองเฮาเอาไว้ “บารมีของเจ้าสามไม่เพียงพอ จะทำอย่างไรกัน! สักวันหนึ่ง ข้าต้องจากไป”
เถาฮองเฮาตากระตุก นางถามสิ่งที่สงสัยอยู่ภายในใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ฝ่าบาททรงคิดจะแต่งตั้งเจ้าสามเป็นองค์รัชทายาทหรือเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่มองนางด้วยรอยยิ้มรู้ทัน “กี่ปีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ถามคำถามนี้ออกมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอเจ้าถามเรื่องนี้มานานเพียงใดแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าเมื่อเจ้าสามกลับมาจากการบรรเทาภัยพิบัติเมื่อปีก่อน เจ้าก็จะถาม ไม่คิดว่าเจ้าจะอดทนเพียงนี้ อดทนมาจนถึงวันนี้ อดทนจนร่างกายของข้าแย่ลงทุกวัน เจ้าจึงจะถามออกมา”
เถาฮองเฮาอ้าปากค้าง ภายในใจทั้งขุ่นเคืองทั้งระอา
นางทำหน้าขุ่นเคืองและน้อยใจ “คำถามเช่นนี้จะถามออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร หากหม่อมฉันถามออกมา ฝ่าบาทคงจะปลดหม่อมฉันไปนานแล้ว”
“เวลานี้ข้าก็ปลดเจ้าได้!”
สีหน้าของเถาฮองเฮาเปลี่ยนไปทันที นางไม่อยากเชื่อ
“ฮ่าๆๆ…”
ฮ่องเต้หย่งไท่เปล่งเสียงหัวเราะร่า เขาลูบไล้แก้มของเถาฮองเฮา “ข้าหลอกเจ้า ดูสีหน้าของเจ้า ตกใจมากใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าข้าจะปลดเจ้าจริงหรือ”