คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 293 องค์หญิง
ตอนที่ 293 องค์หญิง
ฮ่องเต้ตัดสินใจจะเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังถูกส่งไปถึงหูของท่านหญิงจู้หยางหรือเซียวฮูหยินอย่างรวดเร็ว
นางดื่มเห็ดหูหนูขาวตุ๋นพลันยิ้มเชิงดูถูก “ข้าคิดอยู่แล้วว่าฮ่องเต้จะทำเช่นนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ความสามารถในการกลับกลอกของฮ่องเต้นับวันยิ่งเชี่ยวชาญ เวลานี้แม้แต่เกียรติก็ไม่เอาแล้ว”
เยียนอวิ๋นฉีนั่งอยู่ข้างกายนาง “ฝ่าบาททรงให้องค์ชายสามอยู่ข้างกายทุกวัน ไม่ยอมให้ห่าง เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงคิดจะฝึกฝนองค์ชายสาม ทั้งภายในและภายนอกราชสำนักต่างบอกว่า ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน”
เซียวฮูหยินชะงักไป จากนั้นถามนาง “องค์ชายสองทรงพูดเรื่องใดหรือไม่”
เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้า “ระยะนี้องค์ชายสองทรงพระอาการกำเริบ ลุกจากเตียงไม่ได้ เขาไม่ได้ตรัสถามถึงเรื่องในราชสำนักแม้แต่น้อย”
เซียวฮูหยินยิ้มเย็น เกรงว่าจะล้มป่วยเพราะโกรธเซียวเฉิงอี้
“ข้าอยากจะเข้าวังไปดูพระอาการของฝ่าบาท แต่ภายในวังไม่อนุญาต ระยะนี้เจ้าได้เข้าวังหรือไม่”
“ข้าไม่ได้เข้าวังมาระยะหนึ่งแล้ว พระอาการของฝ่าบาททรงเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่แน่ใจ ท่านแม่ ฝ่าบาทจะทรงเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ ท่านพ่อย่อมไม่รับปาก เรื่องนี้จะเดือดร้อนท่านแม่หรือไม่”
เซียวฮูหยินตั้งใจครุ่นคิด “นิสัยใจร้อนของท่านพ่อล้วนเป็นที่รู้ดีของผู้คน ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ พระองค์ย่อมต้องชดเชยให้แก่ท่านพ่อของเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ชดเชยให้จะทำให้ท่านพ่อของเจ้าพึงพอใจได้หรือไม่”
“หากท่านพ่อไม่พอใจกับสิ่งที่ชดเชย ไม่ยอมส่งคืนเมืองป๋อไฮ่จะทำอย่างไร”
“เขาไม่สามารถคัดค้านได้ ท่านพ่อของเจ้าจะต้องยอม”
เซียวฮูหยินพูดอย่างมั่นใจ
เยียนอวิ๋นฉีพึมพำ “ให้ท่านพ่อคายเมืองป๋อไฮ่ที่กลืนเข้าไปแล้วออกมา เกรงว่าท่านพ่อจะโกรธจนอกแตกตาย!”
เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “ท่านพ่อเจ้าร่างกายแข็งแรง ไม่ตายหรอก! ปีนี้ยังมีน้องชายและน้องสาวให้เจ้าเพิ่มอีกสองคน”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เยียนอวิ๋นฉีก็อดที่จะกลอกตาไม่ได้
“หากน้องสี่รู้ว่าท่านพ่อมีน้องชายและน้องสาวให้พวกข้าเพิ่มอีกสองคน นางย่อมต้องเขียนจดหมายกลับไปต่อว่า พร้อมทั้งฉวยโอกาสขอเงิน หากใช้คำพูดของน้องสี่ ท่านพ่อร้องบอกว่ายากจนทั้งวัน แต่กลับมีเงินเลี้ยงบุตรชายบุตรสาวของอนุภรรยา เห็นได้ชัดว่าตระหนี่ เงินใช้อยู่บนตัวเขา เขาไม่เสียดายแม้แต่น้อย แต่ใช้อยู่บนตัวพวกเรา เกรงว่าใจเขาคงต้องสั่นไม่น้อย”
เมื่อเซียวฮูหยินได้ยินจึงหัวเราะออกมา “อวิ๋นเกอเชี่ยวชาญกับการรับมือท่านพ่อเจ้า วันอื่นให้อวิ๋นเกอเขียนจดหมายไปขอเงินสักก้อน”
“ท่านแม่ไม่กังวลแม้แต่น้อยหรือ ท่านพ่อแต่งอนุภรรยาทุกปี บุตรชายบุตรสาวกำเนิดออกมาตามกัน อีกทั้งยังก่อเรื่องวุ่นวายมากมาย เวลานี้ฝ่าบาทจะทรงเรียกคือเมืองป๋อไฮ่ หากท่านพ่อโกรธขึ้นมา อาจจะพาลโกรธท่านแม่ด้วยก็เป็นได้”
“แคว้นซ่างกู่ห่างไกลจากเมืองหลวง เขาจะพาลโกรธข้าอย่างไร ทำให้อวิ๋นถงลำบากหรือ อวิ๋นถงไม่ใช่เด็กโง่ในอดีตแล้ว หากเขาคิดจะทำให้อวิ๋นถงลำบากก็ต้องไตร่ตรองผลที่ตามมา ภัยคุกคามทางชายแดนถูกขจัดไม่เท่ากับทางตะวันตกเฉียงเหนือจะสงบสุข โจรกบฏก่อเรื่องวุ่นวายเพียงนั้น เขายังต้องอาศัยอวิ๋นถงนำทัพทำสงคราม เจ้าวางใจ ท่านพ่อเจ้าเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าควรเลือกอย่างไร!”
เยียนอวิ๋นฉีถึงจะวางใจ
…
ทุกคนกำลังคาดเดากันว่าฮ่องเต้จะใช้วิธีการใดเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่กลับจากเยียนโส่วจ้าน
ข้อถกเถียงมากมายเกิดขึ้นในเมืองหลวง
เซียวฮูหยินก็มีการคาดเดาต่างต่างนานา
แต่นางไม่เคยคิดว่าจะมีขันทีมาถ่ายทอดพระราชโองการถึงจวนท่านหญิง นางได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากท่านหญิงเป็นองค์หญิง
นับจากนี้ไป นางคือองค์หญิงจู้หยาง ไม่ใช่ท่านหญิงจู้หยาง
เซียวฮูหยินทำหน้าฉงน ก่อนจะกระจ่างใจในทันที
ทันใดนั้น นางก็เข้าใจการเตรียมการของฮ่องเต้
สถาปนายศศักดิ์!
มีเพียงสถาปนายศศักดิ์เหมาะสมที่สุด ทำให้ไม่มีผู้ใดตำหนิได้
ใช้ยศศักดิ์แลกเมืองป๋อไฮ่คืน ผู้ใดกล้าบอกว่าฮ่องเต้ไร้สัจจะ
ถึงแม้ภายในใจทุกคนต่างรู้ดีว่าน้ำหนักของยศศักดิ์หนึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับเมืองป๋อไฮ่ได้
แต่ภายนอกนั้น ยศศักดิ์สามารถเทียบกับเมืองป๋อไฮ่ได้
มันคือมูลค่าทางตลาด แตกต่างจากมูลค่าบนกระดาษ
ฮ่องเต้ใช้มูลค่าบนกระดาษเจรจากับเยียนโส่วจ้าน ปฏิเสธที่จะเจรจาด้วยมูลค่าทางการตลาด
เยียนโส่วจ้านจะทำอย่างไรได้
เพียงแค่เขายังเป็นแม่ทัพของราชวงศ์ต้าเว่ยอยู่หนึ่งวัน เขาก็ต้องจำใจยอมรับมัน
ในเวลาเดียวกัน ฮ่องเต้ยังเลื่อนขั้นให้เซียวฮูหยินก็เพียงเพื่อให้เซียวฮูหยินมียศที่เพียงพอในการควบคุมเยียนโส่วจ้าน
ทุกอย่างสามารถเข้าใจได้แล้ว!
เซียวฮูหยินน้อมรับพระราชโองการ
ขันทีที่มาถ่ายทอดพระราชโองการยิ้มแย้ม “ยินดีกับองค์หญิง ไม่รู้ข้ามีเกียรติพอที่จะขอสุราดื่มสักจอกหรือไม่”
“ขอบพระคุณกงกงที่ไม่รังเกียจ ทางห้องโถงได้จัดเตรียมโต๊ะอาหารเอาไว้แล้ว กงกงเชิญทางนี้”
“องค์หญิงเกรงใจแล้ว! วันนี้ข้าต้องขอรบกวนด้วย”
แม้จะบอกว่าดื่มสุรา แต่ความจริงแล้วเป็นการสนทนา
ซองแดงหนาถูกมอบออกมา ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการยิ้มตาหยี มองผู้ใดก็ระรื่นตา
เซียวฮูหยินถามอย่างตรงไปตรงมา “ข้าอยากรู้ว่าทางท่านโหวกว่างหนิงเยียนโส่วจ้าน มีเตรียมคนไปถ่ายทอดพระราชโองการหรือไม่”
“องค์หญิงถามถูกคนเสียจริง ไม่ปิดบังองค์หญิง คนที่ถ่ายทอดพระราชโองการให้ท่านโหวกว่างหนิงออกจากเมืองหลวงไปอย่างลับๆ เมื่อห้าวันก่อนแล้ว หากระหว่างทางราบรื่น ไม่แน่ว่าอาจเดินทางถึงเขตแดนโยวโจวแล้ว”
“ออกเดินทางเมื่อห้าวันก่อนแล้ว?”
“ถูกต้อง!”
“กงกงบอกเนื้อหาของพระราชโองการได้หรือไม่”
ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการหัวเราะขึ้นมา
เซียวฮูหยินรีบมอบซองแดงขนาดใหญ่อีกใบทันที
ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการชั่งน้ำหนักของซองแดง ก่อนจะพูดขึ้น “ตามที่ข้ารู้ เนื้อหาของพระราชโองการโดยรวมก็คือให้ท่านโหวกว่างหนิงเลือกบุตรชายคนหนึ่งให้ราชสำนักสถาปนายศ ส่วนจะสถาปนาผู้ใดล้วนขึ้นอยู่กับท่านโหวกว่างหนิงตัดสินใจ”
“ยศใด” เซียวฮูหยินถาม
ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการพูด “ขุนนางระดับสี่!”
เมื่อเซียวฮูหยินได้ยินจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการพูดเสียงดัง “วันนี้ดื่มสุราขององค์หญิง รบกวนเป็นเวลานานแล้ว ข้าควรกลับไปทูลรายงานภารกิจในวังหลวงแล้ว”
“ผู้ใดก็ได้ ส่งกงกงออกจากจวน”
เมื่อได้รู้ข่าวที่ควรรู้แล้ว เซียวฮูหยินจึงไม่ได้รั้งขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการอีก
นางพึมพำ “มิน่าฮ่องเต้ทรงเลื่อนยศข้า ที่แท้เขาเตรียมการไว้ทั้งสองฝั่งแล้ว”
…
เยียนอวิ๋นฉวนตื่นตระหนกอย่างมาก เขาเหมือนแมลงวันที่กำลังบินว่อน
เนื่องจากเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดาได้เมืองป๋อไฮ่มา เดิมทีเขาจึงคิดออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
ไม่คิดว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ออกเดินทาง ภายในวังหลวงก็มีข่าวส่งออกมาอีก ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่
เขาสับสนอย่างมาก
สุดท้ายเรื่องนี้ยังไม่ทันจบ เขาก็ได้ข่าวอีกว่าฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการเลื่อนยศของเซียวฮูหยิน จากท่านหญิงเป็นองค์หญิง
เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงกังวลอย่างมาก!
“เวลานี้สมองข้าสับสนอย่างมาก ไม่มีทางจัดการความคิดได้ ที่ปรึกษาหวังโปรดช่วยข้าวิเคราะห์ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”
“นายน้อยยังดูไม่ออกอีกหรือ ฝ่าบาททรงเลื่อนยศให้ฮูหยินถือเป็นการเตรียมตัวในการเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่อย่างราบรื่น!”
“สถาปนายศเกี่ยวข้องกับเมืองป๋อไฮ่?”
เวลานี้สมองของเยียนอวิ๋นฉวนสับสนอย่างมาก เขาไม่สามารถไตร่ตรองได้
ที่ปรึกษาหวังทำได้เพียงวิเคราะห์ให้เขาทีละข้อ
“ฮ่องเต้ทรงต้องการเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ ถือว่าเป็นการกระทำกลับกลอก ท่านโหวไม่มีทางยอม แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงมุ่งมั่น ปัญหาคือจะบรรเทาไฟโกรธของท่านโหวอย่างไร มีเพียงสถาปนายศศักดิ์! ข้าต้องยินดีกับนายน้อย”
“ข้ามีเรื่องใดให้ยินดี” เยียนอวิ๋นฉวนฉงนอย่างมาก
ที่ปรึกษาหวังลูบเคราพลันหัวเราะร่า “เพียงแค่เลื่อนยศให้ฮูหยินไม่สามารถเปลี่ยนใจท่านโหวได้ มีเพียงสถาปนายศให้นายน้อยจึงจะทำให้ท่านโหวยอมจำนน ซึ่งหมายความว่าคราวนี้ตระกูลเยียนได้ยศถึงสองตำแหน่ง”
เยียนอวิ๋นฉวนอ้าปากด้วยความเหลือเชื่อ
“ท่านไม่ได้หลอกข้า? ฝ่าบาทจะทรงสถานปนายศให้ข้าจริงหรือ เหตุใด…”
เหตุใดขันทีถ่ายทอดพระราชโองการจึงยังไม่มา
ที่ปรึกษาหวังรีบพูด “นายน้อยอย่าใจร้อน ยศนี้จะตกเป็นของผู้ใดย่อมต้องให้ท่านโหวตัดสินใจ จากความโปรดปรานของท่านโหวที่มีต่อนายน้อย ยศนี้ย่อมเป็นของนายน้อย”
เยียนอวิ๋นฉวนกระจ่างในทันที
ที่แท้ยังต้องรอเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดาตัดสินว่ายศจะมอบให้ผู้ใด
“หากเป็นเช่นนี้ ขันทีถ่ายทอดพระราชโองการก็อยู่ระหว่างทางแล้ว”
“ย่อมอยู่ระหว่างทาง นายน้อยอดทนรอคอย ใช้เวลาเพียงไม่นานก็จะมีข่าวดีส่งมา”
เยียนอวิ๋นฉวนกลับขมวดคิ้วมุ่น “ที่ปรึกษาหวัง ข้าอยู่แต่ในเมืองหลวง ไม่พบกับท่านพ่อนับปี ท่านว่าท่านพ่อยังจะชื่นชมข้าเหมือนแต่ก่อนหรือไม่ ข้าได้ยินว่าปีนี้ท่านพ่อมีบุตรชายและบุตรสาวเพิ่มสองคน ข้าไม่สามารถตอบแทนอยู่ข้างกายท่านพ่อ เกรงว่าบรรดาน้องชายด้านล่างจะมีใจคิดจะแทนที่ข้ามานานแล้ว ข้าควรจะรีบกลับไป ไม่อยู่ในเมืองหลวงต่อหรือไม่”
ที่ปรึกษาหวังลูบเคราพลันครุ่นคิด “นายน้อยแยกจากท่านโหวหลายปีเป็นปัญหาก็จริง คนเราเมื่อแยกจากกันนาน ความสัมพันธ์ก็จืดจางลง ถึงแม้จะเป็นบิดากับบุตรก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ตระกูลเยียนเป็นตระกูลแม่ทัพ รากฐานยังคงอยู่บนกองทัพ
เป้าหมายที่นายน้อยมาเมืองหลวงก็เพื่อเปิดสถานการณ์ สั่งสมเส้นสาย วางสายสืบเพื่อสืบข่าว ภารกิจทั้งสามนี้บรรลุผลสำเร็จอย่างโดดเด่น ข้าคิดว่าไม่ว่าเส้นทางราชการในเมืองจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คำนึงถึงมรดกตระกูลเยียน นายน้อยก็ถึงเวลากลับไปรับใช้ท่านโหวแล้ว”
“ท่านก็คิดว่าข้าควรกลับไป?”
ที่ปรึกษาหวังพยักหน้า “หลังจากนายน้อยกลับไปแล้ว รีบจัดการเรื่องงานแต่งเสีย รีบมีผู้สืบทอดในเร็ววันสำคัญกว่าสิ่งใด”
เยียนอวิ๋นฉวนขมวดคิ้วครุ่นคิด สีหน้าลังเล
เขาดิ้นรนอยู่ในเมืองหลวงหลายปี หากให้ละทิ้งไปทันที ผู้ใดก็ไม่ยอม
เขามีเส้นสายของตนเองอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ไม่ว่าจะขุนนางฝ่ายราชการหรือแม่ทัพ เขาก็เข้าถึงได้
เขามั่นใจ เพียงแค่เมืองหลวงไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น ให้เวลาเขาอีกไม่กี่ปี เขาย่อมจะมีผลงานบนเส้นทางราชการ
เพียงแต่รากฐานของตระกูลเยียนไม่อยู่ในเมืองหลวง!
เขาต้องสืบทอดมรดกของตระกูลเยียน อย่างไรก็ต้องกลับไป
ตกลงว่าเส้นทางราชการสำคัญ หรือมรดกตระกูลสำคัญ
“ข้าต้องเขียนจดหมายกลับไปถามความคิดเห็นของท่านพ่อหรือไม่ ข้าคงไม่อาจตัดสินใจเอง ทำให้ท่านพ่อเข้าใจข้าผิดได้”
“นายน้อยต้องเขียนจดหมายกลับไปขอความคิดเห็นจากท่านโหว เรื่องนี้ช้าไม่ได้ นายน้อยรีบลงมือเวลานี้เถิด!”
“ท่านพูดถูก! โปรดชี้แนะ ควรใช้คำอย่างไรจึงจะโน้มน้าวท่านพ่อได้”
ที่ปรึกษาหวังสอนเยียนอวิ๋นฉวนทีละขั้นตอนเกี่ยวกับการเขียนจดหมายด้วยถ้อยคำจริงใจ
จากจุดนี้จึงเห็นได้ว่าเยียนอวิ๋นฉวนเรียนหนังสือได้ไม่เอาไหน
แต่ระดับการศึกษาของเขาเช่นนี้กลับสามารถเข้ากับบัณฑิตกลุ่มนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการปฏิสัมพันธ์ของเขาแข็งแกร่งเสียจริง
เรื่องการปฏิสัมพันธ์ ต่อหน้าเยียนอวิ๋นฉวน เยียนอวิ๋นเกอก็ทำได้เพียงยอมแพ้
เยียนอวิ๋นฉวนลงมือทำสิ่งใดล้วนมีหลักการ
เขาเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นชื่นชอบอย่างมาก
อยากจะเกลียดเขาช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียจริง