คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 302 ระวัง
ตอนที่ 302 ระวัง
“เยียนโส่วจ้านเรียกร้องมากเช่นนี้ ไม่กลัวติดคอหรืออย่างไร”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ขุ่นเคืองอย่างมา
ถึงแม้ยังไม่ได้ออกพระราชโองการอย่างเป็นทางการ แต่ถายในใจของเขา เขาได้ถือว่าตนเองเป็นองค์รัชทายาท เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินต้าเว้ยในอนาคตแล้ว
เยียนโส่วจ้านบีบบังคับราชสำนัก เท่ากับกำลังทำลายเขา เขาจะไม่แค้นได้อย่างไร
คนที่บังอาจบั่นทอนแผ่นดินล้วนสมควรตาย
ฮ่องเต้หย่งไท่ถอนหายใจ “เจ้าต้องจำไว้ ตระกูลขุนนาวงกับแม่ทัพล้วนเป็นภัยใหญ่ของราชสำนัก ต่อไปหากเจ้าได้ขึ้นครองราชย์ อย่าเดินตามรอยเท้าของข้า อย่าพยายามใช้พลังของราชสำนักไปปะทะกับตระกูลขุนนางหรือแม่ทัพ
ตระกูลขุนนางกับแม่ทัพดูเหมือนจะสันติ แต่ความจริงพวกเขาต่างไม่ชื่นชอบกันและกัน เพียงแค่ไม่มีภัยจากภายนอก พวกเขาย่อมจะปะทะกันในไม่ช้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือการหลอกใช้ประโยชย์จากแม่ทัพควบคุมตระกูลขุนนาง ในเวลาเดียวกันเจ้าก็ต้องใช้ตระกูลขุนนางควบคุมแม่ทัพ เจ้าต้องซึมซับบทเรียนจากข้า อย่าได้ลงมือเอง อย่าได้แสดงท่าทีอย่างง่ายดาย”
เซียวเฉิงอี้โน้มตัวรับคำสั่ง “กระหม่อมจดจำคำสอนของเสด็จพ่อ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่พึมพำอีกครั้ง “ตอนนั้นฮ่องเต้จงจ้งเปิดสมัครสอบคัดเลือกบัณฑิตสามัญชนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การสอบคัดเลือกมีผลกระทบต่อตระกูลขุนนางอย่างร้ายแรง เสียดายเพียงฮ่องเต้องค์ก่อนยกเลิกการสอบคัดเลือก ส่วนข้าก็หมดแรงที่จะเปิดการสอบคัดเลือกอีกครั้ง”
“เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล สักวันหนึ่งราชวงศ์ต้าเว้ยจะเปิดการสอบคัดเลือกอีกครั้ง”
“เจ้าก็เห็นด้วยกับการสอบคัดเลือก?”
“กระหม่อมย่อมเห็นด้วย ข้อดีของการสอบคัดเลือกไม่จำเป็นต้องพูดด้วยวาจา”
“ใช่! ข้อดีนั้นไม่จำเป็นต้องพูด้วยวาจา พวกเราสามารถมองเห็นข้อดีได้ ตระกูลขุนนางย่อมมองเห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงคัดค้านการสอบคัดเลือกอย่างสุดกำลัง คัดค้านคนที่สนับสนุนการสอบคัดเลือกทุกคน เจ้ารู้หรือไม่ เรื่องที่ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ในตอนนั้นทำผิดจริงๆ คือเรื่องใดหรือไม่ คือเขาสนับสนุนการสอบคัดเลือกอย่างเปิดเผย ทำให้ตระกูลขุนนางหวาดกลัว”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ใจเต้น ทันใดนั้นเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
“เสด็จพ่อทรงหมายความว่า สาเหตุที่ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ล้มเหลวเป็นเพราะเขาสนับสนุนการสอบคัดเลือกอย่างเปิดเผย?”
ฮ่องเต้หย่งไท่พยักหน้ายอมรับอย่างไม่ปิดบัง “สาเหตุที่เขาล้มเหลวคือเรื่องนี้ ดังนั้น ถึงแม้ในใจของเจ้าจะสนับสนุนารสอบคัดเลือก แต่เจ้าอย่าได้แสดงท่าทีต่อด้านนี้แม้แต่น้อย แม้แต่อยู่ต่อหน้าคนข้างกายก็อย่าได้เปิดเผยเจตนาทางด้านนี้ อย่าลืม วังหลังและราชสำนักเป็นหนึ่งเดียวกับตระกูลขุนนาง ไม่รู้ว่ามีขันทีประตูเหลือง ขันทีฝ่ายในในวังกี่คนที่ถูกตระกูลขุนนางซื้อไปแล้ว”
เซียวเฉิงอี้มองไปรอบด้าน หลังจากมั่นใจว่าไม่มีคนจึงโล่งอก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงชี้แนะ กระหม่อมจะจดจำเอาไว้”
ฮ่องเต้หย่งไท่ตบไหล่ของเขา “ข้าไม่อยากให้เจ้าสูญเสียชีวิตของตนเองอย่างไม่รู้ตัวตอนนอนหลับ”
คำพูดนี้ทำให้เซียวเฉิงอี้ตกใจจนกระโดดขึ้นมา
เขายิ้มเก้อ “หากเป็นไปตามความหมายของเสด็จพ่อ พระราชวังก็กลายเป็นถ้ำเสือไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะ “ใกล้เคียง! เจ้าถือว่าพระราชวังเป็นถ้ำเสือ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าชะล่าใจ!”
เซียวเฉิงอี้ตกใจเล็กน้อย “ข้างกายเสด็จพ่อก็มีหูตาของตระกูลขุนนางอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูด “ไม่แน่! ข้ากำจัดคนข้างตัวไปนับครั้งแล้ว แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าทุกคนในตำหนักซิงชิ่งล้วนสะอาด ส่วนเจ้า หากสามารถใช้คนเก่าแก่ได้ก็พยายามใช้คนเก่าแก่ คนใหม่ให้คนเก่าไปอบรมสั่งสอนและแยกแยะ เจ้าต้องระวังเส้นสายที่องค์หญิงเฉิงหยางสอดแนมไว้ข้างกายเจ้า”
“ขอบพระทับเสด็จพ่อที่ทรงชี้แนะ กระหม่อมจะระวังให้มาก”
“นอกจากนี้ยังต้องระวังหูตาที่เสด็จแม่ของเจ้าแทรกแซงไว้ข้างตัวเจ้า”
สีหน้าของเซียวเฉิงอี้ซีดเผือด “ทางเสด็จแม่?”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดด้วยความเป็นกังวล “ด้านหนึ่ง ภายหน้าเจ้าต้องการการสนับสนุนจากเสด็จแม่ของเจ้า อีกด้านหนึ่ง เจ้ายังต้องระวังไม่ให้นางแทรกแซงราชสำนัก มีผลต่อการตัดสินใจของเจ้า เจ้าคงไม่อยากเป็นหุ่นเชิดให้เสด็จแม่ของเจ้าใช่หรือไม่!”
“เสด็จพ่อทรงพูดเล่นแล้ว!”
ไม่มีผู้ใดยอมเป็นหุ่นเชิด
ฮ่องเต้หย่งไท่โบกมือเป็นเชิงบอกเซียวเฉิงอี้ว่าไม่ต้องกังวล
“กลับมาพูดถึงเยียนโส่วจ้านเถิด เรื่องนี้ค่อนข้างยากเสียจริง คำว่า ‘ทหาร’ ที่จู้หยางเสนอ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
“กระหม่อมคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแตะต้องเรื่องของกองทัพได้ เพราะมันจะทำให้เยียนโส่วจ้านฉวยโอกาสขึ้นเป็นใหญ่ ทำให้ราชสำนักำยากที่จะควบคุมได้อีก”
“แต่เมืองป๋อไฮ่จำเป็นต้องเรียกคืน”
เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้ว “ให้กองทัพเหลียงโจวขับไล่กองทัพโยวโจวของเยียนโส่วจ้านได้หรือไม่”
“ไม่ได้! มันเป็นวิธีการที่ไม่ดี ทำไม่ได้เด็ดขาด! ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจจะก่อให้เกิดผลที่ร้ายแรงยากเกินคาดเดาตามมา”
ฮ่องเต้หย่งไท่คัดค้านข้อเสนอของเขาทันที
เซียวเฉิงอี้กลุ้มใจเล็กน้อย “กระหม่อมคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วเสียจริง ขอเสด็จพ่อโปรดทรงชี้แนะ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่หยิบสารลับหลายฉบับออกมาจากช่องลับ พลันยื่นให้เซียวเฉิงอี้ “มีสายรายงาน เยียนโส่วจ้านแอบขยายกองกำลังเสมอมา เพียงแต่ขีดจำกัดทางทรัพย์สิน ทำให้เขาขยับขยายได้ไม่มากนัก กองทัพโยวโจวควรมีกำลังพลเท่าใด ราชสำนักมีจำนวนที่แน่นอน เขาแอบขยายกองกำลัง หากพูดร้ายแรงขึ้นมาหน่อย มันคือโทษประหาร คำว่า ‘ทหาร’ ของจู้หยางเตือนข้า พวกเราสามารถใช้เรื่องนี้จัดการกับเยียนโส่วจ้าน บังคับให้เขายอมจำนนได้”
“จะบังคับให้เขายอมจำนนได้อย่างไร”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้ม “สามารถให้คำมั่นสัญญาขยายกองกำลังห้าพันแก่เขา อยู่บนจำนวนที่แอบขยายกองกำลังพอดี”
เซียวเฉิงอี้ไม่เห็นด้วยนัก “เสด็จพ่อจะทรงอนุญาตให้เขาขยายกองกำลังห้าพันจริงหรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะ “ข้าไม่ให้คำมั่นสัญญาเขา เขาก็จะไม่ขยายกองกำลังลับหลังหรือ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องใด เจ้ากังวลว่าเขาจะใช้จำนวนห้าพันนายนี้ขยายกองกำลังต่อไป แต่เจ้าละเลยไปข้อหนึ่ง เยียนโส่วจ้านไม่มีเงินเลี้ยงคนจำนวนมากเช่นนี้ มิฉะนั้นหลายปีมานี้ เขาก็คงไม่แอบขยายกองกำลังเพียงห้าพันนาย
เมื่อเทียบกับเมืองป๋อไฮ่ ให้กองกำลังห้าพันนายแก่เขา เขาก็สร้างเรื่องใหญ่ขึ้นมาไม่ได้ แต่หากเมืองป๋อไฮ่ตกอยู่ในมือของเขาย่อมไม่เหมือนกัน เขาเพียงแค่บริหารอย่างตั้งใจเพียงไม่กี่ปี เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ขยายกองกำลังห้าพันนาย แม้จะต้องขายกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย หรือสองหมื่นนายก็เป็นไปได้!
ดังนั้นเข้าต้องควบคุมพื้นที่ของแม่ทัพเอาไว้อย่างเข้มงวด อย่าให้พวกเขามีโอกาสขยายพื้นที ตราบใดที่แม่ทัพมีพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นมากขึ้น พวกเขาจะไม่ใช่แม่ทัพธรรมดา แต่เป็นแม่ทัพที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น”
“ขอบพระทับเสด็จพ่อที่ทรงชี้แนะ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่เคาะโต๊ะ เขามีแผนการเบื้องต้นในการจัดการกับเยียนโส่วจ้านแล้ว
คราวนี้ย่อมไม่สามารถออกพระราชโองการ ทำได้เพียงให้คำมั่นสัญญาอีกฝ่ายอย่างลับๆ
“หวังว่าเยียนโส่วจ้านจะรู้จักพอ ไม่บีบบังคับให้ข้าเคลื่อนไหวกองทัพเหนือ”
หากคราวนี้เจรจาไม่สำเร็จ ฮ่องเต้หย่งไท่อาจจัดการเยียนโส่วจ้านให้สิ้นซากก่อนตายก็เป็นได้
ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่มีทางทิ้งปัญหาของเยียนโส่วจ้านให้องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้
จิ้งจอกอย่างเยียนโส่วจ้านรับมือกับฮ่องเต้องค์ใหม่ได้อย่างง่ายดาย
แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นมักจะไร้เรี่ยวแรงในการรับมือกับขุนนางเก่า
…
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้เดินออกมาจากตำหนักซิงชิ่ง จากนั้นมุ่งหน้าไปถวายบังคมบังตำหนักเว้ยยาง
เถาฮองเฮาเตรียมอาหารไว้รอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้เสด็จพ่อเจ้าสอนสิ่งใดเจ้าอีก”
“เหมือนเดิม ช่วยเสด็จพ่อจัดการฎีกา จัดการเรื่องเล็กน้อย”
เถาฮองเฮาถาม “ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องทางตะวันตกเฉียงเหนือ?”
เซียวเฉิงอี้ส่ายหน้า “เสด็จพ่อทรงอารมณ์ไม่ดี ข้าอยากคุยเรื่องตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อไม่มีอารมณ์ อาจต้องรออีกหลายวัน”
เถาฮองเฮาพยักหน้าเข้าใจ
นางถือกแก้วชาราวกับกำลังเหม่อลอย
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เสด็จแม่ทรงมีเรื่องกังวลใจหรือ”
เถาฮองเฮาดึงสติกลับมา “ได้ยินว่าองค์หญิงเฉิงหยางส่งคนเข้าไปในจวนเจ้าอีกแล้ว”
เซียวเฉิงอี้ยิ้ม “นางส่ง ข้าก็รับเอาไว้ อย่างไรคนที่นางส่งมา อย่าให้ใกล้ตัวก็พอ คนเหล่านั้นจะจัดการอย่างไร ล้วนเป็นหน้าที่ของซูอวิ้น”
“เจ้าชะล่าใจเกินไป! เจ้าคิดว่าไม่ให้คนเหล่านั้นใกล้ตัวก็จะปลอดภัยหรือ เจ้าต้องระวังเอาไว้ ข้าเตรียมคนเอาไว้ให้เจ้า เจ้าพากลับไปด้วย ให้พวกเขาไปจัดการกับคนขององค์หญิงเฉิงหยาง”
พูดจบ เถาฮองเฮาก็พยักหน้าให้เหมยเส้าเจี้ยนเบาๆ
เหมยเส้าเจี้ยนปรบมือทันที ไม่นานนัก คนสิบกว่าคนปรากฏในตำหนักใหญ่
มีนางใน มีขันที มีแม่นม…
เซียวเฉิงอี้เลิกคิ้ว เขาอดที่จะนึกถึงเรื่องที่เสด็จพ่อเตือนเขาไม่ได้
ไม่เพียงต้องระวังองค์หญิงเฉิงหยาง ยังต้องระวังเสด็จแม่
เสด็จพ่อพูดถูก
เขายังไม่ทันถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการ องค์หญิงเฉิงหยางและเสด็จแม่ก็เตรียมคนมาสอดแนมอยู่ข้างกายเขาอย่างอดรนทนไม่ได้แล้ว
เขาก้มหน้ายิ้ม ดวงตาฉายแววเสียดสี
เสด็จพ่อทรงสั่งสอนเขากับมือ ปฏิบัติต่อเขาอย่าวจริงใจ ไม่เคยส่งคนมาสอดแนมอยู่ข้างกายเขาแม้แต่น้อย
เฮ้อ…
เสียงถอนหายใจ!
“ขอบพระทัยเสด็จแม่!”
เขายิ้มรับ “ความหวังดี” นี้เอาไว้ ส่วนจะใช้หรือไม่ ไม่มีผู้ใดบงการเขาได้
เถาฮองเฮายยิ้มอย่างพอใจ “คนที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เจ้าใช้ได้อย่างวางใจ พวกเขาย่อมจะปกป้องจวนของเจ้าให้มิดชิดดุจถังเหล็ก ผู้อื่นยากที่จะแทรกแซง ส่วนเจ้า ทำงานอยู่ข้างกายเสด็จพ่อเจ้าอย่างวางใจเถิด”
“ทำให้เสด็จแม่ทรงเหน็ดเหนื่อยเพราะข้า เป็นความผิดของข้า”
“พูดเช่นนี้คงจะเกรงใจเกินไปแล้ว! ข้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิตเพื่อสิ่งใด เพื่อเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าได้ครอบครองตำแหน่งนั้นอย่างวางใจและราบรื่นในท้ายที่สุดยอมดีกว่าสิ่งใด”
เซียวเฉิงอี้ยิ้ม ใช้อาหารปิดปากของตนเองเอาไว้
เถาฮองเฮาพูดถึงอีกเรื่อง “ข้าได้ยินว่าเสด็จพี่สองของเจ้าล้มป่วย กังวลว่าอาการของเขาจะรุนแรงขึ้น หากเจ้ามีเวลาว่างไปดูเขา เกลี้ยกล่อมเขาหน่อย”
“เสด็จพี่สองมีเรื่องกังวลใจ?” เซียวเฉิงอี้ถามด้วยความสงสัย
เถาฮองเฮาหัวเราะ “ผู้ใดก็มีเรี่องกังวลใจ เสด็จพี่สองของเจ้าคิดมาเกินไป ไม่อาจข้ามด่านในใจไปได้ เจ้าไปดูเขาหน่อย อย่างไรพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องกัน”
เซียวเฉิงอี้พยักหน้า “หลังจากข้าออกจากวังหลวง ข้าจะไปเยี่ยมเสด็จพี่สอง!”