คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 326 ความไม่พอใจของประชาชนเดือดพล่าน
ตอนที่ 326 ความไม่พอใจของประชาชนเดือดพล่าน
โครมคราม…
เสียงฟ้าร้องดังก้องในหู!
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ตื่นขึ้นจากความฝันพร้อมกับเหงื่อที่เปียกโชก
เขาถามอย่างร้อนรน “ด้านนอกเกิดเรื่องใดขึ้น”
ขุนนางฝ่ายในที่ทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืนได้ยินเสียง จึงรีบเดินมาปรนนิบัติข้างเตียง “ทูลฝ่าบาท ด้านนอกมีฟ้าร้อง ฝนตกหนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝนตกหนักหรือ เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม่ร่วงแล้ว ยังมีฝนตกหนัก! ปรนนิบัติข้าเปลี่ยนชุด ข้าจะออกไปดูด้านนอก”
ขุนนางฝ่ายในรับคำสั่ง
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้สวมเสื้อคลุม เดินมาถึงนอกประตูพระตำหนัก
โครมคราม…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางท้องฟ้าที่มืดสนิท
ราวกับมังกรตัวใหญ่ที่กำลังโลดแล่นอยู่กลางอากาศ
เขามองท้องฟ้าในยามค่ำคืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฝนตกลงมากระหน่ำ
บนหลังคา หยดน้ำเชื่อมกันเป็นสายไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง
เสียงลม เสียงฝน เสียงฟ้าร้อง…
แต่ละเสียงล้วนกระแทกลงบนหัวใจของฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้
เขาหงุดหงิดอย่างมาก
โดยเฉพาะพายุฝนเช่นนี้จะก่อให้เกิดน้ำหลากหรือไม่
น้ำหลากในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ช่วงต้นฤดูหนาว…
ฟังดูแล้วยังรู้สึกเหลือเชื่อ
หลัวเสี่ยวเหนียนถูกปลุกให้ตื่น เขารีบเดินทางมายังตำหนักเรือนกระจก
หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ก็ประทับอยู่ตำหนักนี้เสมอมา
เมื่อเห็นฝ่าบาทยืนอยู่ใต้ชายคา ขันทีและราชองครักษ์ที่รายล้อมอยู่ต่างเงียบสนิท หลัวเสี่ยวเหนียนส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจ
เขาเดินขึ้นหน้าหลายก้าวมาถึงข้างกายของฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ “ฝ่าบาท อากาศหนาว เสด็จกลับตำหนักบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาส่งสายตาให้บุตรชายบุญธรรม อีกฝ่าบรีบยกเตาไฟมาหลายใบเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ฮ่องเต้
เซียวเฉิงอี้พึมพำ “ทางเหนือมีข่าวหรือไม่”
หลัวเสี่ยวเหนียนส่ายหน้าเล็กน้อย “ยังไม่มีข่าวส่งมา ฝ่าบาทรงวางพระทัย กำลังพลจากหลากหลายทิศทางทยอยเดินทางไปถึงแล้ว ย่อมเรียกให้ราชวงศ์อูเหิงมาได้แต่กลับไม่ได้”
เซียวเฉิงอี้พูดเสียงเบา “อากาศหนาวแล้ว สำนักพยากรณ์บอกว่าฤดูหนาวปีนี้อาจหนาวเย็นกว่าปีก่อน อูเหิงกว่าหลายแสนคน ต้องกินอาหารทั้งคนทั้งสัตว์ ความสิ้นเปลืองในแต่ละวันล้วนเป็นตัวเลขมหาศาล เจ้าว่าฤดูหนาวนี้ ราชวงศ์อูเหิงจะทำอย่างไร”
เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง หลัวเสี่ยวเหนียนจะกล้าพูดได้อย่างไร
คดีระเบิดสำนักอาวุธ เขาเพียงแค่บรรเทาภัยตามรับสั่ง ขุนนางราชสำนักกลุ่มนั้นก็เกือบจะทำให้เขาต้องตาย
เขาหวาดกลัวอย่างมาก
เวลานี้ เขาระมัดระวังตัว ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมือง
“เรื่องนี้…หรือไม่รอประตูวังเปิด กระหม่อมจะให้คนไปเชิญบรรดาใต้เท้าทั้งหลายเข้าวังมา ฝ่าบาททรงถามพวกเขา?”
เซียวเฉิงอี้หัวเราะเสียงเย็น “ก่อนประชุมท้องพระโรงพรุ่งนี้เช้า ให้หัวหน้าสำนักเส้าฝู่เข้ามาพบข้าก่อน”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา!”
…
ฮ่องเต้ไท่หนิงกำลังกลุ้มใจเรื่องเสบียง
ราชวงศ์อูเหิงขาดแคลนเสบียง ทางด้านนี้เองก็เช่นเดียวกัน
ขาดคลานสิ่งนี้สิ่งนั้น
สำนักการคลังคงพึ่งพาไม่ได้ เพราะมันเป็นหุ่นเชิดของสำนักบริหารงาน
เซียวเฉิงอี้มีแต่จะหวังพึ่งสำนักเส้าฝู่ได้เท่านั้น
เวลานี้แม้แต่ส่วยยังต้องให้สำนักเส้าฝู่จัดเก็บ พวกเขาตั้งใจมากกว่าขุนนางของสำนักการคลังอย่างมาก
เดิมทีปีนี้ไม่ใช่ปีที่มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ แต่น่าเหลือเชื่อที่สำนักเส้าฝู่จะสามารถจัดเก็บส่วยได้เต็มจำนวน
เพียงแต่มีเรื่องที่ต้องใช้เงินและเสบียงจำนวนมาก
ก่อนเริ่มประชุมในท้องพระโรง เซียวเฉิงอี้จึงเรียกพบหัวหน้าสำนักเส้าฝู่ก่อน
“เสบียงเพียงพอหรือไม่ สามารถจัดหาเสบียงที่เพียงพอสำหรับสงครามทางเหนือหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท เสบียงอาจมีความยากเล็กน้อย หากจัดหาให้กับสงครามทางเหนืออย่างเพียงพอ เสบียงของกองทัพปราบปรามโจรกบฏก็จะไม่พอ”
“จัดหาให้สงครามทางเหนือก่อน ต้องขับไล่ราชวงศ์อูเหิงออกไปให้ได้”
ทางที่ดีคือกำจัดให้สิ้นซาก
ราชวงศ์อูเหิงเพียงราชวงศ์เดียวก็ทำให้กองทัพเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ได้ลิ้มรสความล้มเหลว อีกทั้งยังทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนต้องสวรรคต
มันคือความแค้นระหว่างบ้านเมือง!
ส่วนโจรกบฏเป็นแค่พวกหัวมังกุท้ายมังกร ย่อมต้องถูกปราบปรามไปในไม่ช้า
เซียวเฉิงอี้รับสั่งหัวหน้าสำนักเส้าฝู่ “ต้องจัดหาเสบียงที่เพียงพอและทันท่วงทีให้กับสงครามทางเหนือให้ได้ หากทำให้สงครามทางเหนือขัดข้องเพราะการจัดหาเสบียง ข้าจะลงโทษเจ้า”
หัวหน้าสำนักเส้าฝู่กลัดกลุ้ม
“ฝ่าบาท ฤดูหนาวมาเยือน ถนนหนทางลื่น ระหว่างทางอาจต้องกินเวลายาวนาน นอกจากนี้ยังมีความเสียหายระหว่างทาง กระหม่อมไม่สามารถรับรองได้ว่าจะขนส่งเสบียงไปถึงเขตสงครามทางเหนือได้เต็มจำนวนและทันเวลา ขอฝ่าบาททรงโปรดอภัย!”
“แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่นครบาลต่างเคยผ่านการใช้แรงงานเกณฑ์มาแล้ว ฤดูหนาว ระยะทางไปกลับกว่าหลายพันลี้ หากเกณฑ์ประชาชนส่วนใหญ่ในเวลานี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวเฉิงอี้คิดแต่จะกำจัดราชวงศ์อูเหิง เขาตัดสินใจ “นครบาลไม่ได้ ก็เกณฑ์แรงงานจากที่อื่น หรือให้ประชาชนในนครบาลเข้ามาเป็นแรงงานเกณฑ์มากขึ้นอีกรอบ หักลบกับปีหน้า แผนการโดยละเอียดเจ้ากลับไปไตร่ตรองให้ดี หากมีแผนการแล้วก็ส่งรายงานขึ้นไป พยายามให้มันผ่านในราชสำนักโดยเร็ว จะได้ประกาศพระราชโองการเกณฑ์แรงงาน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หัวหน้าสำนักเส้าฝู่รับคำบัญชา
ฤดูหนาวเกณฑ์แรงงานไม่มีผลกระทบต่อบรรดาขุนนาง
หลังจากหัวหน้าสำนักเส้าฝู่นำรายงานส่งขึ้นไป ไม่นานนักบรรดาขุนนางต่างก็มีมติเห็นชอบ จากนั้นประกาศต่อทั่วแผ่นดิน
เพียงพริบตา ประชาชนในพื้นที่นครบาลต่างร้องห่มร้องไห้ น่าสงสารยิ่งนัก
ใช้แรงงานเกณฑ์ในฤดูหนาว อีกทั้งยังต้องเดินทางไปกลับหลายพันลี้ สถานที่ที่เดินทางไปถือทางเหนือที่หนาวเย็นยิ่งกว่าเมืองหลวง
การไปคราวนี้เกรงว่าจะไปได้ แต่กลับไม่ได้ อาจจะต้องตายอยู่ระหว่างทาง
ทันใดนั้น ทั้งนครบาลและเมืองบริเวณใกล้เคียงนครบาลเรียกได้ว่าเดือดดาลไปด้วยความไม่พอใจ
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ไม่ได้ยินความไม่พอใจของประชาชน ในหัวของเขามีแต่เรื่องสงครามทางเหนือ
อีกทั้งไม่มีผู้ใดทูลความไม่พอใจของประชนให้แก่เขา
บรรดาขุนนางต่างเป็นมือดีในการคาดเดาจิตใจคน
ทั้งที่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงร้อนใจเรื่องสงครามทางเหนือ ยังจะสร้างความกลุ้มใจให้ฮ่องเต้ เป็นขุนนางหรือไม่
เพียงแค่ความไม่พอใจของประชาชนเท่านั้นเอง
ปีใดไม่มีความไม่พอใจของประชาชน
ทุกปีล้วนมีความไม่พอใจของประชาชน แต่ก็ไม่เห็นเกิดเรื่องใดขึ้น
…
เรือนพักร่ำรวย
หวังหยวนเหนียงนั่งทำงานฝีมือยู่ด้านล่างชายคา น้องสาวของนาง หวังซานเหนียงกำลังกล่อมเด็กอยู่
ฤดูร้อนปีนี้ บุตรคนแรกของหวังหยวนเหนียงและพี่เซิ่นกำเนิด เขาเป็นเด็กชายอ้วนท้วม ทำให้ตระกูลหวังและตระกูลเซิ่นต่างดีใจอย่างมาก
ทั้งสองตระกูลต่างตั้งใจเดินทางมายังเรือนพักร่ำรวย รวมเงินกันจัดงานเลี้ยงครบเดือนให้เด็ก คึกคักอย่างมาก
ฝีมือของหวังซานเหนียงยังมีบกพร่องไปบ้าง ทางโรงงานจึงไม่ได้รับนางเอาไว้
เดิมทีคิดว่าหมดหวังแล้ว แต่เพียงชั่วพริบตา นางกลับหางานฝีมือหนึ่งได้ที่ร้านขายของชำหนานเป่ย
วันนี้วันหยุด นางจึงอยู่ช่วยดูแลเด็กในเรืองของพี่สาวและพี่เขย
ประตูเรือนถูกเคาะ
มีคนในหมู่บ้านที่เดินทางไปกลับระหว่างหมู่บ้านและเรือนพักร่ำรวยนำข่าวมาให้หวังหยวนเหนียง
“หยวนเหนียง สำนักราชการเกณฑ์แรงงาน ร่างกายของพ่อเจ้านั้น หากไปคงจะมีชีวิตรอดยาก พี่น้องของเจ้าหวังต้าจ้วงจะไปเป็นแรงงานเกณฑ์แทนพ่อเจ้า สำนักราชการก็ยอมรับ บอกว่าพี่น้องของเจ้าเติบใหญ่แล้ว แต่พ่อเจ้าไม่ยอม อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ได้ยินว่าคราวนี้ต้องขนเสบียงไปทางเหนือ เดินทางไปกลับหลายพันลี้”
“งานประเภทนี้ แม้แต่ชายหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงยังไม่มีชีวิตรอดกลับมา พ่อเจ้าให้ข้ามาส่งข่าวถามเจ้า เจ้าสามารถกลับรอบหนึ่งได้หรือไม่ รั้งพี่น้องของเจ้าเอาไว้ พี่น้องของเจ้าเชื่อฟังเจ้า พ่อเจ้าบอกแล้วว่าแรงงานเกณฑ์คราวนี้ เขาจะไป”
“พ่อข้าไป? เขาไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ”
“หมดหนทาง! คงไม่อาจให้พี่น้องของเจ้าไปเป็นแรงงานเกณฑ์ในครั้งนี้จริงๆ มันถึงกับต้องตายเชียว แม้จะไม่ตาย ชายหนุ่มที่อายุน้อยก็จะมีโรคติดตัวมา ต่อไปจะประคับประคองครอบครัวได้อย่างไร ชีวิตต่อจากนี้จะต้องทำอย่างไร”
หวังหยวนเหนียงร้อนใจ “แต่ก็ไม่อาจให้พ่อข้าไปได้!”
คนในหมู่บ้านเดียวกันส่ายหน้า “หมดหนทาง ตระกูลหวังของพวกเจ้าจำเป็นต้องมีคนหนึ่งไป ต้องไปรายงานตัวต่อสำนักราชการภายในสิบวัน เจ้าต้องรีบแล้ว”
คนในหมู่บ้านเดียวกันส่งข่าวเสร็จ ก็เดินทางไปส่งข่าวในเรือนอื่นต่อ
หวังซานเหนียงอึ้งไป “พี่ใหญ่ จะทำอย่างไร หากท่านพ่อไปเป็นแรงงานเกณฑ์คงต้องตาย! ให้เอ้อจ้วงไป แต่ว่าเอ้อจ้วงยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีแม้แต่บุตร หากเป็นอันใดไปจะทำอย่างไรดี”
ซานเหนียงร้อนใจจนจะร้องไห้
นางร้อนใจ มือของนางก็ออกแรงอย่างไม่รู้ตัว เด็กทนเจ็บไม่ไหว จึงร้องไห้ออกมา
ฮือๆ…
หวังซานเหนียงใบหน้าแดงก่ำด้วยความร้อนตัว
หวังหยวนเหนียงพูดกับนาง “เจ้าดูเสี่ยวเป่าเอาไว้ ข้าไปหาพี่เขยของเจ้า”
พี่เซิ่นก็พบกับคนในหมู่บ้านที่มาส่งข่าว
เรื่องแบบเดียวกัน แรงงานเกณฑ์
พี่น้องของพี่เซิ่นแยกเรือนไปนานแล้ว
ซึ่งหมายความว่าแต่ละเรือนต้องมีคนหนึ่งไปเป็นแรงงานเกณฑ์ที่สำนักราชการ
หากขุดคูคลอง บุกเบิกที่เดิน ซ่อมแซมทางหลวงอยู่ในเมืองก็แล้วไป
แรงงานเกณฑ์ในพื้นที่ นอกจากโชคร้ายเป็นพิเศษแล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
อีกทั้งเวลาก็สั้น เพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าเท่านั้น
แต่คราวนี้ต้องลำเลียงเสบียงไปทางเหนือ ไปกลับหลายพันลี้ ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี
ระยะทางที่ไกลเช่นนี้ เวลาที่ยาวนานเช่นนี้ อาจตายอยู่ด้านนอกจริงๆ
ไม่ใช่ประชาชนข่มขวัญตัวเอง
แต่มันคือบทเรียนจากประสบการณ์
สำหรับการเดินทางไปกลับเป็นระยะทางหลายพันลี้ ใช้เวลานานกว่าครึ่งปี อีกทั้งยังเป็นช่วงฤดูหนาว ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์แรงงาน คนที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมามีเพียงร้อยละหกสิบถึงเจ็บสิบเท่านั้น
หากมีสงครามเกิดขึ้น คนที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมามีร้อยละสี่สิบหรือห้าสิบก็ถือว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว
คนส่วนใหญ่แม้จะมีชีวิตรอดกลับมาได้ แต่ก็จะทิ้งโรคที่ติดตัวไว้
ดังนั้นทุกคนต่างมองการเป็นแรงงานเกณฑ์ประเภทนี้เป็นการเดินทางแห่งความตาย
ไม่มีผู้ใดกล้ารับรองว่าตนเองจะเป็นผู้โชคดีที่มีชีวิตรอดกลับมา
เพียงแค่คนที่พิการเพราะอากาศหนาวในฤดูหนาวในแต่ละปีก็ไม่รู้มีมากน้อยเพียงใด
อีกทั้งยังต้องเดินทางในฤดูหนาว อย่าคาดหวังว่าขาจะอยู่ดีเลย
นิ้วเท้าสิบนิ้วสามารถนำกลับมาด้วยห้าหกนิ้วก็ถือว่าโชคดีแล้ว
แรงงานเกณฑ์เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าไป
ดูจากเวลานี้ พี่น้องตระกูลเซิ่นมีแค่พี่เซิ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุด
ดังนั้นจึงให้คนส่งข่าวให้พี่เซิ่น ถามเขาว่าพอจะหาวิธีหลีกเลี่ยงการเกณฑ์แรงงานครั้งนี้หรือไม่
พี่เซิ่นก็ร้อนใจอย่างมาก
สองสามีภรรยาพบหน้ากันระหว่างทาง หวังหยวนเหนียงพูดถึงเรื่องของครอบครัวตัวเองขึ้นมา
พี่เซิ่นพูด “ทางข้าก็ให้คนมาส่งข่าวเรื่องแรงงานเกณฑ์เหมือนกัน”
“ทำอย่างไรดี ข้าได้ยินคนบอกว่า การเกณฑ์แรงงานคราวนี้โดยหลักแล้วอยู่ในพื้นที่นครบาลและเมืองใกล้เคียง ต้องมีคนตายจำนวนมาก”
พี่เซิ่นปลอบนาง “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าไปถามหานซินแสก่อน หานซินแสเป็นบัณฑิต เขาย่อมมีวิธี เจ้ากลับไปรอข้าก่อน”
“ข้ากลับไปรอท่าน!”
พี่เซิ่นโบกมือให้นางรีบกลับไป
ด้านนอกหนาว!
นับแต่ฝนตกลงมาอย่างหนัก อุณหภูมิก็ลดฮวบลงอย่างกะทันหัน
ยังไม่ทันเริ่มฤดูหนาว ลมก็หนาวเหน็บเข้ากระดูกราวกับอยู่ช่วงกลางฤดูหนาวแล้ว
พี่เซิ่นดึกปกเสื้อขึ้น ปิดบังลมที่กลอกเข้าคอมา พลันเดินเข้าเรือนใหญ่ของเรือนพัก
ที่แท้ไม่เพียงเขาที่มาหาหานซินแส ยังมีคนอื่นที่มาหาหานซินแสเพราะเรื่องแรงงานเกณฑ์เช่นเดียวกัน
หานซินแสเชิญพวกเขาเข้าห้องโถง
“ข้าพอจะรู้เรื่องบ้างแล้ว ตามกฎของราชสำนัก หากต้องการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์แรงงาน ไม่ส่งเสบียงก็ต้องบริจาคเงิน หรืออาจบริจาคเป็นผ้าผืนก็ย่อมได้”
“นอกจากให้เงินและเสบียงแล้ว ยังมีวิธีอื่นหรือไม่”
หานฉีจงพูดอย่างจริงจัง “ยังมีอีกหนึ่งวิธี มีผู้ที่มียศศักดิ์บอกกล่าวสำนักราชการแทนพวกเจ้า ขีดรายชื่อของพวกเจ้าออก”
ทุกคนต่างผิดหวัง
หากรู้จักผู้ที่มียศศักดิ์ พวกเขายังจำเป็นต้องลำบากหาเงินอยู่หรือ
“ทำได้เพียงให้เงินหรือเสบียง?”
หานฉีจงพยักหน้า “ใช่! หากต้องการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์แรงงาน ทำได้เพียงให้เงินหรือเสบียง หรืออาจเป็นผ้าผืน”
พี่เซิ่นถาม “หนึ่งคนต้องให้เสบียงและเงินมากเท่าใดจึงจะหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ได้”
หานฉีจงพูด “สถานกาณ์คราวนี้ค่อนข้างพิเศษ ภารกิจหนักมาก ดังนั้นราคาการไถ่ตัวแรงงานเกณฑ์จึงสูงกว่าปีก่อน หนึ่งคนต้องทมีข้าวห้าตัก หรือเงินหนึ่งก้วน หรือผ้าสองผืน”
“เหตุใดจึงแพงเช่นนี้”
“ได้ยินคนบอกว่า ปีก่อนไถ่ตัวแรงงานเกณฑ์ใช้ข้าวเพียงสองตักเท่านั้น”
“ปีนี้สำนักราชการเข้มงวดอย่างมาก พวกเขาต้องการบีบให้คนหมดหนทาง!”
“ผลผลิตปีนี้ก็ไม่ค่อยดีนักอยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่พอประทังชีวิตไปได้ สุดท้ายสำนักราชการยังจะบั่นทอน ใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว”
“หากไม่ไถ่ตัว ก็ต้องไปตายไกลนับพันลี้”
“อาจไม่สามารถเดินออกไปไกลถึงพันลี้ ไม่แน่ว่าเพิ่งเดินออกจากนครบาล ชีวิตก็จบสิ้นแล้ว”
“ใช่ จะทำอย่างไรดี”
ทุกคนต่างตำหนิว่าสำนักราชการเรียกเงินสูงเกินไป แต่ในฐานะประชาชนธรรมดา จะมีสิทธิบอกว่า “ไม่” ได้อย่างไร
หลังจากพี่เซิ่นสืบทราบราคาแล้วก็กลัดกลุ้มอย่างมากเช่นเดียวกัน
ตระกูลหวังต้องไถ่หนึ่งคน ทางตระกูลของตัวเองก็ต้องไถ่สี่คน รวมแล้วก็คือห้าคน
เท่ากับมูลค่าเงินห้าก้วน หรือผ้าสืบผืน หรือข้าวยี่สิบห้าตัก
ถึงแม้เขาและหวังหยวนเหนียงจะทำงานเก่ง หาเงินได้ และหาเงินเก่ง แต่ปีนี้มีเรื่องที่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
เด็กเกิดออกมา พวกเขาต้องเตรียมชุดของเด็ก ต้องกตัญญูต่อผู้ใหญ่ในบ้าน ต้องใช้เงินทุกที่
การใช้ชีวิตประจำวัน ข้าวแป้งเนื้อผัก น้ำมันเกลือเครื่องปรุง ล้วนต้องใช้เงินซื้อ
เขากลับถึงบ้านด้วยความกลุ้มใจ
หวังหยวนเหนียงรีบเดินเข้ามา “เป็นอย่างไร ได้เรื่องหรือไม่”
พี่เซิ่นพยักหน้า บอกราคาการไถ่แรงงานเกณฑ์แก่นาง
เมื่อหวังหยวนเหนียงได้ยินจึงอึ้งไป “แพงเช่นนี้เชียว”
เวลานี้ได้ยินหวังซานเหนียงพูดขึ้น “ท่านพี่ ครึ่งปีนี้ข้าเก็บเงินได้สองร้อยเหวิน ทั้งหมดนี้ให้ท่าน ท่านนำไปให้ท่านพ่อของพวกเราไถ่ตัว อย่าได้ให้ท่านพ่อและเอ้อจ้วงไปเป็นแรงงานเกณฑ์เด็ดขาด ต้องตายเชียว”
หวังหยวนเหนียงรีบพูด “ไม่ต้องใช้เงินของเจ้า เจ้าเก็บเงินของเจ้าเอาไว้ต่อไปเป็นสินสอด”
หวังซานเหนียงยืนกรานไม่ยอม “ไม่ได้! เขาก็เป็นพ่อของข้า เป็นพี่น้องของข้า เวลานี้ข้ายังไม่ได้แต่งงาน เหตุใดจึงช่วยเหลือตระกูลไม่ได้”
เมื่อเห็นสองพี่น้องกำลังจะทะเลาะกัน พี่เซิ่นจึงรีบห้ามไว้ “กลับห้องค่อยๆ เจรจากันดีกว่า ด้านนอกหนาว ปีนี้อากาศประหลาดมาก ระวังไม่สบาย”
“ท่านพี่เสียดายค่าน้ำมัน ไม่นยอมทำงานฝีมือในห้อง” หวังซานเหนียงรีบฟ้อง
พี่เซิ่นรีบพูด “หยวนเหนียง ข้าบอกกับเจ้ากี่รอบแล้ว อย่าประหยัดเงินค่าน้ำมันแค่นั้นจนไม่สนใจร่างกาย หากเจ้าไม่สบายขึ้นมา ย่อมต้องใช้เงินมากกว่าไม่ใช่หรือ”
หวังหยวนเหนียงแก้ตัวเสียงเบา “ฟ้ายังไม่ทันมืดก็จุดไฟในห้อง สิ้นเปลืองยิ่งนัก อีกอย่าง ตอนกลางวันก็ไม่หนาว”
เมื่อหวังหยวนเหนียงได้ยินจึงอึ้งไป “แพงเช่นนี้เชียว”
เวลานี้ได้ยินหวังซานเหนียงพูดขึ้น “ท่านพี่ ครึ่งปีนี้ข้าเก็บเงินได้สองร้อยเหวิน ทั้งหมดนี้ให้ท่าน ท่านนำไปให้ท่านพ่อของพวกเราไถ่ตัว อย่าได้ให้ท่านพ่อและเอ้อจ้วงไปเป็นแรงงานเกณฑ์เด็ดขาด ต้องตายเชียว”
หวังหยวนเหนียงรีบพูด “ไม่ต้องใช้เงินของเจ้า เจ้าเก็บเงินของเจ้าเอาไว้ต่อไปเป็นสินสอด”
หวังซานเหนียงยืนกรานไม่ยอม “ไม่ได้! เขาก็เป็นพ่อของข้า เป็นพี่น้องของข้า เวลานี้ข้ายังไม่ได้แต่งงาน เหตุใดจึงช่วยเหลือตระกูลไม่ได้”
เมื่อเห็นสองพี่น้องกำลังจะทะเลาะกัน พี่เซิ่นจึงรีบห้ามไว้ “กลับห้องค่อยๆ เจรจากันดีกว่า ด้านนอกหนาว ปีนี้อากาศประหลาดมาก ระวังไม่สบาย”
“ท่านพี่เสียดายค่าน้ำมัน ไม่นยอมทำงานฝีมือในห้อง” หวังซานเหนียงรีบฟ้อง
พี่เซิ่นรีบพูด “หยวนเหนียง ข้าบอกกับเจ้ากี่รอบแล้ว อย่าประหยัดเงินค่าน้ำมันแค่นั้นจนไม่สนใจร่างกาย หากเจ้าไม่สบายขึ้นมา ย่อมต้องใช้เงินมากกว่าไม่ใช่หรือ”
หวังหยวนเหนียงแก้ตัวเสียงเบา “ฟ้ายังไม่ทันมืดก็จุดไฟในห้อง สิ้นเปลืองยิ่งนัก อีกอย่าง ตอนกลางวันก็ไม่หนาว”
“ไม่หนาวอย่างไร ข้าเห็นเสี่ยวเป่าน้ำมูกไหลแล้ว”
ล้วนเป็นเพราะเงิน
พี่เซิ่นพูดจนปาดแฉะ ถึงได้เกลี้ยกล่อมให้หวังหยวนเหนียงอบย่าประหยัดมาก ต้องใช้ก็ควรใช้
เขาหาเงินได้ สามารถเลี้ยงภรรยาและบุตรได้
เงินที่ไถ่ตัวแรงงานเกณฑ์ เขาก็รวบรวมได้
ไม่ว่าอย่างไร ไม่อาจให้คนในตระกูลเดินทางไปเป็นแรงงานเกณฑ์ครั้งนี้!