คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 33 ต่อสู้
ตอนที่ 33 ต่อสู้
เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา นางมองเยียนอวิ๋นเกออย่างชื่นชม
บุตรสาวเติบโตแล้ว ไม่เพียงใช้เป็นแต่กำลัง หากยังใช้สมองได้อีก ดีมาก
นางถามด้วยรอยยิ้ม “จากความคิดของเจ้า วันนี้องค์หญิงเฉิงหยางมีจุดประสงค์ใด”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด เขียนลงกระดาษ ‘ประจบฮองเฮา ประจบท่านแม่ ซื้อใจองค์ชายใหญ่ รอบคอบแปดด้าน ประจบสี่ทิศ ไม่ทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง’
เซียวฮูหยินส่ายหัว “เพียงแค่ประจบ ไม่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองยังไม่พอ องค์หญิงเฉิงหยางไม่ใช่องค์หญิงทั่วไป แต่นางยังเป็นพะขนิษฐาของฮ่องเต้ ฐานะของนางไม่ต้องประจบผู้อื่น ยิ่งไม่จำเป็นต้องประจบข้าหรือตระกูลเยียน”
เยียนอวิ๋นฉีครุ่นคิดบทสนทนาระหว่างท่านแม่กับน้องสาว ก่อนจะพูดขึ้น “องค์ชายสามและองค์หญิงติ้งเถาปรากฏตัวในจวนองค์หญิงเฉิงหยางวันนี้ เพราะต้องการสร้างแรงกดดันให้แก่องค์ชายใหญ่ใช่หรือไม่ องค์หญิงเฉิงหยางวางแผนจะละทิ้งองค์ชายใหญ่หรือ มิฉะนั้นนางจะยอมร่วมมือกับเถาฮองเฮาได้อย่างไร”
“อย่าลืม หากองค์ชายสามขึ้นครองราชย์ องค์หญิงเฉิงหยางจะไม่ได้รับผลประโยชน์ นางไม่จำเป็นต้องรับใช้เถาฮองเฮา” เซียวฮูหยินพูดเตือน
สีหน้าเยียนอวิ๋นฉีเต็มไปด้วยความสงสัย “ท่านแม่โปรดชี้แนะ”
เซียวฮูหยินมองไปทางเยียนอวิ๋นเกอ “อวิ๋นเกอมีความคิดเห็นอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าลังเล พร้อมทั้งจรดปลายดินสอ ‘องค์หญิงเฉิงหยางไม่จำเป็นต้องประจบเถาฮองเฮา อีกทั้งไม่จำเป็นต้องให้เกียรติตระกูลเยียน อย่างนั้นความเป็นไปได้เดียวคือทำให้ฮ่องเต้ทรงเห็น’
เซียวฮูหยินพยักหน้าอย่างชื่นชม “ถูกต้อง!”
เยียนอวิ๋นฉีได้ยินจึงกระจ่างในทันที
จากนั้น นางจึงเกิดความสงสัยขึ้นใหม่ “ทำให้ฮ่องเต้ทรงเห็นข้าเข้าใจได้ แต่ต่อจากนี้เล่า ต่อจากนี้องค์หญิงเฉิงหยางจะทำอย่างไร ฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร พระองค์จะทรงเปลี่ยนพระทัยหรือ”
เซียวฮูหยินพูด “พวกเราเข้าเมืองมาไม่นาน เรื่องส่วนใหญ่ยังไม่กระจ่างจึงแยกไม่ออก พวกเจ้าพี่น้องไม่ต้องตื่นตระหนก เพียงแค่รอดูต่อไป ไม่นานนักเรื่องทั้งหมดย่อมกระจ่างชัด ส่วนเรื่องสมรสพระราชทาน เพียงแค่พระราชโองการยังไม่ลงมาหนึ่งวัน ย่อมยังมีหนทางแก้ไข”
“องค์ชายใหญ่ปฏิเสธท่านแม่แล้ว พวกเรายังมีวิธีอื่นอีกหรือ” เยียนอวิ๋นฉีกลุ้มใจ
หากต้องสมรสองค์ชายจริงๆ เยียนอวิ๋นฉีไม่ปฏิเสธ
แต่นางปฏิเสธที่จะสมรสกับองค์ชายใหญ่
บุรุษที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนั้น หากสมรสกับเขาจริง นางต้องอกแตกตายแน่ๆ
โบราณว่าไว้ สามีภรรยาเปรียบเสมือนนกในป่าเดียวกัน เมื่อภัยพิบัติมาเยือนย่อมบินหนีกันไปคนละทิศทาง
สมรสกับองค์ชายใหญ่ ยังไม่ทันที่ภัยพิบัติจะมาถึง เขาก็เอาตัวรอดคนเดียวแล้ว
นางมั่นใจว่าองค์ชายใหญ่ไม่สนใจความเป็นความตายของนาง ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่
เหตุใดจึงต้องสมรสกับบุรุษเช่นนี้
หาที่ตายหรือ!
เยียนอวิ๋นฉีพูดอย่างหนักแน่น “ลูกสามารถสมรสกับองค์ชายใดก็ได้ ยกเว้นองค์ชายใหญ่”
เขาไม่ยินดีสมรสกับนาง นางก็ไม่ยินดีเช่นเดียวกัน!
“ท่านแม่และน้องสี่กินต่อเถิด ข้าอยากกลับไปสงบอารมณ์ที่ห้องเสียหน่อย”
เซียวฮูหยินกำชับนาง “อย่ากลุ้มนัก ก่อนที่เรื่องจะมีข้อสรุปเรื่องใดย่อมเกิดขึ้นได้”
เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า “ข้าเข้าใจ! ข้าเพียงแค่สับสน ไม่อยู่ทานอาหารกับท่านแม่และน้องสี่แล้ว ขอตัว!”
เมื่อพูดจบนางลุกขึ้นจากไปอย่างเร่งรีบ
เซียวฮูหยินถอนหายใจ พูดกับเยียนอวิ๋นเกอ “องค์ชายใหญ่ไม่ใช่คู่ครองที่ดี ไม่ผิดที่พี่สองของเจ้าจะคิดมาก เรื่องเกี่ยวข้องกับคู่ครองชีวิต จะไม่ให้นางกระวนกระวายได้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า นางเข้าใจ
ความรู้สึกที่ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองแบบนี้ นางเคยสัมผัสมาแล้ว มันแย่มาก
นางเขียนลงบนกระดาษ ‘ท่านพ่อขัดขืนพระราชโองการ ดูหมิ่นฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้กลับไม่กลั่นแกล้งท่านแม่ ข้าอยากรู้สาเหตุ’
เซียวฮูหยินเห็นเนื้อหา จึงถามกลับ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฮ่องเต้ไม่ได้กลั่นแกล้งข้า”
เยียนอวิ๋นเกอเขียน ‘ดูจากสถานการณ์ในวันที่เข้าวัง ท่านแม่ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้ง’
“เจ้าฉลาดเฉลียวยิ่งนัก! ข้าไม่ปิดบังเจ้า การเข้าวังในวันนั้น ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสถามถึงท่านพ่อเจ้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ตรัสถึงพระราชโองการที่เรียกท่านพ่อเจ้าเข้าเมืองมาฉบับนั้น”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าประหลาดใจ
‘แสดงว่าฮ่องเต้ไม่สนใจว่าท่านพ่อจะเข้าเมืองหรือไม่ เขาต้องการเพียงแค่ท่าทีของท่านพ่ออย่างนั้นหรือ’
นางเขียนจนกระดาษหมดไปหนึ่งแผ่น จึงฉีกกระดาษออกมาโยนเข้าเตาไฟเพื่อเผาทิ้ง
เซียวฮูหยินพยักหน้า “ขุนนางราชสำนักกล่าวโทษว่าท่านพ่อเจ้ามีใจไม่ซื่อสัตย์ ด้วยเหตุนี้จึงมีพระราชโองการออกมา บัดนี้พวกเราสามคนแม่ลูกติดอยู่ในเมืองหลวง มิอาจคาดเดาสถานการณ์ได้! อวิ๋นเกอ เจ้ากลัวหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาเป็นประกาย
นางจะกลัวได้อย่างไร!
นางเขียนลงกระดาษอย่างหนักแน่น ‘ข้าไม่กลัว!’
เซียวฮูหยินหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัว! น้ำในเมืองหลวงลึกเกินไป เตรียมตัวให้พร้อมเถิด!”
…
วันต่อๆ มา เซียวฮูหยินออกเช้ากลับดึกทุกวัน นางออกไปเยี่ยมเยียนและสานสัมพันธ์พร้อมกับรถที่เต็มไปด้วยของกำนัล
นางสานสัมพันธ์ขอความช่วยเหลืออย่างเปิดเผย ไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย
คนในราชวงศ์ที่เผชิญหน้ากับนางย่อมรู้สึกผิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในคดีกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้ คนในตำหนักบูรพาล้วนเสียชีวิต เหลือเพียงเซียวฮูหยินคนเดียว อีกทั้งยังถูกพระราชทานไปยังดินแดนที่ห่างไกล
ระหว่างนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนที่เข้าร่วมในคดีขององค์รัชทายาทจางอี้มีมากน้อย ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีคนที่คอยซ้ำเติมมีมากน้อยเพียงใด
หลังจากผ่านไปยี่สิบปี เผชิญหน้ากับเซียวฮูหยินผู้เป็นเจ้าทุกข์ในตอนนั้น ตราบใดที่หัวใจของคนผู้นั้นยังไม่มืดมน ก็มิอาจเลี่ยงได้ที่จะถอนหายใจ
ดังคำกล่าวที่ว่ารับของผู้อื่นย่อมมืออ่อน ตราบใดที่เซียวฮูหยินไม่เรียกร้องมากเกินไป พวกเขายินดีที่จะช่วยเหลือ
ถือว่าเป็นการชำระหนี้ในตอนนั้น
เซียวฮูหยินแกล้งทำเป็นโง่เขลา ไม่พูดถึงอดีต ไม่พูดถึงบิดา มารดาหรือพี่น้องแม้แต่น้อย
นางเพียงแค่พูดถึงความยากลำบากของตระกูลเยียน ความยากลำบากของเยียนโส่วจ้าน ความยากลำบากของบุตรสาว…
เข้าใจ!
ทุกคนล้วนเข้าใจ!
หากฮ่องเต้หมั้นหมายคุณหนูรองตระกูลเยียนให้แก่องค์ชายใหญ่จริง เรื่องนี้คงไม่เหมาะสมยิ่งนัก
ฮ่องเต้องค์ก่อนกระทำผิดต่อเซียวฮูหยินยังไม่พอ ฮ่องเต้หย่งไท่ยังมากระทำผิดต่อบุตรสาวของเซียวฮูหยินอีก
เรื่องที่สองพ่อลูกนี้ทำช่างไร้ความเป็นมนุษย์เสียจริง
ครอบครัวขององค์รัชทายาทจางอี้ล้วนตายหมดแล้ว เหลือเซียวฮูหยินเพียงคนเดียว เรื่องผ่านไปกว่ายี่สิบปี ฮ่องเต้จำเป็นต้องบีบบังคับผู้อื่นเช่นนี้หรือ
แม้ว่าจะต้องดำเนินการตามความรับผิดชอบ ผู้ที่ควรรับผิดชอบก็คือเยียนโส่วจ้าน ไม่ควรเป็นบุตรสาวของเซียวฮูหยิน
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คงทำให้เกิดการติฉินนินทา
เมื่อถึงเวลาว่าราชการในท้องพระโรงตอนเช้า จึงมีเชื้อสายราชวงศ์เอ่ยถึงตระกูลเยียนและเซียวฮูหยินขึ้นมา
ภายนอกดูเหมือนกำลังกล่าวหาเยียนโส่วจ้านขัดขืนพระราชโองการ แต่อันที่จริงกำลังแก้ต่างแทนเซียวฮูหยินแม่ลูก
เหล่าอวี้สื่อ[1] เคลื่อนไหวตามกระแส
เมื่อเชื้อสายราชวงศ์ออกหน้าคาดโทษเยียนโส่วจ้านแล้ว พวกเขาจะอยู่เฉยได้อย่างไร
เหล่าอวี้สื่อออกมาเรียกร้อง รุมประณามท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตะโกนกล่าวโทษท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านมีความผิดอันร้ายแรง หากไม่ประหารไม่เพียงพอต่อการระงับความโกรธของประชาชน
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่แสดงท่าทีเสียที ปล่อยให้เหล่าอวี้สื่อโวยวาย
เหล่าอวี้สื่อเห็นทีจึงยิ่งตกใจกลัว ยิ่งก่อความวุ่นวายมากขึ้น
ก่อความวุ่นวายจนประชาชนตัวน้อยยังรู้ว่าท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านถูกประณาม ใกล้จะถึงคราวซวย
…
เมื่อเหล่าอวี้สื่อนับวันยิ่งก่อความวุ่นวายรุนแรงขึ้น เถาฮองเฮาทรงโกรธอย่างมาก นางจึงโยนเครื่องกระเบื้องแตกไปสองชุด
หลายสิบปีนี้ เถาฮองเฮาอยู่อย่างสุขสบาย น้อยครั้งอย่างมากที่จะเขวี้ยงข้าวของ
แต่คราวนี้อวี้สื่อก่อความวุ่นวายจนเถาฮองเฮาไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเองได้
นางเรียกขันทีคนสนิทเหมาเส้าเจี้ยนมาตรัสถามด้วยความโกรธ “เกิดอันใดขึ้นกับหลิวจิ้น ข้าให้เขาจัดการอวี้สื่อกลุ่มนั้น เหตุใดเขาจึงไม่มีการเคลื่อนไหวเสียที อวี้สื่อกลุ่มนั้นราวกับสุนัขบ้าจ้องแต่จะกัดเยียนโส่วจ้านไม่ปล่อย หลิวจิ้นจงใจเป็นศัตรูกับข้าอย่างนั้นหรือ”
เถาฮองเฮาไม่ต้องการให้เยียนโส่วจ้านถูกขึงไว้บนเตาเผา เพราะว่ามันไม่สอดคล้องกับแผนการของนาง
เยียนโส่วจ้านเป็นเพียงแค่แผนการแรก ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง
สิ่งสำคัญคือพวกคนเล่ห์เหลี่ยมจัดที่กำลังจะเข้าเมืองหลวงมา
เหล่าอวี้สื่อสร้างความวุ่นวายมากเกินไป เถาฮองเฮากังวลว่าจะทำให้คนเหล่านั้นแตกตื่น
หากจิ้งจอกเหล่านั้นเปลี่ยนความคิดไม่เข้าเมืองหลวงอย่างกะทันหัน แผนการที่เตรียมไว้ของนางคงสูญเปล่า
นางไม่อนุญาตให้ใครทำลายแผนการของนาง
ดังนั้นเรื่องการประณามเยียนโส่วจ้านนี้ต้องหยุดลงอย่างรวดเร็วที่สุด
แต่หลายวันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดี เถาฮองเฮาหาโอกาสเป่าลมข้างหูไม่ได้แม้แต่น้อย
ช่างน่าโมโหนัก!
เหมาเส้าเจี้ยนรีบทูล “ฮองเฮาทรงระงับความโกรธ! เรื่องที่เหล่าอวี้สื่อก่อความวุ่นวายในคราวนี้ได้สืบทราบแล้วว่ามีแกนนำเป็นเชื้อสายราชวงศ์ พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับอวี้สื่อประณามเยียนโส่วจ้าน ใต้เท้าหลิวจิ้นพยายามจัดการอวี้สื่อเหล่านี้อย่างสุดความสามารถแล้ว แต่อวี้สื่อเหล่านี้เหมือนเสียสติ ไม่เชื่อคำเกลี้ยกล่อมแต่อย่างใด อีกทั้งยังต่อว่าใต้เท้าหลิวจิ้นว่าขี้ขลาดโง่เขลา”
เถาฮองเฮาได้ยินจึงขมวดคิ้วมุ่น “หลิวจิ้นช่างไร้ความสามารถ อวี้สื่อเพียงไม่กี่คนยังจัดการไม่ได้ ข้าว่าเขาไร้ความสามารถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เชื้อสายราชวงศ์เหล่านั้นไม่มีสิ่งอื่นทำหรือ บังอาจเป็นศัตรูกับข้า พวกเขาหาที่ตายหรือ มันเป็นผู้ใดกัน”
เหมาเส้าเจี้ยนทูลรายงายหลายชื่อ
เถาฮองเฮาได้ยินจึงกระจ่างในทันที
นางหัวเราะเย้ยหยัน “ผู้ที่ก่อเรื่องล้วนเป็นคนที่มีฐานันดรสูง แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องเรียกว่าเสด็จอา ข้าไม่อาจแตะต้องพวกเขาได้ เซียวฮูหยินมีความสามารถ ข้าคงดูถูกนางเกินไปเสียแล้ว”
“เซียวฮูหยินสามารถเชิญท่านผู้เฒ่าเหล่านี้ได้ ช่างมีความสามารถเสียจริง! นางคิดจะให้พวกเขาก่อความวุ่นวาย สร้างกระแสวิจารณ์ บังคับให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัย น่าเสียดาย แผนการของนางคงต้องเสียเปล่า นางไม่รู้ว่าข้าเปลี่ยนใจให้องค์ชายสองสมรสกับเยียนอวิ๋นฉีแทนแล้ว”
เหมาเส้าเจี้ยนได้ยินจึงตกใจเล็กน้อย “ฮองเฮาจะทรงให้องค์ชายสองสมรสกับเยียนอวิ๋นฉีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เถาฮองเฮากวาดตามองเขา “เจ้ามีความคิดเห็นหรือ”
“กระหม่อมไม่บังอาจ เพียงแต่ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เถาฮองเฮาหัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาทต้องทรงอนุญาตอย่างแน่นอน”
[1] อวี้สื่อ หมายถึง ขุนนางที่ดำรงตำแหน่งสำนักตรวจสอบฝ่ายขวา