คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 68 เขาข่มนาย
ตอนที่ 68 เขาข่มนาย
เมื่อเยียนสุยได้รับอนุญาตให้รับคนมาสามคนแล้ว เรื่องที่ตามมาคือความกลุ้มใจในการหาคน
ไปหาคนในเมืองหลวงเกรงว่าจะได้รับสายตาไม่พอใจมาเต็มตะกร้า
คนในเมืองหลวงมีความเย่อหยิ่งในตัวเอง พวกเขาต่างดูถูกการทำงานในพื้นที่ชนบทห่างไกล
เพียงแค่ชีวิตยังสามารถดำเนินไปได้ พวกเขาก็ยินดีที่จะรับเงินเดือนละหนึ่งก้วนอยู่ในเมืองหลวง แต่ไม่ยอมรับเงินเดือนละสองก้วนในชนบท
คาดหวังเมืองหลวงคงเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงคาดหวังชุมชนห่างไกลอื่นๆ
ชีวิตไม่ง่าย หาเงินลำบาก เยียนสุยคิดในใจ เพียงแค่ให้เงินเดือนมากกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ย่อมต้อมมีคนทำบัญชียินดีมา
เขาไม่อาจไปหาด้วยตนเองได้เพราะมีงานมาก
ดังนั้นเขาจึงไหว้วานให้นายหน้าช่วยหาคน
นายหน้าหาคนตามเงื่อนไขของเยียนสุย สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับมา
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่ามาทำงานในชุมชนสุ่ยจื๋อก็ส่ายหน้าระรัวราวกับกลอง
ชนบทห่างไกลแต่หาคนทำบัญชีเงินเดือนสองก้วน เกรงว่าจะเป็นการหลอกลวง
แม้จะไม่ใช่การหลอกลวง ชุมชนสุ่ยจื๋อทั้งยากจนทั้งห่างไกล คนอยู่ก็มีน้อย วันหนึ่งเห็นคนเพียงไม่กี่คน ผู้ใดจะไปให้โง่
อะไรนะ มีคนบุกเบิกอยู่ในชุมชนสุ่ยจื๋อ มีหลายพันคน มีกลิ่นอายของมนุษย์แล้ว
แล้วอย่างไร กี่พันคนทำการบุกเบิกก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงพื้นฐานความยากจนและความห่างไกลได้
เดินทางไปกลับ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองสามวัน
ในเมืองของแต่ละแคว้นสามารถหางานบัญชีทำได้อย่างง่ายดาย สภาพแวดล้อมดีอีกทั้งไม่เหนื่อย เหตุใดจึงต้องลำบากตรากตรำวิ่งไปทำงานในชุมชนสุ่ยจื๋อ
เงินสองก้วน จะบอกว่ามากก็ไม่มาก บอกว่าน้อยก็ไม่น้อย ไม่มีแรงดึงดูดมากนัก
นายหน้าหมดหนทาง ทำได้เพียงกลับมาหาเยียนสุยเพื่อบอกเล่าตามความเป็นจริง
เมื่อเยียนสุยได้ยินจึงรู้สึกปวดฟันขึ้นมา
แม้แต่คนทำบัญชีในชุมชนที่ห่างไกลยังไม่ยอมมาทำงานในชุนชมสุ่ยจื๋อ เขาจะไปหาคนได้จากไหนกัน
นายหน้าลำบากมาหลายวันจึงไม่อยากเสียแรงเปล่า เขาแนะนำคนผู้หนึ่งให้เยียนสุย
“หากพ่อบ้านเยียนเชื่อข้า ข้าแนะนำคนหนึ่งให้ท่าน เพียงแต่คนผู้นี้มีความพิเศษเล็กน้อย”
เยียนสุยไม่สนใจ “เจ้าลองบอกมา เขาเป็นผู้ใดกัน”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ ในโรงเรียนแคว้นชีมีบัณฑิตผู้หนึ่ง ฝีมือการแต่งบทกลอนกวีของเขาธรรมดามาก แต่เขาเชี่ยวชาญการคำนวณ นับเป็นอันดับหนึ่งทางด้านการคำนวณในโรงเรียนแคว้นชี หากพ่อบ้านเยียนอยากลองดู ข้าน้อยสามารถไปเชิญให้ได้”
เยียนสุยหัวเราะ “บัณฑิตในแคว้นจะยอมมาทำงานในชนบทนี้ได้อย่างไร มีเรื่องใดกันแน่ เจ้าพูดความจริงมา หากข้ารู้ว่าเจ้าปิดบัง ระวังชีวิตของเจ้าเอาไว้”
“ข้ามิบังอาจปิดบังพ่อบ้านเยียน ประสบการณ์ของบัณฑิตแห่งแคว้นชีผู้นี้ยาวนัก…”
…
โรงเรียนประจำแคว้นชี
หานฉีจงก้มหน้าเดินออกจากโรงเรียน
ชุดบัณฑิตบนตัวเขาถูกซักจนสีซีด อีกทั้งยังมีผ้าปะอยู่สองจุด สวมอยู่บนตัวอย่างโหรงเหรงและปลิดปลิว
ไม่เพียงแต่ชุดที่ปริดปริว คนก็ราวกับจะลอยไปด้วย
สีหน้าของเขาออกเหลือง ดูเหมือนคนที่กินไม่อิ่มจนขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน
ผมของเขายุ่งเหยิง สภาพของเขาดูไม่ดีนัก
เขาไม่สามารถเรียนหนังสือได้อีกแล้ว
เขาไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ซื้อพู่กัน หมึก กระดาษและหินฝนหมึกไม่ได้ ฝีมือการแต่งบทกลอนกวีก็ธรรมดา ไม่มีคนยินดีสนับสนุนการเรียนของเขา
อันที่จริงเมื่อสองปีก่อน หรือจะพูดให้แม่นยำคือหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ หานฉีจงยังเป็นบัณฑิตที่สง่างามในโรงเรียน
เขามีชาติกำเนิดจากครอบครัวเกษตรกรธรรมดาในแคว้นชี มีความฉลาดเฉลียวแต่เด็ก คนในชุมชนต่างบอกว่าเขามีคุณสมบัติในการเรียนหนังสือ
คำพูดนี้ถูกบิดาของหานฉีจงได้ยินเข้า
บิดาผู้แก่ชราจึงหาเงินจำนวนหนึ่งมาอย่างยากลำบาก วางแผนคิดจะส่งเขาไปเรียนในโรงเรียนเหมิงเสวีย[1]
สุดท้ายเมื่อไปถึงโรงเรียนเหมิงเสวีย ถึงได้พบว่าครอบครัวของพวกเขาไม่อาจส่งบุตรเข้าเรียนได้
สมัยนี้ การเรียนเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือย
ตัวหนังสือ ความรู้ บทกลอนกวี ตำรา หรือแม้กระทั่งพู่กัน หมึก กระดาษและหินฝนหมึก สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเล่าเรียนหรือการรับราชการล้วนถูกตระกูลใหญ่ผูกขาด
กระดาษหนึ่งตัดที่ถูกที่สุดราคาหนึ่งก้วน
พู่กันที่หยาบกร้านที่สุดต้องใช้เงินสองร้อยตำลึง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหินฝนหมึกหรือแท่งหมึก ราคามีแต่จะแพงกว่า
ส่วนตำรายิ่งเป็นทรัพยากรหายาก ราคาของมันไม่ใช่ครอบครัวเกษตรกรธรรมดาจะแบกรับไหว
เพื่อให้บุตรชายเรียนหนังสือ บิดาของหานฉีจงตัดสินใจให้หานจงฉีที่ฉลาดเฉลียวมุ่งหน้าไปพึ่งพาอาศัยตระกูลร่ำรวยในพื้นที่ กลายเป็นบริวารของตระกูลร่ำรวย
เมื่อมีการสนับสนุนจากตระกูลร่ำรวย หานฉีจงจึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการคำนวณของเขา
แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ตระกูลร่ำรวยนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี แม้แต่องครักษ์จินอู่ก็มีการเคลื่อนไหว
สุดท้ายตระกูลร่ำรวยนี้ล่มสลาย เมื่อต้นไม้ล่ม พวกลิงค่างชะนีบนต้นไม้ต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
หานจงฉีจึงสูญเสียการสนับสนุน
โชคดีที่เขาไม่ได้ถูกพัวพันเข้าไปในคดี
เขาเรียนหนังสือมาหลายปี อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการคำนวณ ทำให้เขาหางานทำบัญชีได้
แต่ไม่คิดว่าผ่านไปครึ่งปี เถ้าแก่ของเขาจะขาดทุนจนล้มละลาย
เขาเปลี่ยนเถ้าแก่คนใหม่ จากนั้นอีกครึ่งปีก็ล้มละลายเช่นเดียวกัน
ดังนั้น เขาจึงแบกรับชื่อเสียง ‘ดวงขัดนาย’
คราวนี้แย่แล้ว!
คราวนี้ไม่มีคนกล้าจ้างงานเขาแล้ว
ระหว่างนี้ หานจงฉีก็เคยคิดจะพึ่งพาตระกูลร่ำรวยอื่น
แต่แคว้นชียากจน ตระกูลร่ำรวยมีจำกัด
เขาเคยเดินทางไปเมืองหลวงมาแล้ว เมืองหลวงมีตระกูลร่ำรวยมาก
แต่ความสามารถของเขาธรรมดา มีเพียงทักษะการคำนวณที่โดดเด่น จึงยากที่จะก้าวหน้าในสมัยนี้
นอกจากนี้ ก่อนที่ตระกูลร่ำรวยจะรับคนย่อมต้องสืบประวัติก่อน
เมื่อสืบประวัติ ก็สืบไปถึงชื่อเสียง ‘ดวงขัดนาย’ ของหานฉีจง ผู้ใดจะกล้ารับเขากัน
เงินจ่ายไปแล้ว แต่อนาคตกลับไม่มีจุดหมาย
เรียนหนังสือก็ไม่อาจเรียนต่อได้
เรียนต่อไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่มีการแนะนำของตระกูลร่ำรวยหรืออาจารย์หยู เรียนมากแค่ไหนก็ไม่อาจเป็นขุนนางได้
ราชวงศ์ต้าเว่ยมีหนทางในการเป็นขุนนางอยู่สองทาง หนึ่งคือขุนนางแนะนำ หรือถูกขุนนางคัดเลือก
เหมือนอย่างหลิงฉางจื้อ สร้างชื่อเสียงจากการเหยียบไหล่ของบัณฑิตเมืองหลวงมากมาย ถูกอาจารย์หยูชื่นชมจนแนะนำให้เข้ารับราชการ
คำพูดของอาจารย์หยูมีน้ำหนักมาก หลิงฉางจื้อสามารถเป็นขุนนางระดับห้าขึ้นไปตั้งแต่เข้าราชสำนัก
บัณฑิตธรรมดา หากมีตระกูลร่ำรวยหรือขุนนางสนับสนุน การรับราชการในราชการท้องถิ่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เสียดาย หานฉีจงไม่มีการแนะนำจากตระกูลร่ำรวยหรือขุนนาง จึงไม่อาจเป็นขุนนางได้
ถึงแม้จะเป็นขุนนางชั้นล่างในราชการ ไม่มีคนแนะนำก็เป็นไม่ได้เช่นเดียวกัน
…
อันที่จริง เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ตอนที่ฮ่องเต้จงจ้งยังครองบัลลังก์ ราชสำนักเคยเปิดสอบคัดเลือกขุนนาง
เมื่อการสอบเริ่มต้นขึ้นก็เปรียบเหมือนเป็นการแทงรังผึ้ง
ตระกูลร่ำรวยในแผ่นดินรวมกลุ่มต่อต้าน
ขุนนางในราชสำนักเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง พวกเขาถวายฎีกาคัดค้านทุกวัน
เพราะเหตุใด…
การสอบคัดเลือกเป็นความโชคดีของบัณฑิตสามัญชน
หากสามารถสอบผ่านเป็นขุนนางในราชสำนัก บัณฑิตสามัญชนย่อมไม่ต้องพึ่งพาตระกูลร่ำรวย ไม่ต้องเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลร่ำรวยอีก
เมื่อบัณฑิตสามัญชนที่ไม่ต้องพึ่งพาตระกูลร่ำรวยเข้าสู่ราชสำนัก พวกเขาย่อมต้องอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ ยืนอยู่ข้างฮ่องเต้อย่างแน่วแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ราชสำนักย่อมแบ่งแยกเป็นขุนนางตระกูลร่ำรวยกับขุนนางสามัญชน
เนื่องจากชาติกำเนิด ทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นปรปักษ์กันโดยปริยาย
สถานการณ์นี้ ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใดย่อมล้วนยินดีที่จะเห็น เพียงแค่เขาไม่ใช่คนโง่
ใช้ขุนนางสามัญชนงัดข้อกับผลประโยชน์ของตระกูลร่ำรวย แย่งชิงสิทธิการพูดภายในราชสำนัก สร้างความแข็งแกร่งให้สิทธิของราชวงศ์ ทำให้การมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวประสบความสำเร็จ มันเป็นความฝันของฮ่องเต้
ฮ่องเต้จงจ้งเปิดการสอบคัดเลือก ใช้วิธีการสอบคัดเลือกบัณฑิตสามัญชนเข้าราชสำนัก เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของขุนนาง พูดได้ว่าเนขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
แต่กลับได้รับการคัดค้านจากรอบด้าน
การสอบคัดเลือกเป็นการตัดรากและทำลายของตระกูลร่ำรวย
เมื่อตระกูลร่ำรวยไม่ผูกขาดความรู้และสิทธิในกานรพูดอีกต่อไป ผลประโยชน์ของพวกเขาย่อมได้รับความเสียหาย
เมื่อมีขุนนางสามัญชนสนับสนุนฮ่องเต้ พวกเขาย่อมมีความมั่นใจในการยกดาบเผชิญต่อตระกูลร่ำรวย
สำหรับตระกูลร่ำรวยแล้ว สถานการณ์นี้น่ากลัวอย่างมาก!
พวกเขาสามารถมองดูจงจ้งฮ่องเต้ผลักดันการสอบคัดเลือกเฉยๆ ได้หรือ
ย่อมไม่ได้!
ว่ากันว่าตอนนั้นเพียงแค่เรื่องการสอบคัดเลือก ทั้งภายในและภายนอกราชสำนัก หรือแม้กระทั่งทั้งแผ่นดินล้วนไม่สงบสุข
ฮ่องเต้จงจ้งแบกรับแรงกดดันเปิดการคัดเลือกสามรอบ จนคัดเลือกบัณฑิตสามัญชนได้สามร้อยกว่าคน
เสียดาย สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่เวลา
ฮ่องเต้จงจ้งสวรรคต เมื่อฮ่องเต้องค์ก่อน หรือฮ่องเต้ซวนหยวนจงผิงสืบทอดราชบัลลังก์ เนื่องจากแรงกดดัน เขาจึงออกพระราชโองการยกเลิกการคัดเลือกในปีหยวนผิงหยวน
คำนวณเวลาดู การสอบคัดเลือกครั้งก่อนก็ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว
บัณฑิตสามัญชนในแผ่นดินไม่คาดหวังให้ราชสำนักเปิดการสอบคัดเลือกใหม่อีกแล้ว
พวกเขากลับคืนสู่วันเวลาที่ต้องพึ่งพาตระกูลร่ำรวย กลับสู่เส้นทางที่ต้องพึ่งพาตระกูลร่ำรวยและขุนนางแนะนำให้รับราชการ
…
หานฉีจงหมดความหวังในการรับราชการ อีกทั้งเขาไม่อาจหางานที่เหมสาะสมได้ ถึงแม้เขาอยากไปสอนหนังสือในโรงเรียนเหมิงเสวีย แต่อีกฝ่ายก็ไม่รับเขา
กล่าวหาว่าเขาเป็นตัวซวย
เขาหมดหนทางแล้ว
เรียนหนังสือมาหลายปี สุดท้ายทำได้เพียงกลับบ้านใช้ชีวิตแบบที่หน้าเผชิญดิน หลังเผชิญฟ้าอย่างนั้นหรือ
อนาถเสียจริง!
เขาเดินอยู่บนถนนเส้นที่สองในเมืองอย่างหมดอาลัยและล่องลอย
“หานซินแส หานซินแส…”
หานฉีจงทำเป็นไม่ได้ยิน อีกฝ่ายไม่ได้กำลังเรียกเขาอย่างแน่นอน
“หานซินแสรอก่อน อย่าเดินเร็วนัก!”
เขาถูกคนตบไหล่หนึ่งที หานฉีจงที่เหม่อลอยดึงสติกลับมา เขาหันกลับไปมอง อีกฝ่ายเป็นนายหน้าที่มีชื่อเสียงในแคว้น แต่ก่อนพวกเขายังเคยคุยกัน
นายหน้าแซ่หวัง ทุกคนต่างเรียกเขาว่าหวังเสี่ยวเอ้อ
หวังเสี่ยวเอ้อหัวเราะ “หากหานซินแสไม่ยุ่ง ตามข้าไปนั่งโรงน้ำชาสักประเดี๋ยว ข้ามีงานที่รับรองว่าท่านจะพอใจ”
หานฉีจงฉงนเล็กน้อย พูดโดยไม่คิดออกมา “ข้าไม่มีเงิน!”
มุมปากของหวังเสี่ยวเอ้อกระตุก “ไม่ต้องให้ท่านออกเงิน ข้าเลี้ยงท่านเอง”
มีเรื่องดีเพียงนี้เชียวหรือ
หานฉีจงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
หวังเสี่ยวเอ้อไม่พูดมากกับเขา ลากเขาไปโรงน้ำชา
…
สามวันต่อมา หานฉีจงปรากฏตัวที่เรือนพักร่ำรวยในชุมชนสุ่ยจื๋อ
บนตัวของเขายังคงเป็นชุดบัณฑิตที่ซักจนสีซีด สิ่งที่แตกต่างคือ ชุดของเขานั้นสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าสางอย่างเรียบร้อย
อย่างน้อยก็ดูดีกว่าเมื่อเทียบกับคราวก่อน สมกับเป็นบัณฑิตที่แท้จริง
บ่าวรับใช้เห็นเขา จึงโยนบัญชีเล่นหนึ่งให้ พลันพูดขึ้น “คิดบัญชี!”
หานฉีจงฉงน
บ่าวรับใช้พูดเสริม “หากคิดเสร็จภายในครึ่งชั่วยามก็ถือว่าผ่าน”
เมื่อได้ยินคำนี้ หานฉีจงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาหยิบลูกคิดขึ้นมาคำนวณ
บัญชีนี้ง่ายอย่างมาก แทบจะไม่ต้องใช้สมองด้วยซ้ำ
เขาคำนวณเสร็จโดยใช้เวลาเพียงแค่ธูปหนึ่งดอก
คิดเสร็จทั้งหมดได้เร็วเพียงนี้เชียวหรือ
บ่าวรับใช้มองเขาขึ้นลง ไม่เห็นว่าจะมีส่วนใดพิเศษ เขาพียงเห็นแค่ความยากจนของอีกฝ่าย คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเดินทางมาโดยไม่ได้กินข้าวเช้า เพราะปากของเขาแห้งอย่างมาก
บ่าวรับใช้ใจอ่อน พูดขึ้น “บนโต๊ะมีน้ำชา รินดื่มเองได้”
หานฉีจงต้องการน้ำแก้วหนึ่งแก้กระหาย เขาดื่มน้ำชาสามแก้วรวดอย่างไม่เกรงใจ หลังจากนั้นเขาถึงรู้สึกสบายท้องมากขึ้น
ไม่คิดว่าชาที่บ่าวรับใช้ในเรือนพักร่ำรวยดื่มนั้นจะไม่ใช่เศษชา หากแต่เป็นใบชาที่ขายในร้านชาจริงๆ
ดูท่าทางเรือนพักร่ำรวยนี้ไม่ขาดแคลนเงิน
บ่าวรับใช้พลิกสมุดบัญชี แอบตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
หานฉีจงไม่เพียงคิดบัญชีได้เร็ว อีกทั้งยังถูกต้องทั้งหมด ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย
บ่าวรับใช้ปิดสมุดบัญชีลง พูดกับเขา “ตามข้ามา!”
หานฉีจงเดินตามบ่าวรับใช้ผ่านทางเดินมาถึงห้องค้ำประกัน
เขามองพินิจรอบด้าน คิดภายในใจ ไม่คิดว่าสถานที่เปล่าเปลี่ยวจะมีเรือนอิฐที่สร้างได้สวยงามเพียงนี้
ดูท่าทางเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังต้องการบุกเบิกอย่างจริงจัง อีกทั้งจะบริหารพื้นที่แห่งนี้ในระยะยาว
หานฉีจงโล่งอก
หากต้องการบริหารพื้นที่นี้ระยะยาว ย่อมต้องมีความสามารถมาก
บางทีอาจจะไม่ล้มละลายในครึ่งปีก็ได้!
[1]เหมิงเสวีย คือ โรงเรียนที่สอนเพื่อเบิกความสว่างทางจิตใจในสมัยก่อน