คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 98 ปากคำ
ตอนที่ 98 ปากคำ
เวลานี้…
องค์หญิงจู้หยางหรือเซียวฮูหยินกำลังถกเถียงสถานการณ์ของแผ่นดิน ถกเถียงเรื่องของตระกูลเถา หรือแม้แต่เถาฮองเฮา
กองทัพเหนือ กองทัพใต้แบ่งกลุ่มลงใต้ ทำสงครามอย่างกล้าหาญ เป็นทหารที่แข็งแกร่งส่วนน้อยในแผ่นดิน
แต่แล้วกลับพ่ายแพ้ที่จำนวนคนน้อย ตายหนึ่งคนก็น้อยลงไปหนึ่งคน
อีกทั้งการเดินทางไกลไปทำสงคราม ทางใต้แทบจะถูกโจมตีจนทะลุแล้ว เป็นการยากมากที่จะเสริมสร้างกำลังทหารในพื้นที่
เหล่าท่านอ๋องกับกลุ่มแม่ทัพที่โฉบฉวยโอกาส ถึงแม้จะบอกว่าเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกร แต่ชนะที่มีเงินมา มีเสบียงมาก
กำลังพลมีจำนวนมาก
ถึงแม้จะพ่ายแพ้ไปหลายครั้ง แต่ความมั่นใจของเหล่าท่านอ๋องยังคงอยู่ ยังคงทำสงครามต่อไปได้
เพียงแค่เงินและเสบียงเพียงพอ พวกเขาสามารถรวมกำลังทหารนับแสนคนขึ้นมาได้ตลอดเวลา
มดเยอะย่อมกัดช้างตาย
เผชิญหน้ากับกองทัพของเหล่าท่านอ๋องที่มีกำลังพลจำนวนมาก กองทัพเหนือและกองทัพใต้ลำบากอย่างมาก ทำได้เพียงดำเนินการอย่างระมัดระวัง ทำสงครามอย่างมั่นคง ผลักดันอย่างเชื่องช้า
ยังมีอีกเรื่อง ราษฎรบนแผ่นดินเห็นใจประสบการณ์ของเหล่าท่านอ๋อง บ้างไปขออาศัยเหล่าท่านอ๋องอย่างเปิดเผย บ้างไปขออาศัยเหล่าท่านอ๋องอย่างลับๆ
ฮ่องเต้เข่นฆ่าเหล่าท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่เป็นธรรมนัก
เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน ชื่อเสียงของฮ่องเต้เสื่อมเสียในที่สุด
ยกเว้นฮ่องเต้สามารถชนะสงครามครั้งนี้ แก้ไขประวัติศาสตร์อย่างเปิดเผย
ฮ่องเต้กำลังถามองค์หญิงจู้หยาง “เจ้าคิดว่าข้าชนะได้หรือไม่”
องค์หญิงจู้หยางเซียวฮูหยินก้มหน้าลงเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงเป็นโอรสแห่งสวรรค์ สงครามครานี้อาจมีอุปสรรค แต่สุดท้ายฝ่าบาทย่อมได้รับชัยชนะ ตระกูลขุนนางบนแผ่นดินก็ไม่อนุญาตให้เหล่าท่านอ๋องชนะ พวกเขาจะมีการเคลื่อนไหวในไม่ช้า”
“จริงหรือ” น้ำเสียงของฮ่องเต้ทุ้มต่ำ
เซียวฮูหยินหลุบตา ฟังน้ำเสียงของฮ่องเต้ ราวกับไม่มีความมั่นใจ
แต่เซียวฮูหยินไม่กล้าวางใจ
จากความสัมพันธ์ในวัยเด็กของทั้งสอง เซียวฮูหยินรู้ดี ฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นคนนที่มีความคิดมาก เชี่ยวชาญแสดงความอ่อนแอ
นางพูดอย่างมั่นใจ “ข้าเชื่อมั่นว่าฝ่าบาทจะชนะ ดังนั้นข้าสนับสนุนอวิ๋นเกอบุกเบิก เมืองหลวงเงียบสงบ แผ่นดินเงียบสงบ การบุกเบิกถึงมีความหมาย”
เหตุผลนี้ดีมากแข็งแกร่งมาก ราวกับทำให้ฮ่องเต้พึงพอใจ
เขาจ้องมองเซียวฮูหยิน “เจ้าแก่แล้ว!”
เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “เพียงพริบตาเดียว หลายสิบปีผ่านไป จะไม่แก่ได้อย่างไร”
“ข้าก็แก่แล้ว!” ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ยังจำตอนนั้นได้ เหล่าพี่น้องร่ำเรียนอยู่ด้วยกันภายในพระราชวัง…”
เซียวฮูหยินก้มหน้า ยิ้มเสียดสี ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบในชั่วพริบตา
เรื่องถึงบัดนี้ พูดถึงตอนนั้นช่างไร้ความหมาย
ฮ่องเต้ถามขึ้น: “เจ้าแค้นฮ่องเต้องค์ก่อนหรือไม่ แค้นเสด็จปู่หรือไม่ แค้นข้าหรือไม่”
เสด็จปู่ก็คือฮ่องเต้จงจ้ง
แค้นฮ่องเต้องค์ก่อนก็คือฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิง
ฮ่องเต้จงจ้งประหาร “องค์รัชทายาทจางอี้” หลังจากนั้นก็เสียใจ
ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงมีความสัมพันธ์กับการตายของ “องค์รัชทายาทจางอี้”
คดีก่อกบฏนั้นเป็นแผนการของฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงหรือไม่ พูดยากมาก
มีหลักฐานจำนวนมาก มีพยานจำนวนมากล้วนสลายหายไป
เซียวฮูหยินสามารถมั่นได้ใจอย่างหนึ่งคือ หลังจากฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงขึ้นครองราชย์ เขาคิดจะสังหารนาง
เวลานี้เผชิญหน้ากับการซักถามของฮ่องเต้ นางตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าไม่แค้นผู้ใดทั้งสิ้น! เรื่องราวต่างๆ ล้วนผ่านไปแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ย่อมต้องมองไปด้านหน้า ไม่คิดเพื่อตนเอง ก็ต้องคิดเพื่อบุตร”
ฮ่องเต้หย่งไท่จ้องมองนาง ราวกับต้องการตัดสินจริงเท็จของคำพูดนี้จากสายตาของนาง
เซียวฮูหยินปล่อยให้เขามอง ท่าทางเปิดเผยไม่เกรงกลัว
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มอย่างกระจ่าง “เจ้ายังเหมือนกับตอนเด็ก ใจกล้ามาก”
เซียวฮูหยินส่ายหน้าระรัว “เวลานี้ข้าขี้ขลาดลงมาก”
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่มองเช่นนั้น “หากเจ้าขี้ขลาด เจ้าย่อมไม่เข้ามาฟ้องในวัง ยิ่งไม่ขอให้ข้าสืบเรื่องที่บุตรสาวของเจ้าถูกลอบสังหรณ์”
เซียวฮูหยินพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทไม่อยากสืบเรื่องนี้หรือ แต่ก็ใช่ อวิ๋นเกอของข้าเป็นเพียงคุณหนูตัวน้อยที่ไม่โดดเด่น ทั้งไม่ใช่ขุนนางราชสำนัก ทั้งไม่มีตำแหน่งพระราชทานจากราชสำนัก นางถูกลอบสังหารหรือไม่ จะตายหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ”
“เจ้ากำลังโทษข้าหรือ”
“ไม่บังอาจ!” เซียวฮูหยินโน้มตัวก้มหน้า แต่น้ำเสียงไม่อ่อนโยน
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “ฤดุหนาวนี้ บุตรสาวของเจ้าทำเรื่องมากมายเพียงใด ยังต้องให้ข้าเตือนเจ้าหรือ”
เซียวฮูหยินเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาทหมายความว่า อวิ๋นเกอของข้าถูกลอบสังหารเป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับหรือ แต่ฝ่าบาทอย่าลืม สิ่งที่อวิ๋นเกอทำล้วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของประชาชน เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน นางไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด”
“พังทลายจวนองค์หญิงไม่ใช่ความไม่ถูกต้อง?”
“ดูท่าทางฝ่าบาททรงต้องการคิดบัญชีย้อนหลัง เรื่องเมื่อปีที่แล้วยังพลิกออกมา เอาเถิด เอาเถิด อวิ๋นเกอของข้ายอมรับความโชคร้าย ข้าเข้ามาพระราชวังก็เป็นการเสียเปล่า”
น้ำเสียงของเซียวฮูหยินเย็นชามาก นางไม่กลัวฮ่องเต้หย่งไท่โกรธ
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ได้โกรธ แต่สีหน้าไม่ดีเล็กน้อย “นับแต่ข้าขึ้นครองราชย์ หลายปีนี้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า”
เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาทจะประหารข้าหรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้ารู้ดี ข้าไม่สามารถประหารเจ้าได้ เหมือนฮ่องเต้องค์ก่อนในเวลานั้น ในมือของเจ้ามีพระราชโองการของเสด็จปู่ ผู้ใดจะประหารเจ้าได้”
เซียวฮูหยินกลับพูด “ตำหนักบูรพาเหลือเพียงข้าคนเดียว ข้าตายหรือไม่ล้วนไม่กระทบกับสถานการณ์ หากข้าตายไป ฝ่าบาทมีแต่เสื่อมเสียชื่อเสียง ให้ข้ามีชีวิตอยู่ บีบบังคับให้ข้าแต่งบุตรสาวให้องค์ชายถึงจะเป็นการลงโทษข้าที่ดีที่สุด”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้ม “เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่โทษข้า ข้าได้ยินคำพูดของเจ้า เจ้ามีความไม่พอใจอยู่เต็มท้อง”
เซียวฮูหยินเปิดเผย “บุตรสาวถูกลอบสังหาร แต่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม จะไม่ให้ข้าไม่พอใจได้อย่างไร ฝ่าบาทไม่ยอมสืบเรื่องนี้ เช่นนี้ข้าบังอาจขอพระองค์ เรื่องนี้ข้าจะสืบเอง ไม่ว่าสืบถึงผู้ใด เมื่อถึงเวลานั้นฝ่าบาทอย่าได้รั้ง ข้าต้องการเพียงประหารผู้บงการ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น”
ฮ่องเต้หย่งไท่ลังเล
เซียวฮูหยินจ้องมองเขา “ฝ่าบาทกังวลว่าข้าจะสืบไปถึงผู้ใดหรือ แต่ข้าเชื่อว่าขุนนางราชสำนักย่อมไม่เสียสติเพียงนี้ เรื่องการลอบสังหาร ย่อมต้องมีผู้กำเริบเสิบสานบางการ คงไม่เดือดร้อนถึงราชสำนัก”
ฮ่องเต้หย่งไท่ถาม “ข้าได้ยินว่าเยียนอวิ๋นเกอจับเป็นได้สามคน นำสามคนนั้นให้องครักษ์จินอู่ ข้าให้ความยุติธรรมแก่เจ้า”
เซียวฮูหยินกลับส่ายหน้า “สามคนนั้นเข้าคุกหลวง ข้ากังวลว่าพวกเขาจะกลายเป็นเซียวอี้ การตายของใต้เท้าเถา เวลานี้ยังไม่สรุปคดี ทุกคนต่างบอกว่าเขาตายอย่างไม่เป็นธรรม”
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่พอใจอย่างมาก “เรื่องนี้ ตระกูลเถายังไม่พูดสิ่งใด เจ้ากลับวิ่งมารู้สึกไม่ยุติธรรมแทนตระกูลเถา อย่างไร เจ้ากำลังตำหินข้า ข้าบอกแล้ว นำสามคนนั้นให้องครักษ์จินอู่ ข้าย่อมต้อวให้ความยุติธรรมแก่เจ้า”
เซียวฮูหยินถาม: “หากไม่สงคนให้องครักษ์จินอู่จะเป็นอย่างไร”
ฮ่องเต้หย่งไท่ทำหน้าเย็นชา “ผลที่ตามมารับผิดชอบเอง!”
เซียวฮูหยินราวกับถูกบีบบังคับด้วยอำนาจของฮ่องเต้ “เอาเถิด เมื่อข้ากลับไป ข้าจะสงคนให้องครักษ์จินอู่”
สีหน้าของฮ่องเต้หย่งไท่ผ่อนคลายลง “เพียงแค่เจ้ารู้หน้าที่ของตนเอง ข้าย่อมไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า แม้มีวันหนึ่ง ตระกูลเยียนไม่ไหวแล้ว ข้ายังคงจะรักษาความร่ำรวยของเจ้า อย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้อง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เซียวฮูหยินก้มหน้ายิ้ม คำพูดของฮ่องเต้หย่งไท่ นางไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
พี่น้องอันใด หลังจากเกิดคดีก่อกบฏของ “องค์รัชทายาทจางอี้แล้ว” ก็ไม่มีพี่น้องอีกแล้ว
นางลุกขึ้นขอตัว “อวิ๋นเกออยู่ในจวนคนเดียว ไม่รู้จะกลัวเพียงใด ข้าต้องรีบกลับไปดูนาง”
ฮ่องเต้หย่งไท่คิ้วกระตุก
เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เห็นได้ชัดว่าเซียวฮูหยินลืมตาพูดจาเหลวไหล
หากเป็นคุณหนูอื่น ประสบกับการลอบสังหารย่อมต้องกลัว
เยียนอวิ๋นเกอ?
นางกลัวอันใดกัน!
นางต่อสู้เก่งกว่าผู้ใด
ได้ยินว่ามือธนูที่ลอบสังหารก็ถูกนางจับได้
คุณหนูที่กล้าหาญเพียงนี้ อยู่ในจวนคนเดียว ไม่มีผู้ใดควบคุม อยากทำอันใดก็ทำอันใด
แต่ว่าฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ได้รั้งเอาไว้
สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดแล้ว
“เจ้ากลับไปเถิด! หลังจากนี้ องครักษ์จินอู่จะไปรับคนในจวน”
เซียวฮูหยินโน้มตัวทูลลา
…
การเจรจาสิ้นสุด ขันทีจึงกล้าทูลฮ่องเต้หย่งไท่ “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ กำลังรออยู่ที่ตำหนักด้านข้าง”
ฮ่องเต้หย่งไท่รับสั่งทันที “เชิญฮองเฮาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากนั้นชั่วครู่ เถาฮองเฮาถูกเชิญเข้าตำหนักเจิ้งหยาง
“ถวายบังคมฝ่าบาท!” นางมองไปซ้ายขวา “องค์หญิงจู้หยางไม่อยู่หรือเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ถามนาง “ฮองเฮามาเพื่อหาจู้หยาง?”
เถาฮองเฮารีบพูด “หม่อมฉันได้ยินว่าจู้หยางเข้าวังมาฟ้องฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวนางอาละวาดฝ่าบาทจึงอยากเชิญนางไปดื่มชาที่ตำหนักเว่ยยาง”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะขึ้นมา “ฮองเฮามีใจแล้ว! จู้หยางออกจากวังไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล”
“ออกจากวังแล้ว” เถาฮองเฮาประหลาดใจ “ฝ่าบาทจะทวงความยุติธรรมให้นางหรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดอย่างคลุมเครือ “ดูสถานการณ์!”
เถาฮองเฮาร้อนใจ จะทำอย่างไรดี
เจ้าเด็กหัวรั้นติ้งเถา สร้างปัญหาทั้งวัน เรื่องนี้จะสงบอย่างไร
…
เซียวฮูหยินออกจากวัง ขึ้นรถม้า รับสั่งคนขับรถม้า “รีบกลับจวน!”
นางต้องจัดการเรื่องให้เสร็จสิ้นก่อนองครักษ์จินอู่
คนขับรถม้าขับเคลื่อนรถม้ากลับจวนองค์หญิงอย่างเร่งรีบ
เซียวฮูหยินเห็นเยียนอวิ๋นเกอ พูดขึ้นทันที “อีกเดี๋ยวองครักษ์จินอู่จะมานำตัวคนไป ข้าช่วยเจ้าถ่วงเวลาได้เพียงหนึ่งถึงสองชั่วยาม สามารถเปิดปากพวกเขาได้ภายในหนึ่งถึงสองชั่วยามหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถเจ้า เมื่อคนเข้าไปในสำนักองครักษ์จินอู่ เรื่องลอบสังหารอาจกลายเป็นคดีคลุมเครือ”
เยียนอวิ๋นเกอพูดทันที “ท่านแม่ช่วยข้าถ่วงเวลาสองชั่วยาม ข้าจะเอาปากคำมาให้ได้ จริงสิ พี่ใหญ่มาแล้ว! ข้าโกรธเขา ไม่อยากต้อนรับเขา ท่านแม่ช่วยข้าต้อนรับ ดีหรือไม่”
เยียนอวิ๋นฉวนรายงานบิดาชั่วเยียนโส่วจ้าน เยียนอวิ๋นเกอเป็นคนที่จดจำความแค้น ย่อมจำบัญชีนี้เอาไว้
เมื่อรู้ว่านางประสบกับการลอบสังหาร เยียนอวิ๋นฉวนรีบเดินทางมา
แต่นางไม่มีสีหน้าที่ดีให้อีกฝ่าย
เซียวฮูหยินตอบรับทันที “เจ้ารีบไปเถิด ทางเยียนอวิ๋นฉวน ข้าจัดการเอง”
…
คุกในจวนองค์หญิง เหล่าองครักษ์กำลังเฆี่ยนตีเชลยทั้งสาม
เชลยทั้งสามยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน ไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว
องครักษ์เฆี่ยนจนเหนื่อย สบถออกมา
เปลี่ยนคนอีกชุดมาบีบเค้นต่อ
คุกที่มืดมิดและอับชื้น แสงไฟไหวไปมา
ท่ามกลางความมืด คนชุดดำปิดหน้าราวเจ็ดแปดคนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
องครักษ์ร้องเสียงดัง “มีมือสังหาร!”
ฉึบ!
ดาบเข้าเนื้อ
องครักษ์ล้มลง
คนชุดดำปิดหน้าถือดาบใหญ่ที่เย็นยะเยือกพุ่งตรงไปยังเชลยทั้งสาม
ไม่ได้ช่วยคน หากแต่ฆ่าคน
ฆ่าคนปิดปาก!
ฉึบ!
เชลยตายไปหนึ่งคน
ฉึบ!
เชลยคนที่สองตาย
“มือสังหาร มือสังหาร…”
องครักษ์ของจวนองค์หญิงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าคุก ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
คนชุดดำพลางสู้พลางถอย พวกเขาถอยออกจากคุกในไม่ช้า
เชลยคนที่สามรอดมาได้อย่างโชคดี
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เยียนอวิ๋นเกอได้ปากคำจากเชลยคนที่สาม