คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 32
ตอนที่ 32 ผู้มาเยือนทั้งห้า
“เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาสอดเรื่องของข้า!?”
เมื่อเห็นว่ามีผู้มาขวางทางเข้าไว้ หลี่เปียวก็หยุดยั้งตัวเองและจ้องมองบุคคลผู้นั้นด้วยโทสะอันเดือดพล่าน แววตาดุร้ายของเขาแทบจะลุกเป็นไฟในตอนนั้น
“เจ้ามันหน้าไม่อาย ใช้สันดานโจรคิดจะแย่งชิงของผู้อื่นแล้วยังจงใจกล่าวหาคนบริสุทธิ์! พวกเจ้าต่างก็เป็นชายอกสามศอกแต่กลับรุมรังแกหนุ่มน้อยตัวเล็กๆ ไม่ละอายใจบ้างเลยรึ?!”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอายุประมาณสิบเจ็ดย่างสิบแปดก้าวออกมาด้านหน้าพลางกล่าววาจาถากถางหลี่เปียว เขาคือหนึ่งในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เดินตามสตรีวัยกลางคนเข้ามา
“ใช่ ถูกแล้วล่ะ พี่ฉีอวี้กล่าวถูกที่สุด เจ้ามันหน้าไม่อาย”
สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่มีผมถักเปียสองข้างอายุประมาณสิบสามปีเอ่ยเสียงแจ้วๆ พลางกระโดดไปยืนข้างๆ ฉินอวี้โม่
“พี่ชาย….” สาวน้อยเอ่ยขึ้นมา แต่กลับหยุดไปกลางคันเพราะในตอนนั้นเมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ นางก็พบว่าคนร่างเล็กผู้สวมใส่ชุดบุรุษสีดำล้วนนี้แท้จริงแล้วเป็นสตรี เด็กหญิงจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ ไม่สิ ต้องเป็นพี่สาวถึงจะถูก”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ สาวน้อยผมเปียยิ้มให้นางอย่างน่ารักน่าชังจนทำให้ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับไป
“พี่สาว ข้าชื่อ ฉีฉี นั่นคือพี่ชายของข้าชื่อว่า ฉีอวี้ แล้วคนผู้นั้นคือท่านแม่ของข้ามีนามว่า เหวินหย่า ส่วนนั่นก็คือสหายที่ดีของข้าเขาชื่อ หลิงเฟิง ” สาวน้อยนามว่าฉีฉีกล่าวแนะนำตัวเองและผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดให้ฉินอวี้โม่ฟังอย่างกระตือรือร้น นางหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “พี่สาวไม่ต้องกลัวไป ตราบใดที่เราอยู่ที่นี่ ชายคนนั้นไม่มีทางรังแกท่านได้”
เด็กหญิงผมเปียกล่าวขณะใช้มือลูบไหล่บางของฉินอวี้โม่เบาๆ เป็นการปลอบขวัญ อย่างไรก็ตามเพราะที่ส่วนสูงที่น้อยกว่าฉินอวี้โม่พอสมควร ทำให้สาวน้อยต้องเอื้อมมือจนสุดแขนเพื่อที่จะโอบรอบตัวฉินอวี้โม่และวางมือเล็กลงบนไหล่บางข้างหนึ่งให้ได้ คนตัวเล็กพยายามยกมือขึ้นและวางลง ยกขึ้นและวางลง ช้าๆ เบาๆ ให้อ่อนโยนที่สุดอยู่หลายครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้นมุมปากของฉินอวี้โม่ก็กระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางพยายามอย่างยิ่งไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา…. ‘สาวน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ’
อย่างไรก็ตามเมื่อได้มองดูเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายแต่หรูหราดูมีราคาของฉีฉีและฉีอวี้ รวมถึงเมื่อมองเห็นกิริยาท่าทางแสนสง่างาม และใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ของสตรีวัยกลางคนผู้ซึ่งฉีฉีกล่าวแนะนำว่าเป็นมารดาของนางแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่าตัวตนของคนเหล่านี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ที่สำคัญ บุรุษวัยกลางคนที่ยืนเผชิญหน้ากับหลี่เปียวในตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรอดีตสาวนักฆ่าก็มองความแข็งแกร่งของเขาไม่ออกเลยจริงๆ
‘คนคนนี้ก็คงเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเหมือนกันสินะ!’
“ท่านแม่ ข้าไม่คิดเลยว่ากลุ่มทหารรับจ้างระดับสองจะทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้ พวกเขาอาจหาญถึงขั้นกล้าก่อเรื่องขึ้นในสมาคมทหารรับจ้าง แล้วยังไม่มีใครในสมาคมนี้คิดจะจัดการกับพวกเขาอีก ข้าว่าเราน่าจะกลับไปบอกเรื่องนี้กับพี่จิ้งหงแล้วให้เขาเข้ามาจัดการนะขอรับ”
ฉีอวี้หันหน้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยในสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของหลี่เปียวต้องบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดน่ากลัวออกมา
“บัดซบ! พวกเจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้ามาหยามข้าในเมืองเยว่กวาง ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึไง?”
หลี่เปียวตวาดเสียงดังอย่างเดือดดาล พร้อมกันนั้นเขาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องของเขาเตรียมพร้อม เหล่าทหารรับจ้างในกลุ่มหมาป่าปีศาจเกือบสามสิบคนที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ด้านหลังหัวหน้าของพวกเขาก้าวออกมาด้านหน้าครึ่งก้าวพลางจ้องมองฉินอวี้โม่และผู้มาเยือนทั้งห้าตาไม่กะพริบ
“เหอะ เป็นแค่กลุ่มทหารรับจ้างระดับสองกลุ่มเล็กๆ กลับยโสโอหัง ทำกร่างไปทั่ว ไม่ต้องพวกเจ้าหรอก ต่อให้เป็นกรรมการสมาคมมาเองพวกเราก็ไม่กลัว!”
ชายหนุ่มอีกคนที่มีนามว่าหลิงเฟิงซึ่งยืนนิ่งเงียบมาตลอดกล่าวขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน
ซึ่งเรื่องนี้ฉินอวี้โม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง นางไม่คิดว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมาจะเกินเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ประธานสมาคมมาเอง พวกเขาก็คงไม่กลัว หรือบางทีอาจจะเป็นประธานสมาคมเองเสียด้วยซ้ำที่ต้องยำเกรงคนเหล่านี้
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลี่เปียวกล่าวขึ้นมาอย่างดุดัน ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินตรงไปหาสตรีวัยกลางคน
เมื่อหลี่เปียวเห็นอีกฝ่ายหันหน้าหนี เขาก็กัดฟันด้วยความโกรธแค้นทันที เขาลงมือจู่โจมบุรุษผู้นั้นอย่างไม่ลังเล
— ปัง! —
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ร่างของคนผู้นั้นไม่ได้มีท่าทีตั้งรับหรือหลบหลีกแม้แต่น้อย ทว่าหลี่เปียวกลับกระเด็นออกไปปะทะเข้ากับกำแพงอย่างแรง ร่างใหญ่โตไถลลงมาและกระอักเลือดคำโต สภาพย่ำแย่ไม่ต่างจากลูกน้องที่ถูกฉินอวี้โม่จัดการไปก่อนหน้านี้
“ผู้ฝึกกายา!”
“ผู้ฝึกกายา!”
หลี่เปียวชี้มือไปที่บุรุษวัยกลางคนผู้ลึกลักพลางอุทานออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อ
‘ผู้ฝึกกายา’ เทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตนภมายาที่แข็งแกร่ง พวกเขาเป็นผู้ที่มุ่นเน้นฝึกฝนร่างกายจากภายนอกจนทำให้ร่างทางกายภาพของพวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าเหล่าผู้ฝึกกายาจะไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นรองเหล่าผู้ฝึกพลังมายาในขอบเขตนภามายาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าหากฝึกฝนและบ่มเพาะร่างกายจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ในการต่อสู้แลกชีวิตกันผู้ฝึกกายาก็ไม่ได้เป็นรองผู้ใช้พลังมายาในขอบเขตนภามายาเลยแม้แต่น้อย
“ยังไม่ไปอีกรึ?”
บุรุษวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแววตากลับเย็นเฉียบจนน่าหวาดหวั่น
และสายตานั้นก็ทำให้หลี่เปียวถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อลุกขึ้นได้ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอันธพาลก็หันหลังวิ่งหนีหายไปจากสายตาผู้คนทันที
“ลุงหลัวเจี๋ย สุดยอดที่สุด”
สาวน้อยนามว่าฉีฉีวิ่งเข้าไปหาบุรุษวัยกลางคนผู้มีนามว่าหลัวเจี๋ยผู้นั้น ด้วยท่าทางดีใจ นัยน์ตาใสกระจ่างเป็นประกายระยับ
“สาวน้อยที่น่ารัก”
หลัวเจี๋ยยิ้มพลางยื่นมือออกไปบีบจมูกเล็กของฉีฉีอย่างเอ็นดู
ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาตัวตนของผู้มาเยือนทั้งห้าได้บ้างแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกับหลินจิ้งหงด้วย ที่สำคัญพวกเขายังมีผู้ฝึกกายาฝีมือสูงส่งเป็นองครักษ์คุ้มกัน ตัวตนของพวกเขาจึงพอจะคาดเดาได้ไม่ยากนัก
ถ้าหากความทรงจำของคุณหนูสี่คนเดิมไม่ผิดพลาด ตระกูลที่กุมอำนาจภายในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่ในขณะนี้ก็คือ ‘ตระกูลฉี’
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดจะทำตัวสอดรู้สอดเห็นในเรื่องนี้ นางปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้วเดินเข้าไปโค้งคำนับสตรีวัยกลางคนนามว่าเหวินหย่าเล็กน้อยเพื่อกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณนายหญิง ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ”
“สาวน้อยไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้น ข้ารู้ดีว่าต่อให้พวกข้าไม่มาช่วย เจ้าก็คงจะจัดการกับหลี่เปียวได้ไม่ยากอยู่แล้ว”
หลัวเจี๋ยกล่าว เขาจงใจหันไปมองเสี่ยวเฮยที่นอนขดอยู่บนไหล่ฉินอวี้โม่ ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะหนูน้อยฉีฉีเป็นคนขอให้ข้าเข้ามาช่วย ข้าก็คงไม่เข้าไปก้าวก่ายการแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมของแม่นางแน่”
ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ นางคาดเดาว่าเป็นเพราะเขามองเห็นตัวตนของเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนาง ตัวนางเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าอสูรเทวะในร่างย่อส่วนนั้นจะมีม่านพลังลึกลับบางอย่างอำพรางกายเอาไว้ ผู้ที่มีระดับพลังไม่สูงมากนักหรือมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอจะไม่สามารถมองเห็นได้ หลัวเจี๋ยเป็นถึงผู้ฝึกกายา การที่เขามองเห็นเสี่ยวเฮยได้นับเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหากเขามองไม่เห็นก็คงจะทำให้นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยแน่นอน
“ท่านลุงหลัวเจี๋ย ลุงทนเห็นคนมากรุมรังแกพี่สาวได้จริงๆ เหรอ?”
ฉีฉีมองหลัวเจี๋ยด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเดินมาจับมือของฉินอวี้โม่แล้วกล่าว “พี่สาว ข้าจะเรียกท่านอย่างไรดี?”
“ฉินอวี้โม่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยดให้เด็กน้อย นางไม่คิดจะปิดปังตัวตนกับฉีฉี
“พี่สาวฉินอวี้โม่ ดีจริงๆ”
ฉีฉียิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างมีความสุข
เมื่อเหวินหย่าได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่ คิ้วเรียวได้รูปของนางก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะเดียวกันดวงตาคู่งามภายใต้คิ้วบางก็เป็นประกายขึ้นทันที ทว่าทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะก่อจะจางหายไป
“แม่นางอวี้โม่ ตัวตนของเจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้ามองไม่ทันด้วยซ้ำว่าเจ้าเล่นงานเขาเหล่านี้อย่างไร”
แม้ว่าหลัวเจี๋ยจะเป็นผู้ฝึกกายาที่แข็งแกร่ง แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องยอมรับว่าเขาไม่สามารถมองเห็นการโจมตีของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนได้ ความเร็วของสตรีร่างบางผู้นี้ราวกับสายฟ้า แม้จะฝึกร่างกายมานานแต่เขาก็ยังเห็นกระบวนท่าของนางเป็นเพียงเงารางๆ เท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นนางเตะบุรุษสามคนออกไปได้ด้วยการตวัดขาเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังทำให้พวกเขากระเด็นออกไปฟาดกับผนังไกลเกือบสามสิบจั้ง การจะทำเช่นนั้นได้ ย่อมแสดงว่าความแข็งแกร่งทางกายของสาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกกายาร่างใหญ่แม้แต่น้อย
“มันก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าตกใจหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ ต่อหน้าของผู้ฝึกกายาระดับสูงเช่นนี้นางไม่กล้าอวดอ้างความสามารถหรือโอ้อวดว่าตนเองเก่งกาจ
“ไม่คิดเลยว่าแม่นางจะถ่อมตัวถึงเพียงนี้”
หลัวเจี๋ยยิ้มและไม่เอ่ยถามอะไรอีก
“แม่นางฉิน”
ฉีอวี้ที่เดินมาจากด้านหลังของฉินอวี้โม่ เอ่ยเรียกนาง
“คุณชาย มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“คุณชาย มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อฉินอวี้โม่หันกลับไปตอบรับนางก็พบกับฉีอวี้ผู้ที่กำลังหน้าแดงซ่าน
“นี่แก่นมายาและแกนชีวิตของแม่นาง”
ฉีอวี้ช่วยฉินอวี้โม่เก็บแก่นมายาและแกนชีวิตที่หล่นกระจายอยู่ตามพื้น ตอนนี้เขาเก็บมันได้ทั้งหมดแล้วและเอามาคืนให้นาง
แต่ทว่าเมื่อเห็นได้ใบหน้านวลอันแสนงดงามของนางชัดๆ ชายหนุ่มในอาภรณ์สง่างามก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้
“พี่ฉีอวี้ ทำไมต้องหน้าแดงด้วยเล่า?”
เมื่อได้เห็นใบหน้าและใบหูของพี่ชายกลายเป็นสีแดงเรื่อ ฉีฉีก็เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“หะ นี่หน้าข้าแดงอย่างนั้นหรือ?”
ฉีอวี้แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็น และตีหน้าเรียบเฉย ทว่าหัวใจของเขากลับกำลังเต้นรัว
“คุณหนู แก่นมายาและแกนชีวิตถูกตรวจนับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ในตอนนั้นเองเสียงเรียกของเสี่ยวโร่วก็ดังขึ้น เสียงสตรีร่างเล็กอีกคนที่ดังมาทำให้ฉีอวี้ที่กำลังเขินอายโล่งใจไปเล็กน้อย
ในตอนที่สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง ฉินอวี้โม่ก็สั่งให้เสี่ยวโร่วช่วยตรวจนับแก่นมายาและแกนอสูร และเวลานี้นางก็นับเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้เหวินหย่าและคนอื่นๆ เป็นการบอกลาก่อนจะเอ่ยขอตัวและเดินตรงไปที่โต๊ะติดต่อ
“หนุ่มน้อย ตอนนี้เจ้าจะให้เงินข้าได้แล้วใช่ไหม?”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มหวานหยดและเอ่ยเสียงนุ่มนวลใส่เจ้าหน้าที่หนุ่ม
“แน่นอนขอรับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขาเองก็เห็นกับตา หญิงสาวตรงหน้าไม่ใชบุคคลที่เขาจะล้อเล่นได้ คนระดับนี้อย่าทำให้โกรธเสียจะดีที่สุด
หลังที่พูดจบ หนุ่มน้อยก็รีบนำตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“แม่นางมีแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรภูตระดับดาราสูง(หกดาราถึงเก้าดารา) ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชิ้น และของอสูรภูตระดับดาราต่ำ(หนึ่งดาราถึงห้าดารา) ทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยหกสิบหกชิ้น ส่วนที่เหลือเป็นของอสูรมายาระดับต่ำทั้งหมดสามพันหกร้อนเก้าสิบแปดชิ้น รวมทั้งหมดแล้วแลกเป็นเงินได้ห้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยเหรียญทอง แต่ทางเราขอจ่ายเป็นตั๋วเงินมูลค่าหกหมื่นเหรียญทองถ้วน เผื่อเอาไว้เป็นการขออภัยและเป็นค่าทำขวัญให้แม่นางทั้งสอง โปรดรับไว้ด้วยขอรับ”
หนุ่มน้อยยื่นตั๋วเงินให้ฉินอวี้โม่ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อแสดงถึงความเคารพนอบน้อม
ตั๋วเงินที่ฉินอวี้โม่ได้รับมานั้นหนึ่งใบจะมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทอง ซึ่งครั้งนี้ฉินอวี้โม่ได้มาทั้งหมดหกสิบใบ
เสี่ยวโร่วนับตั๋วเงินซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความตื่นเต้น มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางมีโอกาสได้เห็นเงินมหาศาลขนาดนี้
ฉินอวี้โม่มองสาวใช้ตัวน้อยยิ้มๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางปล่อยให้เสี่ยวโร่วนับได้ตามใจ
หลังจากนับเสร็จแล้วเสี่ยวโร่วที่ดวงตาเป็นประกายก็ส่งตั๋วเงินคืนให้นายหญิงของตน ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุข
ฉินอวี้โม่เก็บตั๋วเงินใส่เข้าไปในแหวนมิติและพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขอบคุณและบอกลา
“ขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดีขอรับ แม่นางเดินระวังด้วย”
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยไม่กล้ารับคำขอบคุณจากฉินอวี้โม่อยู่แล้ว เขารีบโค้งคำนับตอบอย่างนอบน้อม
ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้อีกครั้งก่อนจะพาเสี่ยวโร่วออกไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรม
ซึ่งเมื่อนางหันกลับไปมองในทิศทางที่ผู้มาเยือนทั้งห้าอยู่อีกครั้ง ก็พบว่าพวกเขาเองก็จากไปแล้ว
ฉินอวี้โม่ไม่ใส่ใจมากนัก นางคิดว่าหากมีชะตาต้องกันก็คงจะได้พบกันอีกในวันข้างหน้า
อดีตคุณหนูสี่พาอดีตสาวใช้ที่ตอนนี้เป็นเสมือนน้องสาวออกมาจากสมาคมทหารรับจ้างและสอบถามทางกับคนแถวนั้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเยว่กวาง
โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเยว่กวางมีชื่อว่า โรงเตี๊ยมแสงจันทร์ ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ในจุดที่ถัดออกมาจากจวนของเจ้าเมืองไม่ไกลนัก ที่แห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมสุดหรูมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าผู้ใดหากมีเงินสักหน่อยและเดินทางผ่านมาพักแรมยังเมืองเยว่กวางก็ต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมชื่อเดียวกับเมืองแห่งนี้
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินมาตามทางที่มีผู้ชี้บอกไม่ไกลนักก็ได้เห็นตึกสามชั้นทรงสี่เหลี่ยมที่ดูใหม่เอี่ยมใหญ่โต ภายนอกตัวอาคารนั้นตกแต่งประดับประดาด้วยลวดลายไม้แกะสลักที่งดงามอ่อนช้อยดูหรูหราอลังการ
เมื่อเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมหญิงสาวทั้งสองก็พบกับความโอ่อ่ากว้างขวางและงดงามที่ไม่แพ้ภายนอก ทว่าเมื่อพวกนางเดินตรงไปที่ยังโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยมก็ต้องพบความผิดหวัง
“ต้องขอประทานโทษด้วย ขณะนี้โรงเตี๊ยมของเราเต็มแล้ว”
เจ้าของโรงเตี๋ยมกล่าวขออภัยฉินอวี้โม่
เป็นเพราะว่าเทศกาลอสูรล้อมเมืองที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน เวลานี้จึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้ามายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ โรงเตี๊ยมแสงจันทร์ของพวกเขาจึงถูกจองล่วงหน้าข้ามปีจนเต็มไปเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก้มศีรษะเล็กน้อย และเตรียมจะเดินออกไปหาโรงเตี๊ยมแห่งอื่น
ในตอนนั้นเอง พวกนางก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่คุ้นเคยดังขึ้น
.
.
.