คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 33
ตอนที่ 33 การแข่งขัน
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่แลกเงินจากเจ้าหน้าที่หนุ่มในสมาคมทหารรับจ้างสำเร็จ คณะเดินทางของเหวินหย่าก็ออกจากอาคารสมาคมทันทีโดยไม่เข้าไปร่ำลาสหายใหม่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะไม่ต้องการจะรบกวนนาง
หลังจากออกมาจากสมาคมทหารรับจ้าง พวกเขาทั้งห้าก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมแสงจันทร์ที่ได้จองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นและออกจากห้องพักมาเพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหาร พวกเขาก็ได้เห็นหนึ่งร่างบางในชุดสีดำล้วนและหนึ่งร่างเล็กในชุดสีเดียวกันดูคุ้นตากำลังจะเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม
“พี่ฉินอวี้โม่~”
สาวน้อยฉีฉีวิ่งเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างตื่นเต้นยินดีก่อนจะจับแขนเล็กของพี่สาวคนใหม่ไว้แน่น ในตอนที่พบกันเมื่อครู่ หนูน้อยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างจากฉินอวี้โม่ นางถูกชะตาพี่สาวคนสวยคนนี้
“พวกพี่เองก็พักที่นี่ด้วยหรือ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับพลางลูบผมเปียยาวของฉีฉี
“ที่นี่เต็มแล้วใช่หรือไม่? แม่นางหาห้องว่างไม่ได้ใช่ไหม?”
เหวินหย่าเดินเข้ามาหา นางมองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอีกครั้งและยิ้มตอบ นางชอบบุคลิกและบรรยากาศที่สัมผัสได้จากสตรีวัยกลางคนผู้นี้มาก กลิ่นอายจากตัวแม่นางเหวินหย่าทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน เมื่อได้พูดคุยด้วยแล้วทำให้นางรู้สึกสบายใจราวกับได้พบมารดาอีกครั้งก็มิปาน
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา เราจะจัดการเรื่องห้องให้ คืนนี้ข้ากับฉีเอ๋อร์จะนอนห้องเดียวกัน ห้องที่ว่างก็จะให้แม่นางอวี้โม่กับสหายเข้าพักได้”
เหวินหย่ายิ้มอ่อนหวานและหันไปพูดกับฉีฉี
“อย่าลำบากพวกท่านเลยเจ้าค่ะ ข้าว่าข้าไปหาโรงเตี๊ยมอื่นดีกว่า”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าและกล่าวปฏิเสธ แม้ว่านางจะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายให้ความเมตตาและหวังดีต่อตัวนางจากใจจริง แต่หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากจะรบกวนพวกเขา
“ไม่ลำบากเลย ไม่ลำบากสักนิด ข้าเองก็ไม่ได้นอนกับท่านแม่มานานแล้วด้วย วันนี้ข้าจะได้ฟังนิทานก่อนนอนด้วย แล้วข้าเองก็ชอบพี่ฉินอวี้โม่มาก พี่สาวท่านอย่าปฏิเสธเลยนะ”
ฉีฉียิ้มส่งสดใสให้อย่างมีความสุข
นางชอบกลิ่นอายจากตัวพี่สาวคนใหม่มาก และนางก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ พี่สาวคนนี้ให้นานขึ้นด้วย
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอรับน้ำใจของพวกท่าน”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นของเหวินหย่าและความกระตือรือร้นของหนูน้อยฉีฉีแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่อาจปฏิเสธพวกนางได้อีก อดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้แต่พยักหน้ารับไมตรีนี้ด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยมที่สุด”
ฉีฉีกระโดดตัวลอยพร้อมกับพูดอย่างดีใจ
“ท่านแม่ไปสั่งอาหารก่อนได้เลย ข้าจะพาพี่ฉินอวี้โม่และพี่เสี่ยวโร่วไปที่ห้องพักก่อน”
ฉีฉีจูงมือฉินอวี้โม่และพาเดินขึ้นไปชั้นบน หนูน้อยต้องการจะพาพี่สาวทั้งสองไปยังห้องพักก่อนเป็นอันดับแรก
“ได้สิ อย่าลืมพาอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วลงมาทานอาหารด้วยล่ะ”
เหวินหย่าส่งเสียงตอบรับและกำชับเรื่องอาหารมื้อเย็นกับฉีฉีที่เดินจากไปแล้ว สตรีผู้อ่อนโยนส่ายหน้าอย่าระอา แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดที่จะห้ามปรามบุตรสาวแต่อย่างใด
“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่”
ฉีฉีที่รีบพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วขึ้นไปจนเกือบจะถึงชั้นบนส่งเสียงดังตอบกลับมา
ห้องพักของคณะเดินทางทั้งห้าอยู่ที่ชั้นสาม ฉีฉีจูงมือฉินอวี้โม่ไม่ยอมปล่อย เด็กผู้หญิงผมเปียลากสตรีในชุดบุรุษเดินลิ่วๆ ตรงไปยังประตูห้องก่อนจะผลักเข้าไป
“พี่ฉินอวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว คืนนี้พวกท่านนอนที่นี่นะ”
ห้องของฉีฉีในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นห้องที่ใหญ่โตและกว้างขวางอย่างมาก มันใหญ่กว่าห้องของฉินอวี้โม่ที่จวนตระกูลฉินถึงสองเท่า อีกทั้งภายในยังมีเครื่องเรือนของใช้ครบครันพร้อมสรรพ
“สวรรค์ นี่คือห้องพักของโรงเตี๊ยมงั้นเหรอเนี่ย?”
เสี่ยวโร่วตกตะลึงเมื่อเห็นห้องที่ตนและนายหญิงจะใช้พักคืนนี้ สาวใช้น้อยอุทานอย่างตื่นเต้น นางไม่เคยเห็นห้องแบบนี้มาก่อน นางจำได้ว่าแม้แต่ในเรือนใหญ่หลังงามของตระกูลฉินก็ยังไม่มีห้องที่หรูหราและกว้างขวางเช่นนี้ แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วไม่คิดว่าในโรงเตี๊ยมที่เมืองเยว่กวางจะมีห้องสวยๆ เช่นนี้อยู่
เมื่อได้เห็นท่าทางของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“ไปกันเถอะ ลงไปทานมื้อเย็นกัน”
เมื่อพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมาดูห้องพักแล้ว ฉีฉีก็ดึงมือฉินอวี้โม่ให้เดินลงไปชั้นล่าง
เมื่อพวกนางลงมาถึงก็พบว่าแม่นางเหวินหย่าและคนอื่นๆ จับจองโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเอาไว้รอแล้ว ซึ่งในตอนนี้ทุกคนก็นั่งประจำที่อย่างเรียบร้อย และเหลือเพียงที่ว่างสามที่สำหรับสตรีสามนาง
โต๊ะสำหรับอาหารมื้อเย็นในวันนี้ของพวกนางถือเป็นโต๊ะที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยม เพราะตั้งอยู่ติดริมระเบียงในทำเลที่สามารถมองออกไปชมทิวทัศน์ของถนนหนทางในเมืองนี้ได้
ฉีฉีพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินมานั่งประจำที่เช่นกัน
ในตอนที่เสี่ยวโร่วออกมาจากเมืองหลิงซีพร้อมกับฉินอวี้โม่ นางมักจะแสดงความนอบน้อมและให้เคารพฉินอวี้โม่อยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นกิริยาที่บ่งบอกได้ชัดว่าทั้งคู่อยู่ในสถานะนายและบ่าว อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ก็ได้บอกกับเสี่ยวโร่วแล้วว่านางอยากให้เด็กสาวปฏิบัติกับนางอย่างเป็นกันเองเหมือนพี่น้องมากกว่าและไม่อยากให้มีพิธีรีตองเมื่ออยู่ด้วยกัน
ดังนั้นแล้ว เสี่ยวโร่วจึงค่อยๆ ปรับกิริยาของตนเองทีละน้อย เวลานี้นางปฏิบัติกับฉินอวี้โม่คล้ายอยู่กับพี่สาวขึ้นมาได้บ้างแล้ว แม้ว่าจะยังติดปากเรียกฉินอวี้โม่ว่าคุณหนูและยังมองว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายอยู่ตลอด แต่อย่างน้อยวิธีปฏิบัติของนางก็ผ่อนคลายขึ้นและไม่ได้มีกฎมากมายมาคอยกำกับไว้เหมือนที่ผ่านๆ มา
“แม่นางอวี้โม่ เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองอย่างนั้นหรือ?”
หลัวเจี๋ยเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มใจดี แม้จะไม่คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นคนเลวร้าย แต่ก็รู้สึกว่าตัวตนของสาวน้อยผู้นี้ค่อนข้างเป็นปริศนา องครักษ์วัยกลางคนจึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนางอยู่เต็มไปหมด
“ไม่ใช่ ท่านลุง พวกเรามาจากเมืองหลิงซี เราอยากจะเดินทางไปที่นครไป๋อวิ๋นและที่ผ่านเข้ามาในเมืองเย่วกวางแห่งนี้ก็เป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น ข้าเองก็ได้ยินมาบ้างว่า อีกเจ็ดวันข้างหน้าจะมีอสูรบุกโจมตีเมืองและจะเปิดให้ยอดฝีมือมากมายแข่งขันกันสังหารอสูร ข้าเห็นว่าน่าสนใจดี จึงคิดจะอยู่รอเพื่อเข้าร่วม”
ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านี้นางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง สตรีโฉมงามจึงบอกความตั้งใจของตนออกไปตรงๆ ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากมายนัก อีกทั้งหากนางเดาไม่ผิดคนเหล่านี้น่าจะมาจากนครไป๋อวิ๋นและนางเองก็กำลังจะเดินทางไปยังนครแห่งนั้น บางทีหากชะตาต้องกันนางอาจจะได้พบกับพวกเขาที่นั่นอีกครั้งก็ได้
“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”
“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อฉีฉีได้ยินฉินอวี้โม่กล่าว รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าไร้เดียงสาของนางอีกครั้ง หนูน้อยเอ่ยถามออกไปอย่างตื่นเต้นยินดี
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเรามาจากนครไป๋อวิ๋น ลุงหลัวเจี๋ยบอกว่าจะพาพวกเรามาหาประสบการณ์ หลังจากเทศกาลอสูรล้อมเมืองจบลงพวกเราก็จะกลับนครไป๋อวิ๋นกันแล้ว หากแม่นางฉินไม่รังเกียจ พวกเจ้าสองคนเดินทางไปพร้อมกับพวกเราดีหรือไม่?”
ฉีอวี้ยิ้มและเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า แต่ไม่ได้รับปากหรือตอบอะไรกลับไปตรงๆ นางต้องการจะรอดูสถานการณ์หลังจากนี้ก่อน
“รีบกินกันเถิด หลังจากกินข้าวเสร็จ ลุงหลัวเจี๋ยจะพาพวกเราออกไปเดินชมป่าแสงจันทร์”
หลิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองและกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ (บริกร) ที่กำลังยกถาดอาหารเข้ามา
“ก็ได้ ก็ได้ รีบกินแล้วก็ไปที่ป่าแสงจันทร์กันเถอะ”
ฉีฉีและฉีอวี้พยักหน้าก่อนจะหยุดบทสนทนาแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไม่ได้กินอะไรดีๆ มาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นอาหารร้อนๆ หอมกรุ่นหน้าตาน่ากินมากมายบนโต๊ะ พวกนางก็เริ่มกินอย่างมีความสุขโดยไม่เกรงใจ
หลังจากอาหารมื้อเย็นจบลง หลัวเจี๋ยก็ลุกขึ้นเป็นคนแรก
“แม่นางอวี้โม่ เจ้าสนใจจะไปที่ป่าแสงจันทร์กับเราหรือไม่?”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธคำชวนของหลัวเจี๋ย นางเองก็อยากรู้และอยากจะเห็นป่าแสงจันทร์ก่อนเทศกาลที่จะต้องสังหารอสูรสักครั้ง อีกทั้งหลังจากนี้นางก็จะต้องเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ไปอยู่แล้ว เป็นการดีเสียอีกที่จะไปสำรวจด้วยตาตัวเองก่อน
“เสี่ยวโร่ว เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ ข้าจะตามพวกเขาไปที่ป่าแสงจันทร์แล้วจะรีบกลับมา”
ฉินอวี้โม่บอกกับสาวใช้ผู้เสมือนเป็นน้องสาว ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วนับว่ายังอ่อนแออยู่มาก ถ้าหากให้นางติดตามไปที่ป่าแสงจันทร์ด้วย ฉินอวี้โม่เกรงว่าสาวน้อยอาจจะได้รับอันตราย
“เจ้าค่ะ งั้นข้าจะขอขึ้นไปนอนพักสักครู่ แล้วจะตื่นมาเตรียมน้ำอุ่นไว้รอคุณหนูกลับมาอาบนะเจ้าคะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย และไม่ได้ตื๊อจะตามฉินอวี้โม่ไป
“ข้าเองก็ขอตัว ข้าไม่อยากจะเข้าไปขัดความสนุกของเด็กๆ”
แม่นางเหวินหย่าผู้อ่อนโยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอรับ งั้นท่านแม่ไปพักผ่อนเถอะ ขอรับ”
ฉีอวี้และฉีฉีก้มศีรษะให้เหวินหย่าเล็กน้อย ดูเหมือนเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้เป็นมารดาจะไม่ไปด้วย สองพี่น้องก็คล้ายจะสนุกกันมากกว่าเดิม
“พวกเจ้าสองคนนี่นะ”
เหวินหย่าอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะให้กับความรักสนุกเป็นเด็กๆ ของบุตรชายหญิง ทว่าใบหน้างามก็ยังคงมีรอยยิ้มละไม
“เสี่ยวโร่วงั้นเจ้าคอยดูแลนายหญิงเหวินหย่าด้วย ถ้ามีอะไรหรือนายหญิงต้องการออกไปเดินเล่นข้างนอก เจ้าก็ออกไปเป็นเพื่อนนางด้วย”
ฉินอวี้โม่เองก็รีบสั่งการให้เสี่ยวโร่วคอยอยู่เป็นเพื่อนสตรีวัยกลางคนผู้ดูสูงศักดิ์
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย
หลัวเจี๋ยพาฉีอวี้ หลิงเฟิง ฉินอวี้โม่และฉีฉีออกไปจากโรงเตี๊ยมและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของป่าแสงจันทร์
ฉีฉีเกาะแขนของฉินอวี้โม่ไว้อย่างสนิทสนมและกุลีกุจอชี้ชวนนางดูสิ่งนั้นสิ่งนี้
ฉีอวี้และหลิงเฟิงเองก็ชวนฉินอวี้โม่คุยไปตลอดทางอย่างอบอุ่น
“พี่อวี้โม่ เหตุผลแรกที่เรามาที่เมืองเยว่กวางในครั้งนี้ก็เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง และอย่างที่สองก็คือพวกเราตามหาผลไม้ชนิดหนึ่งที่จะปรากฏเฉพาะภายในป่าแสงจันทร์”
ฉีฉีเป็นหนูน้อยผู้ใสซื่อ นางไม่เคยปิดปกความลับใดๆ ขอเพียงชื่นชอบหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้ใคร นางก็จะบอกอีกฝ่ายไปหมดทุกเรื่อง
ฉีอวี้ หลิงเฟิงและหลัวเจี๋ยเองก็รู้สึกดีกับฉินอวี้โม่ ฉะนั้นเมื่อได้ยินฉีฉีเอ่ยเรื่องนี้ออกไปพวกเขาจึงไม่ได้กล่าวห้าม
“พี่อวี้โม่ พี่รู้จักผลไม้แปลกๆ ที่เรียกว่าผลหลิวหลีไหม?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า
ผลหลิวหลีคือผลไม้หายากจนถึงยากมาก ทว่าขณะเดียวกันสรรพคุณของมันก็นับว่าวิเศษมากด้วย
ถ้าหากว่ากินผลหลิวหลีเข้าไปก็จะทำให้ผู้ฝึกพลังมายาในขอบเขตมายารัตนะสามารถทะลวงพลังขึ้นไปสู่ดาราที่สูงกว่าได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาจะสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะได้ทันที ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของคนคนนั้นพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย อย่างไรก็ตามการกินผลหลิวหลีถือเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายา เนื่องจากฤทธิ์ของผลไม้วิเศษชนิดนี้มีความรุนแรงมากเกินไป
“ท่านพี่ของข้ากำลังจะพัฒนาถึงระดับทิพย์มายาเก้าดารามาหลายวันแล้ว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตมายารัตนะไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหมดเลยมาที่นี่เพื่อหาผลหลิวหลี ถ้าเราหามันพบ ท่านพี่ของข้าจะได้ทะลวงพลังขึ้นไประดับสูงขึ้นได้”
ฉีฉีบอกเล่าจุดประสงค์ที่พวกนางมายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ออกไปตรงๆ นางไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดกับฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วผลหลิวหลีนี้เป็นผลไม้ที่หายากมาก การที่มีโอกาสได้ออกไปตามหาผลไม้ชนิดนี้ร่วมกันกับผู้ฝึกกายาระดับสูงอย่างหลั่วเจี๋ย รวมทั้งฉีอวี้และหลิงเฟิงที่น่าจะมีฝีมือสูงนับว่าเป็นผลดีกับฉินอวี้โม่มาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับทราบเมื่อได้ยินวาจาใสซื่อไม่คิดปิดบังสิ่งใดของฉีฉี ในขณะที่ฉีอวี้และหลิงเฟิงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาทุกข์ร้อนต่อคำพูดเจื้อยแจ้วของหนูน้อยแต่อย่างใด พวกเขายังคงมุ่งหน้าเดินกันไปต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะแฮ่ม เด็กน้อยทั้งหลาย ข้าก็ไม่อยากจะขัดจังหวะการสนทนาของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้มี ‘สหาย’ กลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาหาเรา ข้าคิดว่าพวกเรากำลังจะได้สนุกกันแล้วล่ะ”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างบทสนทนาอันแสนเพลิดเพลินนั้น พวกเขาก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของป่าแสงจันทร์อย่างไม่รู้ตัว ทว่ายังไม่ทันมุ่งหน้าไปได้ไกลนักเสียงเตือนของหลัวเจี๋ยก็ดังขึ้น
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ขยับตัวเตรียมพร้อมในทันที ทุกคนไม่กล้าประมาท ตอนนี้หัวใจของพวกเขาเต้นรัวจนรู้สึกได้ คนทั้งหมดมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้น ฝูงหมาป่ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้าใส่พวกเขา
“สวรรค์ พวกมันคือฝูงหมาป่าสายลม”
นี่เป็นการผจญภัยครั้งแรกของสาวน้อยฉีฉี การที่ได้เห็นฝูงหมาป่าวิ่งเข้าใส่แบบนี้จึงทำให้นางตื่นเต้นและประหม่าจนอุทานออกมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้
“พวกเด็กๆ ที่ข้าพาพวกเจ้าออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ประสบการณ์ และข้าก็อยากจะให้พวกเจ้าได้ออกแรงด้วยตัวเอง ถึงแม้ฝูงหมาป่าพวกนั้นจะค่อนข้างใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้สูงมากนัก ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจะไม่ช่วย พวกเจ้าจงรับมือกับพวกมันด้วยตัวเอง ตั้งใจให้ดี อย่าได้ประมาท!”
กล่าวจบหลัวเจี๋ยก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
“กริชเล่มนี้ถูกตีขึ้นมาโดยช่างหลอมอาวุธชื่อดังของนครไป๋อวิ๋น ชื่อของมันคือกริชน้ำแข็ง ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าครั้งนี้ใครจะสามารถสังหารหมาป่าสายลมได้มากที่สุด กริชเล่มนี้คือรางวัลสำหรับผู้ชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะกริชน้ำแข็งเล่มนี้จะตกเป็นของคนผู้นั้นในทันที”
หลัวเจี๋ยล้วงเอากริชเล่มหนึ่งที่มีใบมีดเปล่งประกายระยิบระยับงดงามออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นผู้ฝึกกายาก็ตวัดมันเข้าใส่แผ่นเหล็กอีกแผ่นที่เขานำออกมาพร้อมๆ กันต่อหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
กริชน้ำแข็งสามารถตัดเหล็กให้ขาดได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ ภาพนั้นทำให้ดวงตาของฉีอวี้และหลงเฟิงเป็นประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“กริชน้ำแข็งของลุงหลัวเจี๋ยเล่มนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเคยขอเขาหลายครั้งแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธตลอด ไม่คิดเลยว่าเขาจะนำมันออกมาเป็นรางวัลในครั้งนี้”
ฉีอวี้กล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องมองกริชในมือหลั่วเจี๋ยตาไม่กะพริบ เขาสนใจกริชเล่มนี้เป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่เองก็มองกริชน้ำแข็งอย่างพิจารณา มันเป็นกริชที่งดงามมากจริงๆ นางเองก็รู้สึกชอบมันเช่นกัน
ในตอนนี้ตัวนางก็ยังไม่มีอาวุธที่เหมาะสม ที่ผ่านมานางใช้เพียงกริชธรรมดาๆ รวมเข้ากับทักษะการต่อสู้ที่มีติดกายเท่านั้น หากได้อาวุธดีๆ ก็น่าจะช่วยให้นางพัฒนาฝีมือได้มาก ดังนั้นกริชเล่มนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนาง
เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายและสีหน้ามุ่งมั่นของเด็กๆ ทุกคน หลัวเจี๋ยก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
.
.