คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 34
ตอนที่ 34 คิดจะปล้นชิง
“จ๊ากกกก~!”
เสียงของฉีฉีดังขึ้นมา ก่อนที่ฝูงหมาป่าจะพุ่งตรงเข้ามาปิดล้อมเหล่าผู้เข้าแข่งขันในศึกชิงกริชน้ำแข็งเอาไว้
— ฉั้วะ! —
ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นกลางฝูงหมาป่าในพริบตา สตรีโฉมงามดึงเอากริชออกมาและพุ่งเข้าใส่พวกมันทันที
“ไปกันเถอะ พวกเราจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้”
ฉีอวี้เอ่ยขึ้น หลิงเฟิง และฉีฉีบุกตะลุยเข้าหาฝูงหมาป่าพร้อมๆ กัน
ในตอนแรก พวกเขาก็รู้สึกเป็นกังวลที่เห็นฉินอวี้โม่บุกเข้าหาฝูงหมาป่าในทันทีเช่นนั้น
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าสงบนิ่งของหลัวเจี๋ยที่ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พวกเขาก็ละทิ้งความกังวลเหล่านั้นลง เพราะตราบใดที่หลัวเจี๋ยยังอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครได้รับอันตรายอย่างแน่นอน
แม้ว่าฉีอวี้และหลิงเฟิงจะเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตทิพย์มายาเก้าดาราด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสฝึกการต่อสู้ในสถานการณ์จริงมาก่อนจึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนจะยังไม่กล้าพุ่งเข้าจู่โจมฝูงหมาป่าในทันทีเช่นเดียวกับที่ฉินอวี้โม่ทำ
ส่วนฉีฉีนั้น ระดับพลังของนางเพิ่งจะเข้าถึงขอบเขตทิพย์มายามาไม่นานและยังอยู่ในดาราที่ไม่สูงมาก แน่นอนว่าเด็กน้อยก็ยิ่งไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตราย
คนทั้งสามสู้พลางถอยพลาง พวกเขาพยายามจัดการกับหมาป่าทีละตัวๆ
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอสูรมายา แต่การได้ลองสู้ในสนามจริงเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนได้รับประสบการณ์รวมถึงช่วยขัดเกลาวิชาการต่อสู้ที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งเวลาผ่านไปศึกหมาป่าสายลมก็ดูเหมือนจะดุเดือดรุนแรงมากขึ้น
ฉินอวี้โม่เป็นนักฆ่าในชาติก่อน หลายวันมานี้เธอได้ลองต่อสู้ด้วยร่างกายใหม่นี้หลายครั้งทำให้เริ่มเกิดความคุ้นชินมากขึ้น รวมถึงยังได้ลองใช้ทักษะและวิชาเก่าๆ ในชาติที่แล้วด้วยร่างกายนี้ประยุกต์เข้ากับพลังมายาที่มี ทำให้ความแข็งแกร่งของตัวเธอในตอนนี้น่ากลัวกว่าในชีวิตก่อนมาก
ตัวเธอในอดีตชาติใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงมาโดยตลอด เดินทางอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความเป็นความตายมานักต่อนัก สำหรับเธอแล้วหมาป่าฝูงนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
หลัวเจี๋ยนั่งกัดผลผิงกั่ว (แอปเปิล) อยู่บนกิ่งไม้ เขาจับตามองฉินอวี้โม่ที่กำลังเริงระบำอย่างงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ทุกๆ การตวัดกริชหนึ่งครั้งของนางจะมีหมาป่าหนึ่งตัวที่ถูกฆ่าตายไป
หลังจากผ่านไปไม่นาน พื้นที่รอบตัวของฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยซากศพชุ่มเลือดของหมาป่าสายลมกองทับถมกันจนสูงเกือบท่วมตัวนาง
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ ตอนนี้อาภรณ์สีขาวยาวของฉินอวี้โม่ไม่เปื้อนและไม่ยับแม้แต่น้อย มันยังคงมีสภาพเดิมเหมือนเช่นตอนที่นางใส่ออกมาจากโรงเตี๊ยมทุกประการ ราวกับว่าสตรีผู้ที่เพิ่งสังหารหมาป่าไปเกือบทั้งฝูงผู้นี้ไม่ได้จับมีดต่อสู้ แต่ออกมาเดินเล่นชมนกชมไม้เท่านั้น!
ตรงกันข้ามกับฉีอวี้ หลิงเฟิง และฉีฉี สามหนุ่มสาวแห่งนครไป๋อวิ๋นมีสภาพเหน็ดเหนื่อยสะบักสะบอม เนื้อตัวก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนา ทว่าจำนวนหมาป่าที่พวกเขาจัดการไปแม้จะนำของสามคนมารวมกันก็ยังเทียบกับฉินอวี้โม่คนเดียวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
จำนวนหมาป่าสายลมที่เหลือรอดในตอนนี้ลดน้อยลงเรื่อยๆ จากที่มีเป็นร้อยตัวในตอนแรกกลับเหลืออยู่ไม่ถึงยี่สิบตัวแล้ว อย่างไรก็ตามพวกมันทั้งหมดก็ยังไม่มีท่าทีที่จะถอยหนี มันยังคงกระโจนเข้าหาฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ไม่หยุดยั้ง
ดูเหมือนจะมีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่ยังคงรับมือกับหมาป่าได้อย่างสบายๆ ในตอนนี้คนอื่นๆ ล้วนถูกความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงาน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเริ่มติดขัด เห็นได้ชัดว่าร่างกายใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
และในตอนนั้นเองที่สถานการณ์พลิกผัน เมื่อหมาป่าขนาดยักษ์ก้าวออกมา
หมาป่าสายลมตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ อย่างเห็นชัดได้ และยังดูมีพละกำลังมากกว่าหลายเท่า ที่สำคัญคมเขี้ยวขนาดใหญ่ของมันก็สามารถเขย่าขวัญผู้คนจนไม่อาจขยับตัวได้! ซึ่งในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น เจ้ายักษ์เขี้ยวคมก็กระโจนเข้าจู่โจมฉีฉีผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มในฉับพลัน!
“แย่แล้ว!”
เมื่อเห็นหมาป่ายักษ์พุ่งเข้าใส่ฉีฉี ฉีอวี้และหลิงเฟิงที่อ่อนด้อยในประสบการณ์การต่อสู้ก็ได้แต่ชะงักค้างตัวแข็งทื่อ หลัวเจี๋ยที่เดิมทีนั่งกัดผลไม้อยู่เงียบๆ ก็หายวับไปจากจุดนั้นในพริบตา เขาพุ่งตรงเข้าหาฉีฉีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะขัดขวางการโจมตีของหมาป่ายักษ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อการต่อสู้ดุเดือดขึ้น เหล่านักฆ่าหมาป่าฝึกหัดที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบก็รุกคืบเข้าไปในฝูงหมาป่ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ออกห่างจากจุดที่หลัวเจี๋ยอยู่มากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าหลัวเจี๋ยจะแข็งแกร่งมาก แต่ครั้งนี้เห็นทีว่าความช่วยเหลือของเขาอาจจะไปถึงหนูน้อยฉีฉีได้ไม่ทันการณ์
ในตอนที่หมาป่ายักษ์กำลังจะขย้ำฉีฉี หลัวเจี๋ยก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นขวางหน้ามันเอาไว้
— ฉึก! —
ในตอนที่หมาป่ายักษ์กำลังจะขย้ำฉีฉี หลัวเจี๋ยก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นขวางหน้ามันเอาไว้
— ฉึก! —
เจ้ายักษ์เขี้ยวคมล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนที่ลมหายใจของมันจะค่อยๆ แผ่วลงและหยุดไป หมาป่าสายลมขนาดยักษ์ถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หลัวเจี๋ยที่กำลังมุ่งหน้ามาเห็นเพียงกริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่ตรงส่วนหน้าผากของหมาป่ายักษ์…มันเป็นการโจมตีที่เข้าจุดตายอย่างแม่นยำ!
เมื่อหมาป่าตัวอื่นๆ ในฝูง เห็นว่าหมาป่ายักษ์ตัวนั้นตาย พวกมันก็ส่งเสียงหอนดังลั่นป่าก่อนจะพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายออกไป ดูแล้วหมาป่ายักษ์ตัวนี้ก็น่าจะเป็นจ่าฝูงของพวกมัน
“เฮ้อออ~ ข้านึกว่าจะต้องตายซะแล้ว”
ฉีฉีมองดูหมาป่าตัวใหญ่ที่สิ้นลมหายใจไปพลางเอามือลูบหน้าอกด้วยความขวัญเสีย
“พี่อวี้โม่ ขอบคุณจริงๆ”
ฉีฉีกอดแขนฉินอวี้โม่และกล่าวขอบคุณนาง
ฉินอวี้โม่ยิ้มส่งให้แต่ไม่ได้พูดสิ่งใดตอบกลับ
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หลังจากได้สติ ฉีอวี้และหลิงเฟิงก็รีบวิ่งมาหา พวกเขามองฉีฉีขึ้นๆ ลง ๆ อยู่หลายครั้ง และเมื่อพบว่านางไม่เป็นอะไร ทั้งคู่จึงค่อยโล่งอกขึ้นได้
ฉีอวี้มองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาซาบซึ้ง “แม่นางอวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ถ้าไม่มีเจ้าก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับฉีเอ๋อร์ไปแล้ว”
“อย่างเกรงใจไปเลย ฉีเอ๋อร์เป็นเด็กที่น่ารัก ข้าทนเห็นนางบาดเจ็บไม่ได้หรอก”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าพลางลูบผมที่ถักเป็นเปียของฉีฉี
“แม่นางอวี้โม่ ทำได้ดีมาก”
หลัวเจี๋ยกล่าวชมเชยฉินอวี้โม่ สาวน้อยผู้นี้มาถึงตัวฉีฉีได้ทันการณ์นั่นแสดงว่านางจับตาดูทุกคนอยู่ตลอดเวลาและยังรับรู้สถานการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่างชัด การฆ่าหมาป่าจำนวนมากไปด้วย อีกทั้งยังคอยจับตามองทุกคนเพื่อประเมินสถานการณ์ทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน นับว่าทำได้ยากยิ่ง หลัวเจี๋ยคิดว่าสตรีงดงามผู้นี้คงไม่ได้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตทิพย์มายาธรรมดาๆ เสียแล้ว
“เอาล่ะ มาจัดการต่อกันเถอะ ถึงแม้หมาป่าพวกนี้จะเป็นอสูรมายาระดับต่ำ แต่แก่นมายาและแกนชีวิตของมันก็ยังใช้แลกเป็นเงินได้”
ฉินอวี้โม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางหันไปมองซากหมาป่าสายลมที่กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นอย่างสดชื่น แววตาของนางเป็นประกายสุกใสราวกับได้เห็นเหรียญทองกองอยู่ก็มิปาน
ฉีฉีพยักหน้าตามอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางสังหารอสูรมายาไปมากมายถึงเพียงนี้ และเมื่อพี่สาวที่นางชอบทำท่าทางดีใจถึงเพียงนี้ ฉีฉีจึงรู้สึกคึกคักเป็นอย่างมาก
“เอ่อ แต่ว่าพวกเราจะเอาแก่นมายาและแกนชีวิตออกมาได้อย่างไร?”
เมื่อมองดูซากหมาป่าที่กองเกลื่อน ฉีฉีก็ทอแววตางุนงง นางไม่เคยเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาออกมาจากร่างของพวกมันมาก่อนเลย
ฉีอวี้และหลิงเฟิงเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาเองก็ไม่รู้วิธีการเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันออกมา
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ นางเอากริชออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาหมาป่าตัวหนึ่ง มือบางแทงกริชคมลงไปก่อนจะลากเป็นเส้นตรงในจุดที่มีแก่นมายาและแกนชีวิตของหมาป่าสายลมอยู่ หลังจากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็มองเห็นผลึกแก้วกลมขนาดไม่ใหญ่ลอยขึ้นมาทันที แก่นมายาและแกนชีวิตของหมาป่าตัวนั้นถูกดึงออกมาแล้ว
“แก่นมายาและแกนชีวิตเต็มไปด้วยพลังมายา ขอเพียงแค่พวกเจ้าหาจุดที่มันอยู่ได้และเปิดช่องให้ พวกมันก็จะลอยออกมาได้เอง”
ฉินอวี้โม่อธิบายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคว้าแก่นมายาและแกนชีวิตที่ลอยอยู่มาไว้ในมือ
“ฉีเอ๋อร์นี่ของเจ้า”
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็นของฉีฉี ฉินอวี้โม่ก็ส่งแก่นมายาและแกนชีวิตพี่เพิ่งขุดออกจากร่างหมาป่าสายลมตัวนั้นให้นางไป
“ขอบคุณพี่สาวมาก”
ฉีฉียิ้มตื่นเต้นและรับเอาแก่นมายาและแกนชีวิตนั้นมาอย่างชอบอกชอบใจ
ส่วนฉีอวี้และหลิงเฟิงนั้นแยกออกไปทำตามวิธีที่ฉินอวี้โม่บอกเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาถือกระบี่เล่มยาวที่คมกริบ ใช้สายตาประเมินจุดที่อยู่ของแก่นมายาและแกนชีวิต กำหนดเป้าหมายก่อนจะใช้กระบี่เปิดช่องว่างขนาดใหญ่ หลังจากนั้นก็รอให้แก่นมายาและแกนชีวิตลอยออกมา
“ว้าว วิเศษจริงๆ!”
ฉีฉีเองก็ได้ลองนำเอาแก่นมายาและแกนชีวิตออกมาด้วยตัวเองเช่นกัน ฉีฉีน้อยมองแก่นมายาและแกนชีวิตในมืออย่างตื่นเต้น การได้ล่าและเอาผลิตผลจากการล่าออกจากตัวอสูรมายามาด้วยตนเองเช่นนี้ทำให้นางอดภาคภูมิใจไม่ได้
เมื่อการล่าสิ้นสุดลงเหล่านักล่าก็เปลี่ยนมาเป็นนักขุดผลึก ในเวลานี้นักล่าหมาป่าทั้งหลายกำลังยุ่งอยู่กับการรวบรวมแก่นมายาและแกนชีวิตกันอย่างขะมักเขม้น
ผ่านไปไม่นานนักพวกเขาแต่ละคนก็มีแก่นมายาอยู่เต็มกำมือ ส่วนแกนชีวิตนั้นพบได้น้อยในอสูรมายาระดับต่ำๆ
“ถ้าเกิดว่านำทั้งหมดนี้ไปแลกที่สมาคมทหารรับจ้าง เราจะได้เงินมาเป็นร้อยๆ เหรียญทอง”
แม้ว่าฉีฉีและพี่ชายทั้งสองจะเกิดในตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย แต่พวกเขาก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อจินตนาการถึงเงินที่พวกเขาจะได้รับเป็นครั้งแรกจากการสังหารอสูรมายาด้วยตัวเอง
“ใช่ จากนั้นเราก็จะมีเงินมาซื้อของขวัญให้ท่านแม่”
ฉีฉีหัวเราะอย่างมีความสุขและวิ่งไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่รู้สึกว่ามีคนหลายคนกำลังมุ่งตรงมายังจุดที่พวกเขาอยู่
“มีบางคนกำลังมา โปรดระวังตัวกันด้วย”
“มีบางคนกำลังมา โปรดระวังตัวกันด้วย”
แม้ว่านางจะไม่ยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นใครและจะมีเจตนาร้ายหรือไม่ แต่อดีตนักฆ่าสาวก็ยังต้องเอ่ยปากเตือนทุกคนออกไป
ฉีอวี้และคนอื่นๆ รู้ดีว่าฉินอวี้โม่มีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าพวกตนมาก ฉะนั้นในทันทีที่นางเอ่ยปากเตือน พวกเขาก็หยุดมือจากงานที่กำลังทำและเดินมารวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว
หลัวเจี๋ยยิ้มออกมาและส่งกริชน้ำแข็งให้ฉินอวี้โม่
“ครั้งนี้เห็นชัดว่าผู้ชนะก็คือแม่นางฉินอวี้โม่ กริชน้ำแข็งเล่มนี้เป็นรางวัลของเจ้า รับไปสิ”
ฉินอวี้โม่รับกริชมาจากมือของหลัวเจี๋ยอย่างไม่เกรงใจ
“ส่วนเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นพวกเจ้าก็จัดการกันเองแล้วกัน ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซง”
เมื่อรู้สึกว่าคนกลุ่มนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว หลัวเจี๋ยก็ยิ้มมุมปากแล้วกระโดดกลับขึ้นไปนั่งกัดผลผิงกั๋วอยู่บนต้นไม้ตามเดิม
และทันทีที่หลัวเจี๋ยนั่งลงคนกลุ่มนั้นก็มาถึงอย่างพอดิบพอดี
“ดูนี่สินายน้อย มีซากหมาป่าตายเต็มไปหมดเลย”
คนผู้แรกที่มาเป็นบุรุษ เมื่อได้เห็นซากหมาป่าสายลมจำนวนมากที่ตายอยู่บนพื้น เข้าก็หันไปเอ่ยกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของกลุ่ม
“แบบนี้พวกเราก็รวยแล้วสิ?”
ชายอีกคนเอ่ยขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“นายน้อย ที่พวกเรากะว่าจะเข้ามาในป่าแสงจันทร์แห่งนี้เพื่อล่าอสูรมายาและนำแก่นมายาและแกนชีวิตกลับไป ตอนแรกก็คิดว่าจะกลับกันมือเปล่าซะแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเข้ามาจะมาเจอกองสมบัติแบบนี้”
ชายที่มาถึงเป็นคนแรกกล่าวขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“เจ้าพวกซื่อบื้อ ยังไม่ไปเอาแก่นมายาและแกนชีวิตออกมากันอีกรึ มัวแต่ยืนเซ่อพูดมากอยู่ทำไม?”
ชายผู้เป็นหัวหน้าตวาดลูกน้องทั้งสองด้วยความขุ่นเคือง
เขาก็คือหลานชายของเจ้าเมืองเยว่กวางแห่งนี้ มีนามว่าหลี่หลิน ครั้งนี้ที่เข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง แต่เนื่องจากเดินทางถึงที่นี่ล่วงหน้านานหลายวันทำให้เกิดความเบื่อหน่าย วันนี้เขาจึงพาคนเข้ามาในป่าแสงจันทร์หวังจะออกแรงล่าอสูรมายาแก้เบื่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงป่าแห่งนี้แล้ว เขาก็พบว่าเหยื่อที่นี่หากไม่แข็งแกร่งจนเกินไปก็เป็นพวกระดับต่ำที่ไร้มูลค่า ทำให้การเดินทางออกมาล่าสัตว์ในวันนี้แทบจะสูญเปล่า พวกเขายังไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือกลับไปเลย
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะพาคนกลับออกไปนั้น หลี่หลินก็บังเอิญได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นจากทางด้านนี้ ซึ่งทันทีที่มาถึงก็เห็นได้ซากของหมาป่าสายลมนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่เช่นนี้แล้ว
แม้ว่าหมาป่าสายลมจะไม่ใช่อสูรมายาระดับสูงมากนัก แต่แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันก็พอจะมีมูลค่า และก็ยังดีกว่าที่จะเขาไม่ได้สิ่งใดกลับไปเลย
คณะผู้มาใหม่กวาดสายตามองหมาป่าสายลมที่ตายเกลื่อนอยู่ตามพื้นแต่กลับมองไม่เห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
“ขอรับ พวกเราจะรีบเอานำแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันออกมา”
ชายผู้เป็นลูกน้องของหลี่หลินก้มศีรษะครั้งหนึ่งเป็นการรับคำสั่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังซากหมาป่าสายลมโดยไม่ลังเล
ทว่าทันทีที่เขาดังเอากระบี่ออกมาและเกือบจะเฉือนซากของหมาป่าสายลมนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามากระแทกด้ามกระบี่อย่างแรงจนมันหลุดกระเด็นออกไปจากเมืองของเขา
“เฮ้ เฮ้ เห็นพวกเราเป็นตอไม้รึไง!”
ฉินอวี้โม่และพวกพ้องยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มของหลี่หลิน พวกนางมีกันถึงสี่คน แต่ทว่าตั้งแต่เดินเข้ามาคนพวกนี้กลับไม่คิดที่จะมองพวกนางเลย เอาแต่สนใจซากของอสูรมายาที่พวกนางสังหารเท่านั้น
ที่สำคัญพวกเขาไม่เพียงแค่สนใจแต่ยังถึงกับคิดที่จะชิงเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาเหล่านี้ไปด้วย
อันที่จริง ที่นี่มีซากของหมาป่าสายลมอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าพวกเขาเข้ามาขอดีๆ อย่างมีมารยาท ฉินอวี้โม่ก็คงยอมใจดีแบ่งบางส่วนให้ได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับเพิกเฉยต่อพวกนางราวกับไม่มีตัวตนและเข้าไปเอาแก่นมายาและแกนชีวิตจากซากหมาป่าเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาตหน้าตาเฉย และไม่คิดจะถามหาเจ้าของ แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูผู้ผันตัวมาทำกิจการล่าอสูร…ไม่มีวันยอม!
และผลลัพธ์ก็คือ….ฉินอวี้โม่ปาก้อนหินออกไปปะทะกระบี่ของชายที่กำลังจะชิงแก่นมายาและแกนชีวิตของนางจนมันปลิวหลุดจากมือ
.
.
.