คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 35
ตอนที่ 35 ท่านลุงของข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ
“บัดซบ ใครเป็นคนทำ ออกมาหาบิดาผู้นี้ซะดีๆ!”
เมื่อชายคนนั้นเห็นกระบี่ในมือถูกกระแทกจนกระเด็นไปตกอยู่บนพื้น เขาก็รีบหันขวับไปยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่และคณะยืนอยู่แล้วขู่คำรามอย่างเดือดดาล
“เจ้าเรียกใครอย่างนั้นหรือ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“เรียกเจ้านั่นแหละ”
ชายคนนั้นตอบคำถามของฉินอวี้โม่ออกไปตรงๆ
“ดี แต่ข้าไม่ใช่ลูกเจ้า”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับไปด้วยวาจาเสียดสี
เมื่อได้ยินคำพูดของโฉมงามผู้มีฝีมือเก่งกาจ คณะนักล่าหมาป่ารุ่นเยาว์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ฉีอวี้และหลิงเฟิงไม่สามารถหยุดหัวเราะได้เลย ในขณะที่ฉีฉีนั้นหัวเราะตัวงอจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว ราวกับว่าพวกเขาทั้งสามไม่เคยได้ยินอะไรที่ตลกขนาดนี้มาก่อน ต่างจากโจรชิงแก่นมายาปากดีที่ยืนนิ่งอย่างขบคิด
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ! ไหนลองพูดอีกครั้งสิ!”
ในที่สุดชายผู้นั้นก็คิดได้ เมื่อเข้าใจคำด่าทอของฉินอวี้โม่เขาก็รีบตอบโต้พลางชี้หน้าด้วยความเดือดดาล
“ของดีมีเพียงครั้งเดียว หากเจ้าอยากจะฟังอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้าก็ต้องจ่ายแพงหน่อยนะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าววาจาเสียดสีต่อ
“เจ้า!!!…”
ด้วยวาจาเสียดสีของฉินอวี้โม่ ชายผู้นั้นจึงทนไม่ไหว เขาก้มลงเก็บกระบี่ที่พื้นแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจม
“พอแค่นั้นแหละ!”
หลี่หลินที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งตะโกนขึ้นมาพลางจ้องหน้าผู้ติดตามของตนเพื่อสั่งให้เขาหยุดมือ
“เจ้ามาจากที่ใด เหตุใดถึงกล้ามาลบหลู่คนของข้า?”
หลี่หลินย่างสามขุมเข้ามาอย่างวางท่า ขณะเดียวกันเขาก็กล่าววาจาด้วยเสียงเนิบช้าพลางเชิดหน้าเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูราวกับเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ก็มิปาน
“พวกข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนของเจ้าเองนั่นแหละที่ไร้ตา ถึงได้มองไม่เห็นพวกเรา”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย คนเหล่านี้มาถึงก็ลงมือชิงของผู้อื่น เห็นชัดว่าไม่คิดจะสังเกตดูพวกนางตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
“แค่ก– เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่เหตุใดเจ้าถึงลบหลู่คนของข้า?”
หลี่หลินสำลักวาจาของฉินอวี้โม่ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นสตรีผู้นี้และสหายของนางจริงๆ
“หึ หากมีคนมาปล้นแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่เข้าไปขว้างอย่างนั้นหรือ?!”
หลินเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยความขุ่นเคือง พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก
“แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกเจ้า?”
หลังจากที่กวาดสายตามองคณะล่าหมาป่าของฉินอวี้โม่ หลี่หลินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“อย่ามาตลกไปเลยหน่อยเลย แค่พวกเจ้าจะฆ่าอสูรมายามากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”
“อะแฮ่ม!”
หลังจากหยุดและส่งเสียงกระแอมออกมาครั้งหนึ่งเขาก็กล่าวต่อ “ที่สำคัญ ต่อให้พวกเจ้าฆ่าพวกมันจริงก็เถอะ แต่แก่นมายาในตัวหมาป่าเหล่านี้มีชื่อพวกเจ้าสลักเอาไว้งั้นหรือ ในเมื่อคนของข้าเป็นผู้มาพบมัน ถ้าหากว่าพวกเราจะเก็บก็เป็นสิทธิ์ของเรา”
วาจาของหลี่หลิงหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเขาไม่สนใจว่าผู้ใดจะเป็นผู้ที่สังหารอสูรมายาเหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการจะเก็บเอาแก่นมายาและแกนชีวิตพวกนี้ไป อีกอย่างเขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไรกลุ่มคนที่ดูกระจอกงอกง่อยกลุ่มนี้ก็คงจะขัดขวางพวกเขาไม่ได้แน่
ความคิดของหลี่หลินนับว่าไม่ผิด เขาพาคนติดตามมาด้วยเป็นมากมาย ดูเหมือนว่าฝ่ายพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าฝ่ายของฉินอวี้โม่มาก
เมื่อพิจารณาดูแล้ว มีเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่อาภรณ์ยังคงอยู่ในสภาพดี ส่วนฉีฉี ฉีอวี้และหลิงเฟิงนั้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบโลหิต แม้ว่าบุรุษสองคนในกลุ่มอาจจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็น่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วงมา ไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงผมเปียตัวกะเปี๊ยกที่เห็นชัดว่าอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม หากคนพวกนี้ต้องรับมือกับคนของเขาในตอนนี้แล้ว หลี่หลินก็เชื่อว่าฝ่ายตัวเองจะมีชัยอย่างแน่นอน
“เจ้าคนหน้าไม่อาย เจ้ากล้าเหรอ?”
เมื่อฉีฉีได้ยินสิ่งที่หลี่หลินกล่าวออกมา นางก็อดไม่ได้ที่จะชี้หน้าต่อว่าเขากลับไป
“เพ่ย ไม่เจียมตัว! เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับกล้ามาขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”
เมื่อได้ยินวาจาโอหังของฉีฉี สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ผู้เป็นหลานชายของเจ้าเมืองเยว่กวางเริ่มโกรธขึ้นมา
“เจ้าคนบ้า ข้าจะเล่นงานเจ้า”
ฉีฉีไม่ได้เกรงกลัว นางหยิบก้อนหินขึ้นมาและปาใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
ฉีฉีไม่ได้เกรงกลัว นางหยิบก้อนหินขึ้นมาและปาใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
และเป็นเพราะหลี่หลินไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กๆ จะขวัญกล้าทำอะไรคุณชายสูงส่งอย่างเขา เขาจึงไม่ทันได้เตรียมรับมือ ถูกก้อนหินที่ฉีฉีขวางมาอัดเข้าที่หน้าอกอย่างแรง บุรุษผู้คิดว่าตนสูงส่งรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ็บกายไม่เท่าไหร่และเจ็บใจนั้นมากกว่า
หลี่หลินเอามือกุมบริเวณที่ถูกก้อนหินปะทะพลางมองฉินอวี้โม่และเหล่าสหายด้วยแววตาโกรธจัด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะโอหังไม่ไว้หน้าเขาถึงเพียงนี้ “หึ ตอนแรกข้าคิดจะไม่ถือสาหาความเรื่องที่พวกเจ้ามาหยามพวกเรา แต่ในเมื่อกล้ามาลงมือกับข้าเช่นนี้ เห็นทีข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้แล้ว”
“บอกมาว่าใครคือหัวหน้าของพวกเจ้า?”
หลี่หลินจ้องมองคณะล่าหมาป่าเรียงคน ด้วยความเดือดดาล
“ข้าเอง”
ฉินอวี้โม่เอ่ยปากรับอย่างไม่ลังเล นางกล่าวต่อเสียงเรียบ “มีอะไรจะชี้แนะข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า ชี้แนะรึ? ใช่ข้ามีคำจะชี้แนะเจ้า!!” หลี่หลินแค่นเสียง
คุณชายผู้ว่าทางสูดลมหายใจเข้าลึกและผ่อนออกครั้งหนึ่งเพื่อควบคุมอารมณ์ เขาเดินวนไปวนมาก่อนจะหันมายิ้มเย็นพลางกล่าวต่อ “เจ้าเพิ่งจะหยามคนของข้าแล้วเด็กนั่นยังกล้าลงมือกับข้าอีก เรื่องนั้นทำให้ข้าไม่พอใจมาก ฉะนั้นถ้าวันนี้พวกเจ้าไม่มีคำตอบดีๆ ให้กับข้าล่ะก็ พวกเจ้าไม่ได้ออกไปจากที่นี่แน่”
“งั้นพูดมาว่าเจ้าต้องการอะไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่หลิน มุมปากของฉินอวี้โม่ก็กระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันทันที นางรู้เจตนาของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว
“เนื่องเจ้าบอกว่าพวกเจ้าเป็นคนฆ่าหมาป่าสายลมพวกนี้ ข้าก็ไม่อยากจะขัดการโอ้อวดของพวกเจ้า ขอเพียงแค่พวกเจ้ามอบแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกหมาป่าทั้งหมดรวมถึงตัวหัวหน้านั่นมา ข้าก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป มิฉะนั้นแล้ว…”
หลี่หลินหยุดพูดแล้วเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วเสียงดัง *เป๊าะ!* ซึ่งในทันทีที่เขาทำเช่นนั้น กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็พุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามคนเอาไว้
เมื่อครู่นี่เองที่หลี่หลินสังเกตเห็นว่า มีแก่นมายาและแกนชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกดึงออกไปจากซากหมาป่าแล้ว และในบรรดาหมาป่าสายลมทั้งหมดยังมีตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นอยู่ด้วย ซึ่งแก่นมายาของมันก็ถูกดึงออกไปแล้วเช่นกัน หลี่หลินจึงเกิดความคิดที่จะบีบบังคับให้หนุ่มสาวสี่คนตรงหน้ายอมส่งพวกมันให้เขา
แต่เดิมหลี่หลินคิดเพียงว่าจะเอาแก่นมายาและแกนชีวิตจากซากของอสูรมายาที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายเล่นงานเช่นนี้ ก็ทำให้เขาคิดข้ออ้างอันแสนชอบธรรมในการบีบบังคับเอาแก่นมายาทั้งหมดขึ้นมาได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโง่งมได้ถึงเพียงนี้”
ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะกล่าววาจาถากถาง
“อสูรมายากลุ่มนี้ พวกเราเป็นผู้สังหาร แก่นมายาและแกนชีวิตทั้งหมดจึงเป็นของพวกเรา ข้าเห็นพวกเจ้าบางคนแอบเอาพวกมันออกไป ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าส่งคืนมาแต่โดนดี ถ้าข้าโกรธขึ้นมา เรื่องไม่จบง่ายๆ แน่”
ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวคำขู่ของหลี่หลินเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเหล่าหนุ่มสาวจากนครไป๋อวิ๋นแล้ว ยิ่งไม่เห็นคนที่มีสถานะเป็นเพียงหลานเจ้าเมืองอย่างหลี่หลินอยู่ในสายตา!
ระดับพลังของหลี่หลินนั้นไม่ได้สูงส่งมากนัก ส่วนคนของเขาก็ไม่ได้น่ากลัวเลยเช่นกัน คนที่มีระดับพลังสูงสุดก็เป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาแปดดาราเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่ฉินอวี้โม่และคนทั้งสี่กลับรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่คู่ควรอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
หนุ่มสาวผู้เดินทางมาจากเมืองหลวงทั้งสามยังคิดเลยว่า แค่ฉินอวี้โม่เพียงผู้เดียวก็เพียงพอที่จะรับมือกับคนพวกนี้ทั้งหมดได้แล้ว
“ช่างกล้านัก!!!”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลี่หลินก็กัดฟันกรอดอย่างโกรธเคือง “ข้าบอกให้พวกเจ้ารีบส่งแก่นมายามา อย่างได้ชักช้า คนของข้ากำลังรีบ!!!”
“ส่งให้บิดาเจ้าสิ เจ้าพวกโง่!”
ฉินอวี้โม่ตวาดออกไป ทันใดนั้นร่างบางก็กระโจนไปอยู่ข้างกายหลี่หลินในพริบตา เวลานี้กริชน้ำแข็งที่งดงามแวววาวกำลังจี้อยู่ที่คอของคุณชายท่ามากอย่างน่าหวาดเสียว!
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าตัดศีรษะของเจ้าขาดได้ง่ายๆ ”
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าตัดศีรษะของเจ้าขาดได้ง่ายๆ ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นขณะมองดูหลี่หลินที่กำลังกลัวจนตัวสั่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
ยังไม่ทันที่คนของหลี่หลินจะตอบสนองก็ต้องพบว่าหัวหน้าของตนตกอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้ว การเคลื่อนไหวของสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นรวดเร็วเสียจนพวกเขามองตามไม่ทัน สถานการณ์ในตอนนี้น่าวิตกยิ่งนักเพราะนางอาจจะฆ่าเขาได้ทุกเวลา!
“ปล่อยนายน้อยเดี๋ยวนี้นะ!”
คนของหลี่หลินรีบส่งเสียงออกมาอย่างกระวนกระวายแล้วตรงเข้าจู่โจมฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิง อย่างไม่ลังเล
“ข้าล่ะเชื่อพวกเจ้าจริงๆ”
ฉีอวี้หันไปสบตาหลิงเฟิง เขากลอกตาพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะเตะเข้าใส่กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาจนร่วงลงไปกองกับพื้นทีละคนสองคน
“นี่พวกเจ้ามีสมองกันอยู่หรือไม่ พวกเจ้าอ่อนแอและไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ แต่กลับกล้ามาที่ป่าแสงจันทร์ เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหาญมาแย่งชิงของของพวกข้าโดยไม่ประมาณตัว ไม่กลัวตายกันรึยังไง?!”
ฉินอวี้โม่ดึงกริชของตัวเองกลับมาและจ้องมองหลี่หลินที่กำลังหน้าซีดเผือดตัวสั่นเทาด้วยสายตาดูถูก
“เหอะ จะ เจ้า! เจ้ากล้ามารังแกข้า กลับไปข้าจะไปรายงานท่านลุง รอให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะพวกเจ้าไม่รอดแน่”
แม้ว่าหลี่หลินจะหวาดกลัว แต่ปากของเขาก็ยังกล่าววาจาข่มขู่ ครั้งนี้เขาเอ่ยอ้างถึงท่านลุงเพื่อกดดันพวกฉินอวี้โม่
“ลุงของเจ้าเป็นใคร?”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นใสซื่อและถามออกไปอย่างใคร่รู้
“ท่านลุงของข้าคือเจ้าเมืองเยว่กวาง ถ้าเขารู้ว่าพวกเจ้ากล้ารังแกข้า พวกเจ้าก็น่าจะพอคาดเดาผลลัพธ์ได้!”
หลี่หลินกล่าวอย่างภาคภูมิเมื่อพูดถึงลุงของตน พร้อมกันนั้นความกลัวของเขาค่อยๆ สลายไป
“หากพวกเจ้าขอโทษข้าและยอมส่งของมา ข้าจะยอมเมตตาไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง”
หลี่หลินกล่าววาจาโอหังราวกับตนเป็นผู้กุมชีวิตของอีกฝ่าย เขาคิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองเยว่กวาง ฉะนั้นแล้วลุงของเขาคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด แม้ว่าฉินอวี้โม่และพวกพ้องจะแข็งแกร่ง แต่ก็ควรจะยอมขอโทษเขาหากได้ยินชื่อของท่านลุง
“พรวด ฮ่าฮ่าฮ่า!”
คำข่มขู่ของหลี่หลิน ทำให้ฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิงขำพรวดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ราวกับได้ยินมุขที่ตลกเป็นอย่างมากอีกครั้ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าลุงตัวเองเป็นเจ้าเมืองเยว่กวางแล้วจะวิเศษนักรึไง?”
ฉีฉีมองดูหลี่หลินด้วยสายตาดูถูกเป็นอย่างมาก “พวกเราเป็นถึงองค์หญิงและองค์ชายแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ทีนี้เจ้าลองบอกซิว่าสถานะของเจ้ากับสถานะของพวกเราใครสูงส่งกว่ากัน!”
แต่ทว่าทันทีที่หลุดปากเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฉีฉีก็ฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่อวี้โม่ พอรู้สถานะของพวกเราแล้ว พี่จะไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกเราแล้วใช่หรือเปล่า?”
พวกนางไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดสถานะของตนเองกับฉินอวี้โม่เลย ทว่าในโลกกว้างใหญ่ใบนี้มีผู้คนมากมาย อีกทั้งสถานะของพวกนางก็ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าหากนางบอกสถานะที่แท้จริงออกไปแล้วอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร อีกฝ่ายอาจจะเกรงกลัวจนไม่กล้าที่จะคบหาด้วยเลยก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่แต่แรก
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่บีบจมูกของหนูน้อยฉีฉีพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรื่องสถานะของฉีฉีและพี่ชายนางพอจะดูออกมาตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายยังไม่ต้องการบอกให้รู้ นางเองก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายถามก่อน และแน่นอนว่าฉินอวี้โม่จะไม่เปลี่ยนไปเพียงเพราะรู้เรื่องสถานะของสหายอย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่า ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียว”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม ฉีฉีก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกเป็นบ้า ถ้าพวกเจ้าเป็นองค์หญิง องค์ชาย งั้นข้าก็เป็นจักรพรรดิแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แน่นอนว่าหลี่หลินไม่เชื่อเรื่องนี้ เมื่อได้ฟังคุณชายจอมวางท่าก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เหล่าลูกน้องผู้ภักดีของเขาก็พากันหัวเราะ แม้ว่าบางคนจะลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้วก็ตาม พวกเขาเองก็ไม่เชื่อคำพูดของฉีฉี
“หุบปาก!”
เมื่อได้ยินวาจาของหลี่หลิน กลุ่มหนุ่มสาวทั้งสามก็กล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเห็นสีหน้าที่โกรธจัดของฉินอวี้โม่ หลี่หลินและลูกน้องก็พากันเงียบกริบในทันที พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและบรรยากาศแห่งความตายจากกายของฉินอวี้โม่ ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“หลี่หลิน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าถือว่ามีโทษ ฐานหมิ่นเบื้องสูง หากเจ้าเมืองทราบเรื่องนี้ เจ้าจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาข่มขู่ หลี่หลินผู้นี้หยิ่งยโสจนน่าขันแถมยังโง่งมอย่างแท้จริง
“ฮ่าฮ่า หากท่านลุงของข้ารู้ว่ามีคนหน้าไม่อายแอบอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าเองก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าใครกันแน่ที่จะถูกลงโทษฐานหมิ่นองค์จักรพรรดิ”
หลี่หลินยังคงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าเดรัจฉาน หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลี่หลิน คนกลุ่มหนึ่งก็รีบตรงเข้ามายังจุดที่พวกเขาอยู่
ผู้ที่เดินนำขบวนเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังทอแววตาเดือดดาล เขาผู้นี้ก็คือเจ้าเมืองเยว่กวาง–ลั่วชิงซาน ส่วนผู้ที่อยู่ข้างกายเขาและกำลังส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อยู่ในขณะนี้ก็คือ ลั่วอวิ๋น
ตรงกลางของขบวนนั้น มีรถม้าหรูหราราคาสูงอยู่คันหนึ่ง ซึ่งผู้ที่นั่งอยู่ด้านก็คือเหวินหย่าและเสี่ยวโร่ว เมื่อเห็นตัวเห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็กระโดดลงจากรถม้าทันทีก่อนจะรับตัวนายหญิงเหวินหย่า แล้วพาเดินตรงมายังจุดที่หนุ่มสาวนักล่าหมาป่ารุ่นเยาว์ยืนอยู่
.
.
.