คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 40
ตอนที่ 40 งานเลี้ยงอาหารค่ำ
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว ลั่วอวิ๋น และหน่วยที่หนึ่งแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเดินกลับไปยังเมืองเยว่กวางพร้อม ๆ กัน ซึ่งเมื่อมาถึงพวกเขาก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูเมือง
ฉินอวี้โม่มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของบุรุษผู้หนึ่ง ณ ประตูทางเข้าเมืองเยว่กวาง เขาคือคนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนางที่บึงสายหมอก — ชื่อเซียว แห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
ชื่อเซียวและทหารในหน่วยที่หนึ่งมายืนรอรับเสี้ยวฮังและหน่วยที่สามของเขาที่หน้าประตูเมือง ทว่าเมื่อเห็นว่าในกลุ่มของพวกเขามีฉินอวี้โม่ร่วมเดินทางมาด้วย เขาก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“มาถึงแล้วเหรอขอรับ นายน้อย”
เมื่อเห็นชื่อเซียว เสี้ยวฮังก็เข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงยินดี
ชื่อเซียวตั้งใจทิ้งหน่วยที่สามไว้ที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้เพื่อติดตามข่าวเกี่ยวกับเทศกาลอสูรล้อมเมืองและรอเป็นตัวแทนเข้าร่วมในนามของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนในกรณีที่เขาไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ทัน และในที่สุดตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ชื่อเซียวพยักหน้ารับคำทักทายของเสี้ยวฮัง ทว่าสายตาของบุรุษคนซื่อกลับจับจ้องไปยังสตรีงดงามที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าหน่วยที่สาม
“แม่นางฉิน ช่างบังเอิญยิ่งนัก พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
ความจริงแล้ว ที่ชื่อเซียวเสียเวลาอยู่ที่เมืองหลิงซีนานหลายวันก็เป็นเพราะเขาเกิดความสงสัยในตัวฉินอวี้โม่ผู้นี้จึงรั้งรออยู่เพื่อสืบหาเรื่องราวความเป็นมาของนาง
ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับตัวนางที่เขาได้รับมากลับแตกต่างจากฉินอวี้โม่คนที่เขาได้เห็นอย่างสุดขั้วราวกับเป็นคนละคน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขามึนงงไม่น้อยเลยทีเดียว
สิ่งที่เขาได้รู้มาก็คือ สตรีงามนามว่าฉินอวี้โม่นั้นคือคุณหนูสี่ผู้ไร้ค่าของตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซี
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ที่เขาพบวันนี้กลับเป็นผู้มีพรสววรรค์ระดับอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยทักษะที่เฉียบคม และยังมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากกว่าสตรีธรรมดาทั่วไป
ทว่าตามตำนานคนไร้ค่าแห่งเมืองหลิงซีที่เขาได้ฟังมานั้น คนในตระกูลฉินกลับปฏิบัติต่อคุณหนูผู้นี้อย่างเลวร้าย นางถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง และเพราะความไร้พรสวรรค์แต่กำเนิดจึงทำให้ไม่สามารถต่อต้านได้
แม้จะเที่ยวสืบเสาะหาข้อมูลอยู่หลายวันแต่ชื่อเซียวก็ไม่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมที่จะช่วยไขความกระจ่างให้ได้เลย ชื่อเซียวคิดว่าหากสืบต่อไปก็คงจะไม่ได้ความจึงตัดสินใจพาคนกลับมายังเมืองเยว่กวางก่อน และจนถึงตอนนี้ความสงสัยในตัวของสตรีตรงหน้าก็คงยังเต็มแน่นอยู่ในหัวของนายน้อยแห่งกองทหารชื่อเหยียน เขาไม่รู้เลยว่านางมีความลับใดที่กำลังเก็บซ่อนอยู่กันแน่
“บังเอิญจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ก้มหน้าให้ชื่อเซียวเล็กน้อยเป็นการทักทายแล้วกล่าวต่อ “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อน ตอนนี้ข้ารู้สึกค่อนข้างอ่อนล้า”
“เช่นนั้น เชิญแม่นางฉินตามสบาย”
เสี้ยวฮังหันไปมองชื่อเซียวและพวกพ้องในกองทหารหน่วยที่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเพื่อบอกพวกเขาเป็นนัยว่าไม่ให้รบกวนฉินอวี้โม่อีก เรื่องราวที่ผ่านมาค่อนข้างหนักหนา และเขาเองก็รู้ดีว่าวันนี้นางเหน็ดเหนื่อยมากมายแค่ไหน
ชื่อเซียวพยักหน้าเป็นการบอกลาสตรีผู้ลึกลับ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งฉินอวี้โม่ไว้
ลั่วอวิ๋นนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงส่งยิ้มอบอุ่นให้ฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยขึ้นก่อนนางจะลาจาก “จริงสิ แม่นางอวี้โม่ คืนก่อนวันอสูรล้อมเมือง ที่จวนเจ้าเมืองจะมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำ ท่านพ่อย้ำกับข้าว่าอย่างไรก็ต้องชวนแม่นางมาให้ได้ เจ้าอย่าปฏิเสธเลยนะ”
“ได้แน่นอนคุณชายลั่ว ข้าจะไปให้ได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำเชื้อเชิญ อดีตคุณหนูผู้เลอโฉมส่งยิ้มงดงามให้กับสหายทุกคนในที่แห่งนั้นก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ตัวน้อย
ลั่วอวิ๋นหันไปทักทายกับชื่อเซียวและคนของเขาเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับไปเช่นกัน
หลังจากสหายใหม่จากไปหมดแล้ว เสี้ยวฮังก็หันมาตั้งคำถามกับชื่อเซียว “นายน้อย ท่านรู้จักกับแม่นางฉินด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
ในตอนที่เขาได้ยินชื่อเซียวพูดกับฉินอวี้โม่ เขาก็อดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ มันเหมือนกับว่าฉินอวี้โม่กับนายน้อยของเขาเคยพบเจอกันมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเซียวพูดถึงสหายผู้แสนมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน
“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยร่วมมือทำภารกิจกันมาก่อน”
ชื่อเซียวพยักหน้า เขาไม่ได้คิดจะปิดบังคนในกองทหารของตัวเอง นายน้อยแห่งกองทหารระดับหนึ่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองหลิงซีให้เสี้ยวฮังและคนในหน่วยที่สามได้ฟังอย่างคร่าว ๆ
“ว่าแต่เหตุใดพวกเจ้าถึงได้รู้จักแม่นางฉิน และกลับมาพร้อมกับนางได้ล่ะ ?”
ไม่ใช่เพียงแค่เสี้ยวฮังที่สงสัย ชื่อเซียวเองก็งุนงงไม่แพ้กัน
“นายน้อย เรื่องนี้ค่อนข้างยาว แต่หากไม่ใช่เพราะแม่นางฉิน ข้าเกรงว่าวันนี้กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนของเราคงจะถูกหยามเกียรติเป็นแน่ มีอีกเรื่องที่สำคัญ ตอนนี้มีกลุ่มทหารรับจ้างระดับสองกลุ่มหนึ่งกำลังจะเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับหนึ่งแล้ว”
เสี้ยวฮังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในป่าแสงจันทร์ให้ผู้บังคับบัญชาของเขาได้รับรู้อย่างละเอียด
ถึงแม้ว่าในความจริงแล้วฉินอวี้โม่จะไม่มีน้ำใจมากมายถึงกับตั้งใจจะช่วยพวกเขาเอาคืนคู่แข่ง และสิ่งที่นางลงแรงทำไปก็เพียงเพื่อให้ได้ครอบครองผลหลิวหลีเท่านั้น แต่ทว่าเสี้ยวฮังและทหารรับจ้างทุกคนก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนางมาก หากไม่ใช่เพราะนาง ผลหลิวหลีคงจะตกอยู่ในมือของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาก็จะเสียหน้าและเจ็บแค้นเป็นอย่างมาก
“นายน้อย นี่คือผลหลิวหลีที่พวกเราได้มาขอรับ”
เสี้ยวฮังส่งผลไม้วิเศษที่ได้รับมาจากฉินอวี้โม่ให้ชื่อเซียวอย่างไม่ลังเล
ในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าภายในกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมีความสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอย่างมาก
“อาเสี้ยว ตอนนี้ข้ากำลังต้องการสิ่งนี้อยู่พอดี ฉะนั้นข้าขอไม่เกรงใจก็แล้วกัน แต่ข้ามอบสิ่งนี้ตอบแทนให้ พวกเจ้ารับมันไปเถอะ”
ตอนนี้ชื่อเซียวเองก็อยู่ในช่วงติดขัดมิอาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตถัดไปได้ หากเขาได้กินผลหลิวหลีนี้ บางทีมันอาจจะช่วยให้เขาทะลวงพลังและก้าวเข้าสู่ขอบเขตสูงขึ้นได้สำเร็จ ดังนั้นในเวลานี้ผู้เป็นนายน้อยแห่งกองทหารรับจ้างชื่อดังจึงต้องขอเสียมารยาทใช้มัน
อย่างไรก็ตาม ชื่อเซียวก็ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว เขาล้วงเอาโอสถของตนเองออกมาให้เสี้ยวฮังเป็นจำนวนมาก และแม้จะไม่อาจเทียบกับความล้ำค่าของผลหลิวหลีได้แต่เขาก็มั่นใจว่ามันมีประโยชน์ต่อหน่วยที่สามอย่างแน่นอน
“นายน้อย โอสถระดับสามมากมายขนาดนี้ มันราคาสูงเกินไป ข้าคงรับไว้ไม่ได้”
เมื่อเสี้ยวฮังเห็นโอสถที่ชื่อเซียวนำออกมาจากแหวนมิติ เขาก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เพราะสิ่งที่นายน้อยมอบตอบแทนให้พวกเขานั้นถือว่ามีมูลค่าสูงยิ่ง
“อาเสี้ยว รับมันไว้เถอะ ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”
ชื่อเซียวไม่ยอมเอาเปรียบลูกน้อง หากยึดเอาของที่พวกเขาต้องเหนื่อยยากหามาเช่นนี้ไป ตัวเขาเองก็คงจะไม่สบายใจเป็นแน่
เมื่อเห็นความตั้งใจของหัวหน้า เสี้ยวฮังจึงเลิกปฏิเสธ เขายื่นมือไปรับมันไว้แต่โดยดี
“จากที่เจ้าเล่ามา ตอนนี้แม่นางฉินมีอสูรเทวะอยู่ทั้งหมดสองตัว และจากที่เจ้าประเมินระดับพลังของนางน่าจะอยู่ที่ทิพย์มายาระดับเจ็ดอย่างนั้นใช่หรือไม่ ?”
เมื่อลองทบทวนเรื่องราวที่เสี้ยวฮังบอกเล่า ชื่อเซียวก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่อายุเพียงแค่สิบหกถึงสิบเจ็ดปี ทว่าตอนนี้ระดับพลังของนางกลับเข้าถึงขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราเป็นอย่างน้อยแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางยังมีอสูรเทวะในครอบครองอีกสองตัว ชื่อเซียวรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เริ่มจะมหัศจรรย์ผิดมนุษย์มากขึ้นทุกที
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นขยะไร้ค่าแต่กำเนิด เพราะหากเทียบกับฉินอวี้โม่แล้ว เหล่าผู้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะของแผ่นดินนี้ก็คงเป็นเพียงขยะเท่านั้น
“ไม่เพียงเท่านั้นนะนายน้อย แม่นางฉินยังเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่เก่งกาจมากอีกด้วย ข้าคิดว่าระดับของนางคงจะสูงมากแน่ ๆ ซึ่งถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ข้านึกไม่ออกเลยว่าขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายจะส่งคนไปทาบทามนางมากเพียงใด”
นางสามารถสยบอสูรมายาให้เชื่องได้นั่นแสดงว่านางเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร และเนื่องจากนางสามารถสยบอสูรมายาระดับเทวะได้ก็หมายความว่า อย่างน้อย ๆ นางก็ต้องเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรในระดับเดียวกันขึ้นไป
ผู้ฝึกสัตว์อสูรถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเพียงแค่การสยบอสูรมายาให้เชื่องก็ทำได้อย่างยากลำบากแล้ว การจะฝึกอสูรมายาให้เก่งได้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้นจึงจะทำได้ อีกทั้งการมีผู้ฝึกสัตว์มายาอยู่ภายในกลุ่มก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพของกลุ่มได้อย่างรวดเร็วและมหาศาลทำให้ผู้ฝึกสัตว์มายาเป็นที่เคารพยำเกรงและมีผู้นับหน้าถือตาทั่วทั้งแผ่นดิน และถ้าหากฉินอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรจริง ๆ ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะมีกี่ขุมกำลังที่ต้องการให้นางเข้าร่วม
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเสี้ยวฮัง ชื่อเซียวก็ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เขารู้สึกสับสน เขาไม่ทราบเลยว่าสตรีลึกลับผู้นี้จะยังมีความลับใดซ่อนเอาไว้อีกบ้าง
อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นคนดีและเป็นสหายที่น่าคบหา และเมื่อได้พบนางอีกเป็นครั้งที่สอง ชื่อเซียวก็มั่นใจแล้วว่าในใจของเขากำลังบังเกิดความรู้สึกหลงใหลในสตรีโฉมงามผู้นี้… และมันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเป็นเท่าทวี
“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว ในคืนก่อนอสูรล้อมเมืองจะเริ่มต้น พวกเราทุกคนจะไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จวนเจ้าเมืองกัน ข้าคิดว่าเทศกาลอสูรล้อมเมืองในปีนี้แม่นางฉินคงจะเป็นที่จับตามองของทุกคน”
ชื่อเซียวระบายยิ้มอ่อนเมื่อคิดว่าจะได้พบโฉมงามผู้ลึกลับของเขาอีกครั้ง นายน้อยแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเดินนำทุกคนกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก
เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า ฉินอวี้โม่จะแสดงผลงานได้ดีเพียงใดในวันอสูรล้อมเมือง
…..ทว่าตัวฉินอวี้โม่ผู้เป็นประเด็นหลักในหัวข้อสนทนาของเหล่าบุรุษในกองทหารกลับไม่ทราบเลยว่า ตอนนี้สถานะของนางในหัวใจของบุรุษคิดไม่ซื่อนามว่าชื่อเซียวกำลังไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ…..
นางพาเสี่ยวโร่วตรงกลับโรงเตี๊ยมและเตรียมจะช่วยสาวน้อยในการดูดซับพลังของผลหลิวหลี
“เสี่ยวโร่ว กินผลไม้นี่เข้าไปและนั่งลงตรงนี้ รวบรวมสมาธิให้ดี ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
เสี่ยวโร่วอึ้งไปชั่วขณะ นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายหญิงของตัวเองจะมอบสิ่งที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้ “คุณหนูจะให้ข้ากินจริง ๆ หรือเจ้าคะ ?”
“เด็กโง่ ข้าจะโกหกเจ้าทำไม เวลานี้เจ้าคือคนที่สำคัญที่สุดของข้า หากเจ้ายังอยากจะติดตามและอยู่เคียงข้างข้า เจ้าก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นให้เร็วที่สุด เข้าใจหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่บอกเล่าความในใจให้สาวใช้ตัวน้อยฟังในขณะที่ดึงให้เสี่ยวโร่วนั่งลง
ครั้งก่อนตอนที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกลักพาตัวไปนั้น ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนฉินอวี้โม่ไม่อาจตั้งรับได้ทัน และบทเรียนในเรื่องนั้นก็ทำให้อดีตนักฆ่าสาวตื่นตัวอย่างมาก นางต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบมากขึ้นและไม่กล้าประมาทอีกแล้ว
ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม แต่นางก็ไม่สามารถอยู่ดูแลทุกคนรอบข้างได้ตลอดทุกเวลา มีวิธีเดียวที่ทำได้คือต้องทำให้คนที่นางรักมีพลังเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องพวกเขา
นอกเหนือจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแล้ว คนที่สำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้ก็มีเพียงเสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วเติบโตขึ้นมาพร้อมกับนางตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เด็กน้อยผู้นี้ซื่อสัตย์ภักดีกับนางเสมอมา สาวใช้ตัวน้อยรักคุณหนูของนางจากหัวใจ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉินอวี้โม่ตัดสินใจที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยให้เสี่ยวโร่วแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อให้เสี่ยวโร่วสามารถป้องกันตัวเองได้
นอกเหนือจากการให้เสี่ยวโร่วกินผลหลิวหลีแล้ว ฉินอวี้โม่ยังคิดจะถามซิวในครั้งต่อไปที่อีกฝ่ายปรากฏตัวด้วยว่า หากนางอยากจะมอบอสูรมายาที่สยบมาได้ให้กับเสี่ยวโร่วจะต้องทำอย่างไร นางจะได้โอนย้ายอสูรมายาที่แข็งแกร่งของตัวเองไปให้เสี่ยวโร่วได้ สาวน้อยของนางจะได้มีคู่หูที่แข็งแกร่งไว้คอยช่วยเหลือ
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น เมื่อได้ยินที่คุณหนูของนางพูด นางก็ยิ่งเทิดทูนคุณหนูผู้นี้มากขึ้นอีก นางหมายใจแล้วว่าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อไล่ตามคุณหนูให้ทัน ในอนาคตนางจะได้ช่วยเหลือคนที่นางรักมากผู้นี้ได้
เสี่ยวโร่วกลืนผลหลิวหลีเข้าไปตามคำสั่งของฉินอวี้โม่และเริ่มรวบรวมสมาธิ ในเวลาเดียวกันนางก็ใช้จิตสำนึกของตนคอยชักนำให้กระแสพลังจากผลหลิวหลีไหลไปทั่วร่าง
ฉินอวี้โม่นั่งลงข้าง ๆ เสี่ยวโร่ว นางรู้ดีว่าระดับพลังและความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วยังต่ำอยู่ การที่นางกินผลหลิวหลีเข้าไปทั้งลูกเช่นนี้ถือเป็นเรื่องอันตราย
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรง ทันทีที่เสี่ยวโร่วกลืนผลหลิวหลีลงไป นางจึงต้องใช้พลังมายาของตัวเองเข้าช่วยเสี่ยวโร่วเพื่อให้สาวน้อยคงสภาวะพลังและความสมดุลของร่างกายเอาไว้ให้ได้ การทำเช่นนี้เป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่นางจะช่วยเสี่ยวโร่วได้มากที่สุด
ฉินอวี้โม่หวังว่าด้วยความช่วยเหลือนี้จะทำให้เสี่ยวโร่วดูดซับพลังของผลหลิวหลีได้ดีและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในตอนนี้ภายในร่างกายของเสี่ยวโร่วยังหลงเหลือกระแสพลังจากผลหลิวหลีอยู่อีกประมาณกึ่งหนึ่ง มันแพร่กระจายอยู่ทั่วร่างของนางและค่อย ๆ ยอมให้นางดูดซับเข้าไป
“ฟู่~”
ฉินอวี้โม่ลืมตาขึ้นมา สตรีผู้ล่วงเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกก่อนจะลุกขึ้นยืน
เป็นตอนนั้นเองที่เสี่ยวโร่วค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ สาวน้อยสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้นยืน และในทันทีที่ยืนขึ้นได้ แสงแห่งการเลื่อนระดับพลังก็ปรากฏขึ้นที่ฝ่าเท้าของนาง
ดวงดาราจากเดิมที่มีหกก็แปรเปลี่ยนเป็นเก้า จากเก้าดวงรวมเป็นดาราใหญ่หนึ่งเดียวก่อนที่ดาราดวงน้อยจะปรากฏเพิ่มขึ้นทีละดวงรวมเป็นหกดวงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งดาราดวงที่เจ็ดเปล่งประกายอย่างสมบูรณ์บนฝ่าเท้าของนางการเลื่อนระดับพลังจึงสิ้นสุดลง
หลังจากนั้นแสงจากดวงดาราทั้งเจ็ดก็หายวับไป ตอนนี้ลมหายใจของเสี่ยวโร่วถี่กระชั้นรุนแรงยิ่งกว่าตอนเริ่มกลืนผลหลิวหลีเสียอีก หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง
“คุณหนู ข้าเป็นผู้ใช้พลังมายาขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราแล้ว ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเจ้าคะ !”
เสี่ยวโร่วกำมือของฉินอวี้โม่อย่างแรงด้วยความตื่นเต้น นางรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
พรสวรรค์ของนางนับว่าธรรมดามาก ก่อนจะกินผลหลิวหลีเข้าไปนางยังเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาหกดารา ทว่าตอนนี้กลับพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนขึ้นมาอยู่ในขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราแล้ว
“ถึงแม้เจ้าจะขึ้นมาอยู่ขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราแล้วก็ตาม แต่สภาวะพลังของเจ้าก็ยังไม่มั่นคงนัก การพัฒนาที่รวดเร็วเกินไปจะทำให้พลังภายในของเจ้าค่อนข้างเรรวน ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้พลังเข้าที่”
เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวเตือนนาง
เสี่ยวโร่วพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น นางเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ดี ไม่ว่าคุณหนูของนางจะพูดสิ่งใดสาวน้อยก็พร้อมปฏิบัติตาม
“เอาล่ะ วันนี้พักผ่อนกันเถอะ ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่เหลืออยู่นี้ พวกเราจะอยู่แต่ที่โรงเตี๊ยม ข้าจะสอนวิชาการต่อสู้ให้เจ้าเอง เราจะเริ่มกันจากกระบวนท่าง่าย ๆ ก่อน”
ฉินอวี้โม่บอกสาวน้อยตรงหน้าแล้วไม่กล่าวอะไรอีก ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างมากจึงล้มตัวลงบนที่นอนทันทีเพื่อพักผ่อน
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงอีกหลังหนึ่งเช่นกัน
.
.
.