คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 42
ตอนที่ 42 บุรุษไร้ยางอาย
อารามและวิหารแห่งความมืดจัดเป็นสองขุมกำลังที่ลึกลับของดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ พวกเขาเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลจนผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต้องเกรงกลัว
กล่าวกันว่าทั้งสองขุมกำลังดังกล่าวนี้ล้วนมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นสำนักต่าง ๆ หรือตระกูลใหญ่ต่างก็ยำเกรงพวกเขา แม้แต่ราชวงศ์ของจักรวรรดิใหญ่ก็ยังถือว่ามีอำนาจด้อยกว่าขุมกำลังทั้งสอง
ทั้งอารามและวิหารแห่งความมืดไม่ได้มีจำนวนสมาชิกมากมายนัก ทว่าสมาชิกแต่ละคนกลับล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ทั้งสองขุมกำลังจัดเป็นมหาอำนาจแห่งดินแดนหวงหลิงนี้และไม่มีขุมกำลังใดเลยในแผ่นดินที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีศิษย์หรือสาวกคนใดของอารามและวิหารแห่งความมืดเลยที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันสูงส่ง
ในครั้งนี้ ลิ่วเยว่ ผู้เป็นหลานชายของผู้อาวุโสแห่งอารามได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองของเมืองเยว่กวาง ลิ่วเยว่ผู้นี้นั้น ในอารามเขานับเป็นมีพรสวรรค์ค่อนข้างดีผู้หนึ่ง เวลานี้อายุของเขาเพิ่งจะสิบแปดปี ทว่ากลับเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราแล้ว เท่านั้นยังไม่พอเขายังครอบครองอสูรเทวะเจ็ดดาราเอาไว้อีกด้วย
ฉินอวี้โม่และแขกคนอื่น ๆ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำนั่งรอกันอยู่พักใหญ่ จากเฝ้ารอและพูดคุยกันตามปกติก็เริ่มหมดหัวข้อสนทนาและเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่าย จนกระทั่งหลาย ๆ คนมีท่าทีให้เห็นว่าเริ่มหมดความอดทนแล้ว และเป็นตอนนั้นเองที่มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในพื้นที่จัดเลี้ยงอย่างช้า ๆ
คนผู้นั้นเป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงิน และน่าจะมีอายุราว ๆ สิบแปดถึงสิบเก้าปี ถึงแม้จะเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วกลับดูคล้ายเป็นผู้ที่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย หน้าตาของแขกผู้มาใหม่นี้ค่อนข้างหยาบกระด้างไม่ชวนมองเท่าไหร่นักอีกทั้งแววตาของเขาก็พร่ามัวไม่สดใส ดูจากภายนอกแล้วก็มิน่าใช่คนที่ชวนคบหาเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับตัวแทนจากอารามก่อนจะนั่งลง ซึ่งการที่เขานั่งลงตรงตำแหน่งนั้นก็บ่งชี้ว่าเขาคงจะเป็นลิ่วเยว่ตัวแทนจากอารามที่ทุกคนกำลังนั่งรอกันอย่างแน่นอน
“ขออภัยที่มาสาย”
ลิ่วเยว่เอ่ยขออภัย ทว่าภายในน้ำเสียงกลับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลย
เมื่อได้ยินคำพูดสั้นห้วนรวมถึงน้ำเสียงของลิ่วเยว่ บรรดาแขกของงานเลี้ยงต่างก็อดขมวดคิ้วไม่ได้… บุรุษที่มาจากอารามผู้นี้ช่างหยิ่งยโสมากจริง ๆ
“ท่านเจ้าเมืองหากมีอะไรจะกล่าวก็ขอให้รีบหน่อย เพราะข้าผู้นี้ยุ่งมาก”
ลิ่วเยว่กวาดสายตามองแขกเหรื่อทั้งหลายที่กำลังชักสีหน้าและใช้แววตาไม่พอใจจับจ้องมาที่ตัวเขา ทว่าบุรุษผู้มาจากขุมกำลังทรงอิทธิพลกลับไม่เห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา เขาหันหน้าไปมองท่านเจ้าเมืองอีกครั้งราวกับต้องการกดดันให้อีกฝ่ายรีบกล่าวเปิดงาน
ทว่าในระหว่างที่กำลังหันหน้ากลับไปนั้น สายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับร่างอรชรของสตรีผู้หนึ่งที่ฝั่งตรงข้าม ลิ่วเยว่ที่บังเอิญเหลือบไปฉินอวี้โม่ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปจ้องมองนางด้วยแววตาตกตะลึง
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก !”
บุรุษผู้มาจากอารามมองดูฉินอวี้โม่พร้อมกับอุทานเสียงดังลั่นอย่างไม่คิดที่จะควบคุมตัวเอง
‘สวมอาภรณ์ยาวสีขาว…ผิวเรียบเนียนดุจไข่มุก…ขาวเปล่งปลั่งดั่งหิมะบนยอดเขา…ใบหน้าสดใสงดงามราวกับดอกท้อ…ดวงตาเนื้อทรายเป็นประกายเฉิดฉาย…และคิ้วเรียวรูปใบหลิวดูงามสง่า…อีกทั้งยังดูมีกลิ่นอายแห่งสตรีชั้นสูง…นางคือหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพเซียน’
ลิ่วเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เกรงใจผู้ใดก่อนจะเดินตรงเข้าไปสตรีโฉมงามในความคิดของเขา
“แม่นางคนงามผู้นี้มีนามว่าอะไร ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติผูกมิตรไมตรีกับข้าได้รึไม่ ?”
ถึงแม้วาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยจะราวกับกำลังอ้อนวอนร้องขอ ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันคือคำสั่งที่ห้ามมีข้อแม้ คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่มาจากอาราม หากเขาต้องการผูกไมตรี ไม่ว่าจะกับใคร คนผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เพราะพวกเขาเองจะถือว่าอีกฝ่ายก็ควรจะต้องยินดีและมีความสุขที่ได้เป็นสหายกับคนจากอารามอย่างพวกเขา
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่กำลังสนทนากับลั่วอวิ๋นอยู่ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่จ้องมองมาของชายผู้นี้แล้ว ทว่าในเวลานั้นนางไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าหน้าด้านลุกเดินมาหานางถึงที่เช่นนี้
ฉินอวี้โม่เงยหน้าขึ้นมามองลิ่วเยว่ที่แสร้งตีหน้าเป็นสุภาพบุรุษชั้นสูง นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเหมือนป่วยไข้ ….มากกว่านี้อีกนิด ‘เธอ’ ต้องอ้วกออกมาแน่ !
คนผู้นี้กำลังส่งสายตาหื่นกระหายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเป็นผู้ที่ไร้มารยาทอย่างมากราวกับไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน
“ขอโทษด้วย แต่ข้าไม่สนใจ”
ฉินอวี้โม่ไม่อยากจะเข้าใกล้คนประเภทนี้ หลังจากตอบกลับไปสั้น ๆ นางก็กลับมาสนทนากับลั่วอวิ๋นต่อเช่นเดิม
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ของฉินอวี้โม่ ลิ่วเยว่ก็อึ้งไปชั่วขณะ ทว่าแทนที่จะโกรธเคืองเขากลับยิ้มออกมา
‘ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจยิ่งนัก ถึงกับกล้าปฏิเสธข้าเชียวหรือ’
นางปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ผู้คนในงานนี้ทั้งหมดต่างก็รู้ถึงสถานะของเขาเป็นอย่างดี เขาเป็นศิษย์จากอารามซึ่งเป็นขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้า ทั้งชีวิตเขาเคยพบพานสตรีมามากมายและหลากหลาย สตรีหยิ่งยโสเขาก็เคยเจอมาไม่น้อย ทว่าก็ไม่มีผู้ใดใครกล้าปฏิเสธคำขอผูกไมตรีของเขาเช่นนี้มาก่อน และมาวันนี้เขากลับได้พบเจอสตรีจองหองผู้นี้ และนี่ทำให้ลิ่วเยว่เกิดความสนใจขึ้นมา
“ฮ่า ๆ น่าสนใจนี่ เจ้าคิดที่จะใช้การเมินเฉยมาเรียกร้องความสนใจจากข้าอย่างนั้นใช่หรือไม่ ถึงได้ปฏิเสธข้า ?”
ลิ่วเยว่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ยินดีด้วย เจ้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าเป็นสตรีที่น่าสนใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าสนใจเจ้าขึ้นมาจริง ๆ แล้ว”
เมื่อได้ยินวาจาหลงตัวเองอย่างหน้าไม่อายของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ตอนนี้ใบหน้าของงดงามแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในบัดดล
‘ไอ้โง่นี่มันไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนฮะ ! ตลกสิ้นดี !’ ฉินอวี้โม่ผู้เป็นอดีตมือสังหารระดับพระกาฬในชีวิตก่อนไม่เคยมีใครกล้าทำตัวสะเหล่อพูดจีบเธอ หน้าด้าน ๆ ด้วยคำพูดหลงตัวเองแบบนี้มาก่อน
“เหอะ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ? เจ้ากล้ามาเกี้ยวพานคุณหนูของข้า หัดดูสภาพตัวเองซะบ้างว่าเหมาะสมกับคุณหนูของข้าหรือไม่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษไร้ยางอาย เสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและชี้หน้า พ่นวาจาถากถางเข้าใส่
‘ชายผู้นี้ไร้ยางอายอย่างน่ารังเกียจ เขามาช้าที่สุดจนผู้อื่นต้องรอ ทำตัวไม่ให้เกียรติท่านเจ้าเมืองที่เป็นเจ้าภาพ หน้าตาก็ไม่งดงามมีสง่าราศี เขาไม่ดูตัวเองเลยแต่กลับกล้ามาจีบคุณหนูของนาง… ถ้าจะจีบคุณหนูอย่างน้อยก็ควรจะเป็นคนที่มีระดับและรู้จักวางอย่างคุณชายลั่วอวิ๋น หรืออย่างองค์ชายสามฉีอวี้ที่เจอกันก่อนหน้านี้ถึงจะคู่ควร’
ถ้าหากฉินอวี้โม่รู้ถึงสิ่งที่เสี่ยวโร่วกำลังคิดอยู่ นางก็คงจะรู้สึกหมดคำพูด…
“สาวน้อย เจ้ากล้าด่าข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่ว สีหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนไปทันที ทว่าในตอนนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ต้องพยายามควบคุมตัวเองและปั้นหน้ายิ้มแย้มเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าสตรีที่เขาหมายปอง ตอนนี้ศิษย์จากขุมกำลังมากอำนาจกำลังพยายามสยบความโกรธในหัวใจเอาไว้
“ข้าไม่รู้ ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือคนไร้ยางอายอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับคุณหนูของข้า !”
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะ แท้จริงแล้วสาวใช้ตัวน้อยเองก็ไม่ทราบว่าคนจากอารามเป็นใครหรือมีความสำคัญอย่างไร ที่สำคัญต่อให้รู้จักอารามก็เถอะ แต่นางก็จะไม่ยอมให้คนเช่นนี้มายุ่งกับคุณหนูของนางอยู่ดี
เสียงของเสี่ยวโร่วค่อนข้างดังและฟังได้ชัดเจนในความเงียบ แขกทุกคนที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยงจึงได้ยินที่นางพูดทั้งหมด ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้ได้เป็นผู้ริเริ่มแต่ทว่าในตอนนี้ภายในสถานที่จัดเลี้ยงกำลังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างขบขัน
ลิ่วเยว่ผู้นี้ไร้ยางอาย เรื่องนี้ทุกคนต่างก็เห็นด้วยตาและคิดตรงกันหมด ทว่าในที่แห่งนี้ก็คงมีแต่เพียงสาวน้อยชุดเขียวนามว่าเสี่ยวโร่วเท่านั้น ที่กล้าเอ่ยออกไปตรง ๆ
“เจ้าเด็กสกปรก เจ้า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่ว ลิ่วเยว่ก็โกรธจนพูดไม่ออก
“ข้ามาจากอาราม เจ้ากล้าดียังไงถึงมาพูดกับข้าแบบนี้ ?”
ลิ่วเยว่มองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาโกรธเคือง ครั้งนี้เขาโกรธมากจริง ๆ
“อาราม ?”
เมื่อเสี่ยวโร่วได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย นางก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายศีรษะ
“ข้าไม่รู้จักอารามของเจ้า ข้ารู้จักแต่วัดแถวบ้านข้า ยังไงเจ้าก็ไม่คู่ควรกับคุณหนู เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเกี้ยวคุณหนูของข้า”
น้ำเสียงของเสี่ยวโร่วนั้นหนักแน่น นางต้องการประกาศเจตนาที่ชัดแจ้ง คุณหนูของนางงดงามราวเทพเซียน การที่ต้องถูกคนนิสัยแย่เช่นนี้มาเกี้ยวพาน … ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากคางคกอยากกินเนื้อหงส์
“ฮึ่มมม…”
ลิ่วเยว่แข็งค้างไป เขากำลังทั้งโมโหและงุนงงในคราวเดียวกัน ‘ในโลกนี้มีคนที่ไม่รู้จักอารามอยู่จริง ๆ อย่างนั้นรึ?’
เมื่อเห็นลิ่วเยว่นิ่งและหยุดพูดไป เสี่ยวโร่วก็นั่งลง อย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันเพื่อป้องกันไม่ให้เขามายุ่งกับฉินอวี้โม่
“ฮ่า ๆ น่าสนใจ คุณหนูก็น่าสนใจ สาวใช้ยังไม่ธรรมดาอีก”
ลิ่วเยว่หัวเราะทว่ากลับเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุก เขาจ้องมองฉินอวี้โม่และกล่าว
“เด็กน้อย เช่นนั้นลองถามความคิดเห็นคุณหนูของเจ้าดูก่อนดีไหม ?”
เมื่อเห็นว่าลิ่วเยว่ยังคงหน้าด้านหน้าทนไม่รู้จักความหมายของคำว่าถอย ฉินอวี้โม่ก็อดที่จะขมวดคิ้วอีกครั้งไม่ได้ ในตอนที่เสี่ยวโร่วพูด นางไม่ได้หยุดสาวใช้น้อยเพราะตัวนางเองก็ขี้เกียจเจรจากับคนประเภทนี้
หากเป็นชาติก่อน และมีคนแบบนี้กล้ามาเกี้ยวพานเธอ ในลักษณะนี้ อีกฝ่ายจะต้องจ่ายค่าตอบแทนความสะเหล่อในราคาแพงแน่ อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้ เธอยังต้องสนใจสายตาผู้คนที่จ้องมองมา อีกทั้งเธอยังไม่อยากจะกลายเป็นจุดสนใจโดยการมีเรื่องกับคนของอาราม
อารามถือเป็นขุมกำลังที่ขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนนี้ต่างก็เกรงกลัว แม้ว่าลิ่วเยว่จะไม่ใช่คนใหญ่คนโต ทว่าหากฉินอวี้โม่ก็ทำอะไรเขาจริง ๆ ก็จะมีปัญหาตามมาไม่น้อย
ผิดกับเสี่ยวโร่วที่ไม่รู้ตัวตนของเขา ฉะนั้นนางจึงกล้าที่จะด่าอีกฝ่ายไปถึงสองสามประโยค และด้วยการที่อีกฝ่ายมีสถานะที่สูง เขาเป็นถึงตัวแทนจากอารามทำให้เขาเองก็ไม่กล้าจะแสดงอารมณ์ของตนอย่างออกหน้าออกตา ถึงจะหน้าหนาอย่างไร ลิ่วเยว่ก็ยังต้องกังวลต่อสายตาของแขกคนอื่นอยู่บ้าง
ฉะนั้นแล้วฉินอวี้โม่จึงไม่อยากจะกล่าวสิ่งใดอีก
อย่างไรก็ตามคำพูดของเสี่ยวโร่วไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เขายอมถอยกลับไปเท่านั้น แต่ยังทำให้คนไร้ยางอายมีความมุ่งมั่นมากขึ้นไปอีก ชายผู้นี้ไม่ใช่เพียงแต่ไร้ยางอายในระดับธรรมดา แต่คงต้องถือว่าหน้าหนาเหมือนกำแพงเลยมากกว่า
“หน้าตาไม่ได้เรื่องยังพอว่า นี่ยังไม่รู้จักการวางตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันทุเรศ ?”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ พลางกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงของนางไม่ได้เกรงใจอีกต่อไป
คนประเภทหนึ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือพวกไร้ยางอาย ไร้จิตสำนึก ทำตัวต่ำทรามไม่เห็นหัวใครอย่างลิ่วเยว่ผู้นี้นี่แหละ
เมื่อได้ยินวาจาเย็นชาของฉินอวี้โม่และได้เห็นแววตาอันแสนดูถูกเหยียดหยามของนาง สีหน้าของลิ่วเยว่ก็ดำคล้ำขึ้นมาเช่นกัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด ?” ลิ่วเยว่มองฉินอวี้โม่และกล่าวเสียงต่ำ
“ก็คงจะเป็นสุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่งกระมัง” ฉินอวี้โม่แดกดันกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
แท้จริงนางไม่ได้คิดจะต่อปากต่อคำกับลิ่วเยว่ผู้นี้ ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายทำตัวน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ นางเองก็สุดจะทนแล้วเช่นกัน
กับคนหน้าด้านนั้น การตอกกลับอีกฝ่ายอย่างรุนแรงที่สุดไปเลยจะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีและรวดเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็จะต้องวุ่นวาย ถูกรังควานไม่จบสิ้น
“เจ้ากล้าดียังไงมาว่าข้าเป็นสุนัข !”
เมื่อได้ยินวาจาถากถางของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็ขึ้นสีแดงก่ำ ศิษย์จากอารามกล่าวเสียงดังอย่างเดือดดาล
“ข้าเหรอว่าเจ้า ?” ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเขินอายเกินไปที่จะยอมรับตัวตนของเองจนต้องมาถามข้า ข้าเลยพูดสิ่งที่ดูคล้ายคลึงกับเจ้าที่สุดออกไปเท่านั้น”
“ฮ่า ๆ ๆ !”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่ ทุกคนที่อยู่ภายในงานเลี้ยงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พวกเขาได้แต่ชื่นชมฉินอวี้โม่ สตรีผู้นี้นอกจากจะงดงามมากแล้วยังกล้าหาญอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะคนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนพวกเขายิ่งชื่นชมนางมากขึ้นกว่าเดิม กล้าหาญ ไม่หวั่นเกรง นี่เป็นสิ่งที่เหล่าทหารรับจ้างทั้งหลายต่างก็เทิดทูน
เมื่อชื่อเซียวเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาก็ได้แต่สงสัยในตัวหญิงสาวผู้นี้เพิ่มมากขึ้นอีก …สตรีผู้นี้เป็นคนแบบไหนกันแน่ ?
“เจ้ารนหาที่ตาย !”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเเราะที่ดังสนั่นทั่วห้อง ลิ่วเยว่ก็รู้สึกหน้าชาราวกับถูกตบ เขายื่นมองออกไปหมายจะฟาดลงบนใบหน้านวลเนียนนั้น
แม้ว่จะแทบไม่เคยลงไม้ลงมือกับสตรี แต่วันนี้เขาก็ทนการหมิ่นเกียรติและเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่าจากหญิงสาวตรงหน้าเขานี้ไม่ไหวอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เองก็พอจะมองระดับฝีมือของอีกฝ่ายออก แม้ว่าคนผู้นี้จะฝีมือสูงส่ง แต่ตัวนางเองก็เพิ่งจะบรรลุขอบเขตมายารัตนะมาเช่นกัน ดังนั้นสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงเชื่อว่าตนจะรับมือได้
ฉินอวี้โม่กลับไม่มีความคิดที่จะหลบเมื่อเห็นฝ่ามือที่พุ่งเข้าจู่โจมของอีกฝ่าย ทว่าในตอนที่กำลังจะรับฝ่ามือนั้น โฉมงามก็มองเห็นลั่วอวิ๋นลุกขึ้นมาและคว้าจับข้อมือของลิ่วเยว่ไว้
“กล้าลงมือกับสตรีเช่นนี้ยังคู่ควรเรียกตัวเองว่าบุรุษอีกหรือ ที่เขาว่ากันว่าคนจากอารามล้วนสูงส่งและองอาจคงจะเป็นเพียงข่าวลือสินะ !”
เมื่อลั่วอวิ๋นเห็นลิ่วเยว่ลงมือ เขาก็รีบลุกขึ้นมาและช่วยสกัดการโจมตีนั้นให้สหายผู้งดงามของเขาทันที
ถึงแม้จะทราบดีว่า สตรีเก่งกาจอย่างฉินอวี้โม่คงจะไม่เห็นฝ่ามืออ่อนหัดเช่นนี้อยู่ในสายตา แต่เขาก็ไม่ยินดีหากมือของนางต้องมาแปดเปื้อนคนตรงหน้า
“เจ้าเป็นใครถึงกล้ามายุ่งเรื่องของข้า ?!”
เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของตนถูกคนผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ ลิ่วเยว่ก็หันไปมองคนผู้นั้นและตวาดอย่างเดือดดาลทันที เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนขวัญกล้าพุ่งเข้ามาขวางคนจากอารามอย่างเขา.
.
.