คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 44
ตอนที่ 44 แข่งกันอย่างยุติธรรม
ขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังสนทนากับลั่วอวิ๋นอยู่นั้น เสี่ยวเฮยตัวน้อยก็บินกลับมาเกาะลงบนไหล่ของนาง
หลังจากได้ยินสิ่งที่อาชาสีดำขนาดเท่าลูกแมวเล่าให้ฟังที่ข้างหู ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
ในเมื่อพวกเขาต้องการจะมาไม้นี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะลงเล่นกับพวกเขาสักตั้ง !
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ลิ่วเยว่ก็เดินกลับเข้ามาภายในงานพร้อมด้วยหลี่เปียวที่ติดตามมา
ลิ่วเยว่ค่อย ๆ เดินตรงมายังจุดที่ฉินอวี้โม่นั่งอยู่
“ฉินอวี้โม่ ข้าต้องการท้าประลองกับเจ้า”
“ท้าประลองกับข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าแน่ใจแล้วนะ ?”
สิ่งที่ลิ่วเยว่คุยกับหลี่เปียวในสวนนั้น อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูคนงามได้รับรู้ทุกอย่างมาจากเสี่ยวเฮยจนหมดแล้ว ทว่านางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว …ตอนนี้นางอยากเล่นตามบทบาทที่พวกเขาวางเอาไว้ไปก่อนเพื่อดูเชิงของฝ่ายตรงข้าม
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองก็มีฝีมือสูงส่งและยังมีอสูรเทวะในครอบครอง ข้าจึงต้องการท้าประลองกับเจ้ามากกว่าผู้ใดในที่แห่งนี้”
ลิ่วเยว่จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อเลยก็ตาม แต่หลี่เปียวได้บอกเรื่องนี้กับเขาเมื่อสักครู่ และเนื่องจากหลี่เปียวเคยมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่มาก่อน เขาจึงเชื่อว่าชายผู้นั้นคงจะไม่โกหกเขาแน่นอน
“เจ้าเป็นถึงบุรุษอกสามศอก ทั้งยังมีฐานะเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์แห่งขุมกำลังใหญ่ เหตุใดจึงเลือกท้าทายสตรีบอบบางอย่างข้า ไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ทำหน้าตายุ่งเหยิงใส่อีกฝ่าย แม้จะล่วงรู้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่นางต้องแสร้งทำเป็นโอดครวญให้เขาเชื่อว่านางไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ …ตอนนี้สาวงามนักฆ่าตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นตามบทละครของอีกฝ่ายไปให้ถึงที่สุด
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า ยิ่งกว่านั้นการท้าประลองของข้ามิใช่การประลองกันตัวต่อตัว แต่เป็นการแข่งขันกันทำผลงานในเทศกาลอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่มีท่าทางลังเลและพยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาคล้ายกังวลที่จะต่อรองและไม่ยินดียอมรับคำท้านี้ ลิ่วเยว่ก็ยกยิ้มมุมปากในทันที ในเวลานี้เขายิ่งเชื่อในคำบอกเล่าจากปากของหลี่เปียวมากยิ่งขึ้น เขาคิดอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่ต้องไม่กล้ารับคำท้าของเขาหากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกเรื่องอสูรล้อมเมืองขึ้นมาเป็นหัวข้อการประลองแทน
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อย ๆ พยักหน้าช้า ๆ
“เอ่อ… หากแพ้ข้าก็มีแต่ต้องอับอาย… แต่ถ้าชนะก็เหมือนว่าข้าไม่ได้สิ่งใดอยู่ดี พวกท่านว่าอย่างนั้นไหมล่ะ ?”
“หึ ๆ แม่นางฉินอวี้โม่ ข้ามีข้อเสนอ แต่ไม่รู้ว่าแม่นางจะกล้ารับรึเปล่า”
เมื่อเห็นว่าเหยื่อในแผนการของพวกเขาเริ่มคล้อยตามขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หลี่เปียวก็ก้าวออกมาแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลตามที่ได้ซักซ้อมกับลิ่วเยว่มาก่อนหน้านี้
“โอ้ ! เชิญหัวหน้าหลี่เปียวพูดมาได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้หลี่เปียวกล่าวข้อเสนอ ดวงตางดงามยังคงมีแววกังวลปรากฏ ทว่าในใจของนางกำลังยกยิ้มเย็นชา ‘เปิดตัว ตัวละครเพิ่มแล้วสินะ’ หลี่เปียวผู้นี้คือคนที่นางยอมปล่อยให้รอดชีวิตออกไปจากป่าแสงจันทร์เมื่อคราวก่อน แต่ดูเหมือนเขาไม่คิดที่จะหลาบจำแม้แต่น้อย
ในแววตาเหี้ยมเกรียมที่หลี่เปียวใช้มองฉินอวี้โม่เวลานี้นั้นเต็มแน่นไปด้วยความเกลียดชังอย่างยากที่จะบรรยาย
ที่สมาคมทหารรับจ้าง ครั้งแรกเขาถูกฉินอวี้โม่ทำให้อับอายต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งตอนนั้นเขายังถูกผู้ฝึกกายาเล่นงานจนต้องวิ่งหนีอย่างน่าอนาถ สตรีผู้นี้ทำให้หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่รู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
ครั้งต่อมา ภายในป่าแสงจันทร์ ฉินอวี้โม่ร่วมมือกับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมาชิงผลหลิวหลีที่เขาเกือบจะได้มาครองอยู่แล้วไป เรื่องครั้งนั้นทำให้กลุ่มทหารรับจ้างของเขาเสียหายอย่างหนัก นอกจากภารกิจจะล้มเหลวแล้ว เขาและลูกน้องต่างก็ได้รับบาดเจ็บจนบางคนต้องใช้เวลารักษายาวนานซึ่งก็ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะเลื่อนขึ้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งภายในเวลาอันสั้นจึงถือว่าเหลือน้อยเต็มที
แม้ว่าในป่าแสงจันทร์ครั้งนั้น หลี่เปียวจะรู้สึกหวาดกลัวฉินอวี้โม่มากก็จริง แต่ทันทีที่ออกจากป่ามาได้ ไฟแห่งความแค้นชิงชังก็ลุกโชนขึ้นในใจเขาและยังคงสุมอยู่ในอกจนถึงวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องชำระแค้นนี้กับนางให้ได้
ถึงแม้เขาอยากจะแก้แค้นฉินอวี้โม่มากเพียงใด ทว่ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งมากพอจะคุกคามนางในตอนนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงการคุกคามผู้ใด เพียงแค่รักษาร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บก็ยากเย็นไม่น้อยแล้ว
และในวันนี้เขาก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ฉินอวี้โม่กับสหายของนางกล่าววาจาดูหมิ่นลิ่วเยว่ผู้เป็นตัวแทนจากอารามอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าสวรรค์มีตาส่งโชคมาให้เขา เมื่อเจ้าเมืองกล่าวเปิดงานจบเขาก็แอบเห็นบุรุษจากอารามเดินออกด้านนอก เขาคิดแผนได้ในเวลานั้นและรีบเข้าไปยื่นข้อเสนอให้คนผู้นั้นทันที
เนื่องจากลิ่วเยว่ถือเป็นยอดฝีมือที่มาจากอาราม ฉะนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเขาก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ หากว่าชักชวนคนผู้นั้นมาเป็นพวกได้ หลี่เปียวก็ไม่ต้องเกรงกลัวฉินอวี้โม่และสหายของนางอีก และต่อให้สตรีผู้นั้นเรียกอสูรมายาระดับเทวะทั้งสองออกมา เขาก็ยังคิดว่าอสูรเทวะของลิ่วเยว่ก็คงไม่มีวันพ่ายแพ้อสูรของนางแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลี่เปียวก็ตัดสินใจจะใช้ลิ่วเยว่เพื่อเล่นงานฉินอวี้โม่ ในเมื่ออีกฝ่ายมาทำลายภารกิจของเขาจนต้องพบเจอความเสียหาย เขาก็จะให้นางได้สูญเสียบางสิ่งไปเช่นกัน และจะทำให้นางเสียหายหนักกว่าเขาอีกด้วย
“ในที่นี้ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าฝีมือของแม่นางฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านลิ่วเยว่เท่าไหร่นัก แต่เพื่อไม่ให้แม่นางรู้สึกเสียเปรียบ พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจยินดีจะเอาลูกอสูรมายาที่เราเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาเป็นรางวัล ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ลูกอสูรมายาตัวนี้ก็จะเป็นของคนผู้นั้นทันที”
หลี่เปียวพูดจบก็กวักมือให้คนนำเอากรงเข้ามากรงหนึ่ง ฉินอวี้โม่มองเห็นว่าภายในกรงนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกระรอกตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่
“เจ้านี่ก็คือลูกของเพียงพอน (เฟอเรท) ความแข็งแกร่งของมันนับว่าไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าทุกคนก็คงจะเคยได้ยินมาบ้าง”
หลี่เปียวกล่าวอธิบายกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะต้องเอาอสูรมายาสุดรักสุดห่วงออกมาเป็นของรางวัล ทว่าหลี่เปียวกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากมายนัก เพราะเขามั่นใจว่าอย่างไรลิ่วเยว่ก็ต้องเป็นผู้ชนะ หากต้องเสียลูกเพียงพอนไป เช่นนั้นมิสู้ส่งมันให้เป็นของกำนัลแก่คนจากอารามไปเลยเขายังจะได้ประโยชน์มากกว่า
“หัวหน้าหลี่เปียวช่างใจกว้างยิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่รู้ความคิดและแผนการของอีกฝ่ายดี ทว่านางก็ไม่คิดที่จะไปทำลายแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ อุตส่าห์วางโครงเรื่องและซุ่มซักซ้อมกันมาแล้วนี่… ก็ต้องยอมให้เล่นจนจบจึงจะเหมาะสม
“ในเมื่อหัวหน้าหลี่เปียวยอมลงทุนถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าถ้าข้าไม่รับคำท้าก็คงจะเหมือนไม่ให้เกียรติพวกท่านแล้ว”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นรู้สึกหมดหนทาง นางกล่าวต่อ “วันนี้คุณชายลิ่วเยว่อุตส่าห์ออกปากท้าประลองกับข้า ข้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้แข่งขันกับคุณชาย ข้าเองก็จะไม่เอาเปรียบท่าน หากว่าคุณชายลิ่วเยว่ชนะข้าจะมอบอสูรมายาของข้าให้เขา —”
“ยอดเยี่ยมมาก แม่นางฉิน”
ยังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะพูดจบ ลิ่วเยว่ก็ใจร้อนกล่าวขัดขึ้นมาก่อน
“เช่นกัน ถ้าข้าแพ้ ข้าก็จะส่งอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ทันที”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของคนหน้าไม่อาย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างไม่อาจห้าม
“เหอะ ! ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็เห็นว่าคุณชายลิ่วเยว่ไร้ยางอายเพียงใด ถ้าหากว่าคุณชายพ่ายแพ้ในวันพรุ่งนี้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านจะยอมมอบอสูรมายาให้จริง ๆ ?”
ลั่วอวิ๋นยิ้มและมองลิ่วเยว่ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ก่อนที่หลี่เปียวและลิ่วเยว่จะเข้ามา ฉินอวี้โม่ได้นัดแนะกับลั่วอวิ๋นก่อนแล้ว ครั้งนี้เขาเพียงแค่เล่นไปตามบทที่นางเขียนเอาไว้เท่านั้น
…อดีตคุณหนูคนงามถือคติว่าทำอะไรก็ต้องให้ถึงที่สุด ละครฉากนี้ฉินอวี้โม่ขอร่วมเขียนบทด้วย…
“เหอะ ! ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อข้า งั้นข้าจะกรีดเลือดสาบาน แน่นอนว่าข้าหวังว่าแม่นางฉินเองก็จะกรีดเลือดสาบานเหมือนกันกับข้าด้วย”
ลิ่วเยว่กล่าวอย่างเย็นชา เขามั่นใจสิบเต็มสิบว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากล้ากรีดเลือดสาบานโดยไม่ลังเล ในเมื่ออย่างไรก็ชนะอยู่แล้วกับเพียงแค่เอ่ยคำสาบานไม่กี่ประโยคทำไมเขาจะทำไม่ได้… นั่นไม่ต่างจากสาบานให้วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออกเลยสักนิด !
“ในเมื่อคุณชายพูดถึงขนาดนั้น ข้าเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธ ข้าหวังว่าหัวหน้าหลี่เปียวเองก็จะสาบานด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและหันไปมองหลี่เปียว
“แน่นอน ข้ายินดีให้สัตย์สาบาน”
หลังจากนั้น สมาชิกคณะละครอุปโลกน์ทั้งสามก็ให้คำสัตย์ปฏิญาณและกรีดเลือดสาบานกันอย่างจริงจัง
“งานอสูรล้อมเมืองในวันพรุ่งนี้ ข้าลิ่วเยว่จะแข่งขันกับแม่นางฉินอวี้โม่ ข้าขอสาบานว่าหากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะมอบอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ไป หากข้าทำผิดจากคำสาบานนี้ขอให้ตกนรกอเวจี !”
เมื่อคำสาบานสิ้นสุดลง อักขระแห่งฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผากของลิ่วเยว่ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว การสาบานของลิ่วเยว่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
หากผู้ฝึกพลังมายาให้คำสัตย์สาบานด้วยจิตใจที่แน่วแน่ก็จะถือเป็นการผูกมัดตัวเองไว้กับกฎแห่งฟ้าดิน หากผิดคำสาบานพวกเขาก็จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง
หลี่เปียวเองก็กล่าวคำสาบานด้วยวิธีนี้เช่นกันก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อย ๆ และกล่าว “ในวันอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้ คุณชายลิ่วเยว่กับข้าจะแข่งขันกัน ถ้าข้าฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะยอมยกอสูรมายาของข้าให้ ถ้าหากข้าผิดคำพูดจากนี้ขอให้เผชิญกับหายนะ”
อักขระที่เป็นตัวแทนของกฎแห่งฟ้าดินก่อตัวขึ้นล้อมรอบกายของสตรีโฉมงาม นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าคำสาบานของนางก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเช่นกัน
หลี่เปียวและลิ่วเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ลิ่วเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าว
“ข้าจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้”
จนถึงตอนนี้ ลิ่วเยว่และหลี่เปียวยังไม่เคยกล่าวถึงเนื้อหาของการแข่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในเรื่องนี้บุรุษใจทรามผู้คิดรังแกอิสตรีทั้งสองได้เตรียมการเอาไว้แล้ว… พวกเขาจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจในวันพรุ่งนี้
ทว่ามุมปากของฉินอวี้โม่กลับยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม นางไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย แผนการของพวกเขานางรู้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น สองคนนั้นไม่ได้รับรู้ถึงช่องโหว่ในคำสาบานของนางเลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่กล่าวว่าหากพ่ายแพ้ นางจะยอมมอบอสูรมายาให้ แต่นางไม่ได้เอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำว่าจะให้มันแก่ผู้ใด และต่อให้นางต้องพ่ายจริง ๆ นางก็เพียงแค่มอบมันให้เสี่ยวโร่วนั่นก็นับว่าไม่ผิดคำสาบาน
ขณะที่เสี่ยวจินตัวนิดและเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่ล่วงรู้ถึงความคิดของผู้เป็นนายที่ได้ผูกพันธสัญญาไว้ต่างก็นอนหัวเราะกันตัวงออยู่บนไหล่ของนาง
‘สองคนนั้นกำลังวิ่งเล่นอยู่บนฝ่ามือของนายหญิง แต่กลับคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พวกมันไม่รู้เลยว่าทุกอย่างถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ช่างโง่งมเสียจริง’ นี่คือสิ่งที่อสูรมายาทั้งสองกำลังคิด
“แม่นางอวี้โม่ เจ้าแน่ใจไหมว่าจะชนะ ?”
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและให้ความร่วมมือกับฉินอวี้โม่เล่นไปตามบทที่นางบอกไว้ แต่ลิ่วเยว่กับหลี่เปียวก็มีท่าทางมากเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ อย่างไรลั่วอวิ๋นก็อดเป็นกังวลแทนสหายผู้นี้ไม่ได้
ลิ่วเยว่คือหนึ่งในอัจฉริยะแห่งอาราม แน่นอนว่าฝีมือของเขาต้องไม่ธรรมดา
หากประเมินตามข้อมูลที่เขารู้และไม่มีปาฏิหาริย์หรือสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น… ผู้ที่น่าจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็คือฉินอวี้โม่
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่แพ้แน่”
เมื่อได้ยินวาจาห่วงใยและมองเห็นสายตาเป็นกังวลของลั่วอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มให้และตอบกลับอย่างมั่นใจ
หากพวกเขาต้องการจะสู้กับนาง พวกเขาเองก็ต้องเตรียมตัวพบเจอกับความพ่ายแพ้เอาไว้ได้เลย !
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของฉินอวี้โม่ทำให้ลั่วอวิ๋นที่กำลังจะกล่าวทัดทานได้แต่กลืนคำพูดนั้นลงคอไป
แม้ว่าเขาจะยังรู้จักฉินอวี้โม่ได้ไม่นานนัก ทว่าเขาก็ทราบดีว่านางไม่ใช่สตรีที่ชอบอวดอ้างตนเอง หากว่านางมั่นใจก็แสดงว่านางต้องมีแผนรับมือเตรียมไว้แล้ว
สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ต้องสนับสนุนนางอย่างเต็มที่ และรอดูการแสดงดีๆ อีกครั้งในวันพรุ่งนี้เท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจนั้นชื่อเซียวเองก็พยักหน้า โฉมงามของเขา–ฉินอวี้โม่ผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนของพวกเราก็จะสนับสนุนเจ้า ไม่ว่าการแข่งขันในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง พวกเราก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า”
ชื่อเซียวเดินมาหาฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแน่วแน่
“ใช่แล้ว กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะสนับสนุนแม่นางฉินอวี้โม่”
สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็ยืนขึ้นกล่าว พวกเขายินดีจะทำตามการตัดสินใจของชื่อเซียว
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองดูเหล่าสหายส่งมอบไมตรีให้นางอย่างจริงใจ ทุกคำที่พวกเขาเอ่ยทำให้นางอดยิ้มไม่ได้
“แม่นางอวี้โม่ ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ เจ้ากล้ารับคำท้าของคนจากอาราม เจ้าไม่เกรงกลัวพลังอำนาจของพวกเขาเลยรึ ?”
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในสถานที่จัดเลี้ยงแห่งนี้
ลั่วชิงซานมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
…ด้วยสายตาแห่งผู้ครองเมืองเยว่กวางแห่งนี้ เขาทำนายว่าสักวันหนึ่งสตรีผู้นี้จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนนี้ได้อย่างแน่นอน…
เหตุผลที่นางยังคงรั้งรออยู่หลังจากงานเลี้ยงจบลงก็เป็นเพราะอดีตคุณหนูต้องการจะกล่าวขออภัยท่านเจ้าเมืองสำหรับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้เสียก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างไรเสียนางก็มีส่วนร่วมไม่น้อย
“วันนี้ข้าต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองด้วยที่ทำให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงดูอึดอัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเกรงกลัวหรือไม่ เพียงแต่ข้าไม่อาจจะอดกลั้นได้เมื่อเจอกับคนประเภทเดียวกับลิ่วเยว่ผู้นั้น เพราะมันไม่ใช่นิสัยของข้า ที่สำคัญยิ่งเราหวาดกลัวพวกเขามากเท่าไหร่ คนพวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจแล้วใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวของเรา ฉะนั้นข้าคิดว่าหากไม่มีเหตุผลใดให้กลัวก็ไม่จำเป็นต้องกลัว หลักการของข้านั้นง่ายมาก หากใครต้องการฆ่าข้า คนผู้นั้นก็ต้องเตรียมจ่ายด้วยชีวิตเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม เธอเองก็ไม่อยากจะยั่วยุขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้าแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร การยอมถอยเพียงฝ่ายเดียวหรือยอมให้ผู้อื่นกดหัวก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ… วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตก็คือฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง !
ยิ่งกว่านั้นขุมกำลังใหญ่โตที่ทรงอิทธิพลมากมายอย่างอารามก็คงไม่ให้ความสนใจกับสตรีตัวคนเดียวอย่างนางมากนัก
แน่นอนว่าลั่วชิงซานไม่รู้ถึงความคิดทั้งหมดของฉินอวี้โม่ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของสาวน้อย เขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แม่นาง ข้าเกือบจะลืมไป ก่อนที่จะเสด็จกลับ องค์ฮองเฮาได้ขอให้ข้ามอบของสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”
จู่ ๆ ลั่วชิงซานก็นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหยิบเอาบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับเหรียญตราออกมาและส่งมันให้ฉินอวี้โม่
เหรียญนี้เป็นสิ่งที่ฮองเฮาเหวินหย่ามอบให้ลั่วซิงซานก่อนที่นางจะกลับไป ทว่าลั่วชิงซานเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหรียญนี้มีไว้สำหรับทำสิ่งใดหรือหมายความว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามเนื่องจากองค์ฮองเฮาเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเองของสิ่งนี้ก็ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่
เมื่อได้เห็นเหรียญตรานี้ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาเอาว่ามันอาจจะเป็นเครื่องรางคุ้มภัยหรือสิ่งอื่นที่ใกล้เคียง
หลังจากรับมันมาจากท่านเจ้าเมือง สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็จ้องมองเหรียญในมือแล้วอมยิ้ม ฉินอวี้โม่อดคิดถึงองค์ฮองเฮาหรือนายหญิงเหวินหย่าที่นางเคยเรียกขานไม่ได้… สตรีงดงามผู้แสนอบอุ่นและอ่อนโยนผู้นั้น ช่างเป็นคนดีจริง ๆ
.
.
.