คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 110 อพยพ
คู่ชะตาบันดาลรัก – บทที่ 110 อพยพ
คืนนี้เป็นคืนที่ไม่หลับใหล วัดเป่าหลิงสว่างไสวเป็นอย่างมาก
“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น” ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็รู้สึกหวาดหวั่นในใจ
นางเป็นคนที่ผ่านสงครามมาแล้วเมื่อนางยังเยาว์วัยเคยอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในใต้หล้า ภาพทหารเข้าล้อมเมืองนางก็เคยเห็นมาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงนี้นางจึงรู้ว่าเป็นเสียงฝีเท้าของกองทหาร
ฮูหยินสองรีบส่งคนไปดูทันทีหลังจากนั้นไม่นานนางก็กลับมาแล้วรายงานว่า
“ทหารเจ้าค่ะ มีทหาร!”
ทุกคนในห้องแตกตื่น จะมีทหารได้อย่างไรไฟไหม้ที่ภูเขาก็ดับลงแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทหารพวกนั้นมาทำอะไรกัน
ในขณะนั้นหมิงเฉิงก็กลับมา
“ท่านย่า ท่านป้าสอง ท่านแม่ขอรับ” เขาทำความเคารพแล้วพูดว่า “พวกท่านอย่ากลัวไปเลย พวกเขาเป็นทหารที่ใต้เท้าเจี่ยงส่งมา ตอนนี้เกิดเรื่องที่วัดเป่าหลิง ใต้เท้าเจี่ยงกำลังจัดการอยู่ขอรับ”
“แม้แต่กองกำลังก็มาด้วยหรือเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบถาม
หมิงเฉิงส่ายหน้า “เรื่องนี้ยังไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้ขอรับ ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงรออยู่เฉยๆ ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าแล้วนางก็นึกถึงบุตรชายกับหลานชายที่ออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้ “แล้วท่านพ่อกับลุงสองของหลานเล่า”
หมิงเฉิงเงียบแล้วตอบกลับไปว่า “พวกเขาอยู่กับจวิ้นอ๋องขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกโล่งใจเล็กน้อยและพูดกับลูกสะใภ้และหลานสาวของตน “อยู่กับจวิ้นอ๋องคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้างกายท่านอ๋องมีองครักษ์มากมายอยู่!”
หลังจากปลอบโยนญาติๆ แล้วหมิงเฉิงก็หาข้ออ้างออกไปด้านนอกเพื่อส่งข่าว เขาเดินออกมาจากวิหาร
เขายืนอยู่ในความมืดสักพักและหมิงเซียงก็เดินออกมา “พี่สี่!”
หมิงเซียงที่รู้เรื่องมากกว่าคนอื่นๆ กังวลเป็นอย่างมาก นางรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของตนเป็นแน่
หมิงเฉิงฝืนยิ้มให้นาง “ไม่มีอะไร น้องไม่ต้องห่วงพี่สี่อยู่ที่นี่แล้ว!”
หมิงเซียงหันหน้ากลับไปและเห็นว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ให้ความสนใจกับทางนี้จึงลดเสียงลงและถามว่า “พี่สี่ พี่บอกความจริงกับข้ามาเถิด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของเราใช่หรือไม่ ท่านลุงสามเขา…”
หมิงเฉิงเงียบไปชั่วขณะเขายื่นมือออกมาลูบหัวนางเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องเตรียมใจไว้ให้ดีครอบครัวของเรา…อาจพบเจอกับปัญหาครั้งใหญ่”
หมิงเซียงเงยหน้าขึ้นถามเขา “ทุกคนจะโดนด้วยหรือไม่เจ้าคะ ท่านพ่อกับท่านแม่ น้องหกน้องเก้าพวกเขา…”
“มันจะไม่เกิดขึ้น” หมิงเฉิงพูดเสียงเบา “เมื่อครู่พี่สี่ไปพูดเรื่องนี้กับใต้เท้าเจี่ยง พี่เจ็ดของน้องก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว พวกเรามีความดีความชอบ ใต้เท้าเจี่ยงรับปากว่าจะขอความเมตตาแทนพวกเราให้”
“พี่เจ็ดงั้นหรือ” หมิงเซียงน้ำตาคลอ “พี่เจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง ไปนั่น…”
“ไม่เป็นอะไร ช่วยออกมาได้แล้ว” หมิงเฉิงพูดเปลี่ยนประเด็น “นางไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงของตนเอง จริงๆ แล้วเบื้องหลังนางได้ทำหลายเรื่องมากต่อไปเจ้าอย่าเข้าใจนางผิดไปล่ะ”
หมิงเซียงกลั้นน้ำตาแล้วพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าไม่เคยเชื่อข่าวลือเหล่านั้นหรอกเจ้าค่ะ”
หมิงเฉิงยิ้มออกมา ถึงแม้พวกผู้ใหญ่จะทำให้ผิดหวัง แต่เขายังมีน้องสาวที่ดีเช่นนี้!
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ! อย่าแสดงพิรุธอะไร อยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ พอฟ้าสางคงมีคำอธิบายให้”
“เจ้าค่ะ” หมิงเซียงเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา ”พี่สี่ พี่ก็เป็นคนดีมากๆ เลยนะเจ้าคะ” หมิงเฉิงได้ฟังดังนั้นก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
…………
เมื่อเห็นว่าไฟดับลงแล้วทางเดินลงเขายังไม่ถูกเปิด เจ้าหน้าที่ในห้องโถงจึงคิดจะไปพักผ่อน ผู้ใดจะคิดว่าพอก้าวเท้าออกไปด้านนอกก็ถูกองครักษ์ขัดขวาง
“นี่มันอะไรกัน! ข้าแค่ต้องการไปพักผ่อนจะมาขัดขวางกันทำไมหรือ”
องครักษ์ผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใต้เท้าเจี่ยงสั่งการไว้ว่าให้ทุกท่านอยู่ที่นี่ขอรับ”
เจ้าหน้าที่คนนั้นตกใจ “เหตุใดต้องอยู่ที่นี่ด้วยแล้วเหตุใดถึงต้องกักบริเวณพวกเรา”
องครักษ์เหลือบตามอง “เป็นคำสั่งของใต้เท้าเจี่ยง พวกเราเพียงแค่ทำตามหน้าที่ขอรับ”
ไม่มีคำอธิบายใดนอกเหนือจากนี้
เจ้าหน้าที่คนนั้นโกรธมากแล้วไปรายงานกับท่านเจ้าเมืองอู๋ “ท่านเจ้าเมืองขอรับ ท่านดูพวก…พวกเราทำผิดอะไรหรือขอรับ แค่มาร่วมเทศกาลสรงน้ำพระ ทำไมต้องคุมขังพวกเราด้วย”
ท่านเจ้าเมืองอู๋ทราบเหตุผลเบื้องลึกดีเขาเหลือบมองฉีตงจวิ้นอ๋อง และเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวอะไรจึงตอบกลับไปว่า “ใต้เท้าเจี่ยงสั่งการเช่นนั้นคงมีเหตุผล พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
ผู้ใดจะรู้ว่าฉีตงจวิ้นอ๋องในตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
เขาเชื่อฟังคำแนะนำของท่านอู่ตัดสินใจถอนตัวออกมาได้ทันเวลา ทอดทิ้งให้นายท่านสามเผชิญกับปัญหาด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้เขารู้ว่าเจี่ยงเหวินเฟิงคิดจะทำอะไร จึงยิ่งไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก
ท่านเจ้าเมืองอู๋ไม่ออกโรง ฉีตงจวิ้นอ๋องเองก็เงียบ ห้องนี้เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่และชนชั้นสูงจะถูกควบคุมได้อย่างไร
หลังจากนั้นไม่นานเสียงฝีเท้าของทหารและม้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกซึ่งทำให้พวกเขาตกใจมากยิ่งขึ้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกองกำลังมาที่นี่จริงๆ หรือ
โชคดีที่กองกำลังทหารเหล่านี้ไม่รีบเข้ามาเพื่อจับกุมผู้คน แต่องครักษ์ที่อยู่นอกวิหารนั้นเข้มงวดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
หลังจากรอมาครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก “ข้าน้อยหน่วยรักษาการณ์หลีชวน นามเจียวจื้อขอพบใต้เท้าเจี่ยง!”
หน่วยรักษาการณ์หลีชวนงั้นหรือ หลีชวนเป็นเมืองหน้าด่านข้างเคียง นี่เขานำกองกำลังจากที่อื่นมาจริงๆ หรือ
เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นี้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง พอได้ยินเข้าก็รู้สึกว่าชักไม่ดีแล้ว ได้แค่หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
แต่บางคนผู้ที่จิตใจเต็มไปด้วยแผนการสกปรกลอบมองฉีตงจวิ้นอ๋องอยู่บ่อยครั้ง
“รบกวนแม่ทัพเจียวแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเจี่ยงเหวินเฟิงดังเข้ามา
เจียวจื้อผู้นั้นตอบกลับเสียงดังว่า “เป็นเรื่องที่ข้าน้อยสมควรทำอยู่แล้ว มิควรให้ใต้เท้ากล่าวประโยคนี้เลยขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพ ทุกอย่างถึงได้ราบรื่นเช่นนี้ ข้าจะรายงานตามความจริง”
เจียวจื้อรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ขุนนางทหารในพื้นที่เช่นนี้ยากที่จะสร้างผลงาน นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากและมีค่ามาก
ผู้ใดบอกว่าใต้เท้าเจี่ยงสนใจแต่ชื่อเสียงของตนเองกัน เรื่องใหญ่เช่นนี้แต่ยังไม่ลืมที่จะยกความดีให้กับผู้อื่น
“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยให้ความเมตตาขอรับ!”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่สามารถไหว้วานผู้อื่นได้ ข้าฝากเรื่องที่เหลือไว้กับท่านแม่ทัพด้วย”
เจียวจื้อตบหน้าอกของตน “ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยจะจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้องแน่นอนขอรับ”
“รบกวนแม่ทัพเจียวด้วย”
เจียวจื้อตะโกนสั่งการ “พี่น้องทั้งหลายไปทำหน้าที่ของพวกเรากัน!”
“ขอรับ!”
เสียงฝีเท้าและเสียงกระทบกันของชุดเกราะดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงโห่ร้องของผู้คนมากมาย ดูเหมือนว่าประชาชนที่ติดค้างอยู่ที่นี่จะถูกต้อนออกไปให้หมด
ใจของทุกคนในห้องโถงไหววูบแล้วเจี่ยงเหวินเฟิงก็เดินเข้ามา
ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนรอยยิ้ม แต่เวลานี้เขาคงไม่สามารถเอาใจเหล่าเจ้าหน้าที่ได้
ใต้เท้าเจี่ยงผู้นี้ ไม่ว่าจะเวลาใดเขาก็ยิ้มอยู่ตลอดผู้ใดจะรู้เล่าว่าตอนสังหารคนเขาอาจจะยิ้มอยู่ก็ได้
มันแปลกมาก เขาจัดการเรื่องราวในตงหนิงจบแล้วและกำลังเตรียมตัวที่จะจากไปมิใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงออกโรงกะทันหันได้ หรือว่าเขาตรวจพบเรื่องผิดกฎหมายกัน
“ใต้เท้าทั้งหลาย” เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มพลางยกมือคารวะ
“มีบางอย่างเกิดขึ้นในวัดเป่าหลิงเราจำเป็นต้องอพยพฝูงชนโดยเร็วที่สุด ทหารเหล่านี้อาจทำให้ขุ่นเคืองไม่พอใจโปรดอย่าได้ถือสาพวกเขาเลย”
หืม…อพยพฝูงชน พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อมาโจมตีพวกเขาหรอกหรือ
ท่านเจ้าเมืองอู๋ลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดจะกล้ากันขอรับ เพียงแค่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใต้เท้าเจี่ยงโปรดบอกพวกเราสักคำให้พวกเรามั่นใจด้วยเถิด!”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบอย่างเฉยเมย “วัดเป่าหลิงแห่งนี้ได้ผนึกปีศาจตนหนึ่งเอาไว้ และไม่ทราบว่าผู้ใดมาปลดผนึกออกตอนนี้มีเสวียนชื่อเดินทางมาจัดการแล้ว เพียงแต่กังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายจึงขอให้พวกเราอพยพฝูงชนออกไปก่อน”
ใจท่านเจ้าเมืองอู๋รู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับไว้ เขาแสดงสีหน้าตกใจอย่างมาก “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เจ้าหน้าที่ได้ละเลยหน้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“เรื่องเช่นนี้ หากไม่ใช่ผู้อื่นมาแจ้งข้าก็คงไม่เชื่อนับประสาอะไรกับท่านเจ้าเมืองกัน เอาล่ะ ไม่มีเวลาแล้วทุกท่านรีบเตรียมตัวเถิด พวกเราต้องรีบลงเขาเดี๋ยวนี้”
………………………………………..