คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 115 อุปนิสัยอันเลวร้าย
เงาร่างเคลื่อนไหวราวกับภูติผี แม้จะอยู่ในวงล้อมสังหารก็ยังเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
สีหน้าของหยางชูค่อยๆ จริงจังขึ้น
“เคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก” หมิงเวยกล่าวชม “ความแข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ในอันดับต้นๆ ในใต้หล้าหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะเก่งกาจกว่ายอดฝีมือของหวงเฉิงซือหรือเปล่า”
หยางชูตอบ “ก็ธรรมดา นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ”
หมิงเวยยิ้มไม่พูดแทงใจดำเขาอีก แม้ว่านางในตอนนี้จะไม่เก่งในวรยุทธ์ แต่นางก็ยังมีสายตาเฉียบคม
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะชนะยอดฝีมือนิรนามผู้นี้ ร่างของคนผู้นั้นหายแวบไป แต่เห็นแสงสีเงินพร้อมกับเสียง ‘ชิ้งๆๆ’ อยู่หลายครั้ง องครักษ์คนหนึ่งร้อง ‘อา’ ขึ้นมาเพราะถูกอาวุธลับโจมตี
วงล้อมสังหารหายไปหนึ่งคนผู้นั้นหัวเราะเสียงเบา ฝ่าวงล้อมออกมาได้
“ไปไหนแล้ว!” เงาของหยางชูแวบผ่านไปร่มของเขาเสมือนกระบี่แทงทะลุออกไปโดยตรง
คนผู้นั้นบิดเอวหลบหนีการโจมตี แต่ผู้ใดจะรู้ว่าร่มคันนั้นจะตามติดเขาเป็นเงาตามตัวถึงเพียงนี้
“เอ๋!” เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง “ทักษะดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ เหนือความคาดหมายจริงๆ”
หยางชูยิ้มเย็น “หากจัดการท่านได้ก็นับว่ามีฝีมือ”
คนผู้นั้นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นท่านคงต้องผิดหวังเสียแล้ว!”
ทั้งสองฝ่ายฝีมือไล่เลี่ยกันได้ยินเพียงเสียงอาวุธปะทะกัน ‘ติงๆๆ’ และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วชั่วพริบตา จนเหล่าองครักษ์ไม่สามารถแทรกเข้าไปได้จึงทำได้เพียงป้องกันรอบนอกก็เท่านั้น
จู่ๆ คนผู้นั้นก็ร้อง ‘นี่!’ และโยนอะไรบางอย่างออกไป “เทพสายฟ้า รับให้ดีๆ ล่ะ!”
หยางชูผงะ
เทพสายฟ้าในยุทธจักรไม่ได้หมายถึงเทพสายฟ้าในตำนาน แต่เป็นอาวุธลับที่เต็มไปด้วยดินปืนถึงแม้อานุภาพของมันจะไม่มาก แต่ก็ไม่มีปัญหาเลยหากใช้มันฆ่าคนด้วยการลอบโจมตี
เขากางร่มทันทีทำให้อาวุธลับที่คนผู้นั้นโยนมาถูกโยนกลับไป
คนผู้นั้นอาศัยจังหวะนั้นเดินกลับไปหานายท่านสาม ทันใดนั้นเมื่อเห็นว่าอาวุธลับถูกโยนกลับมาก็ตกใจรีบเข้าไปหานายท่านสามเพื่อดึงตัวออกมา
“ตู้ม!” อาวุธลับระเบิดขึ้น
“อา!” นายท่านสามร้องอย่างเจ็บปวด
คนผู้นั้นส่งเสียงครางพลางบ่นในใจ
เจ้าคนหน้าขาวผู้นั้นเหตุใดถึงไม่เล่นไปตามแผนที่เขาวางไว้นะ ก่อนที่ตนจะโยนอาวุธลับก็ได้ส่งสัญญาณไปแล้วว่าไม่ใช่เพื่อกฎในยุทธจักร เพื่อที่จะหลอกให้พวกเขาตกใจก็เท่านั้นจะได้ปล่อยให้พวกตนหนีไป
ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเขาจะใช้ร่มสะท้อนกลับมา! กลอุบายของตนช่างเสียเปล่าจริงๆ
“วันนี้โชคร้ายไปหน่อยคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ลาก่อน!” แล้วก็เห็นว่าคนผู้นั้นแบกนายท่านสามเตรียมตัวหนีไป
หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “ผู้ใดอนุญาตให้ท่านไปกัน!”
เขาหุบร่มแล้วใช้โครงร่มที่คมราวกับมีดแทงตรงเข้าไปทันที เขามองออกว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่สะดวกเพราะแบกนายท่านสามอยู่จึงได้โจมตีไปยังแขนข้างที่แบกคนเอาไว้
ผู้ใดจะรู้ว่าคนผู้นั้นจู่ๆ ก็ยกตัวนายท่านสามขึ้น…
“อา!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง
คนผู้นั้นปล่อยแขนลงแล้วหัวเราะเสียงดัง “อยากได้ตัวเขาหรือ ข้าให้พวกท่าน!”
พูดถึงตรงนี้แล้วเขาก็คีบยันต์ออกมาใส่พลังแล้วแปะไว้ที่กลางกะโหลกศีรษะของนายท่านสาม
มันคือยันต์กระจายวิญญาณ
หากแปะลงถูกจุด ถึงนายท่านสามจะมีชีวิตอยู่ แต่วิญญาณของเขาจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในทันที แม้จะไม่สูญเสียจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่มีทางกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก
ไม่ใช้วิชาทำร้ายผู้คนนั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดออกมาจริงๆ
แต่นายท่านสามไม่ถือว่าเป็นคนเสียหน่อยนี่
ในช่วงเวลานั้นเขาตัดสินใจเลือกขายชีวิตของตนเองถือว่าไม่เป็นคนอีกต่อไปแล้ว
หลังถูกเทพสายฟ้าระเบิดใส่ นายท่านสามที่กระดูกสะบักได้แทงทะลุก็รู้สึกหนาวขึ้นมาในเวลานั้น
เขารู้วิชาเพียงแค่เห็นยันต์แผ่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ความกลัวเข้าสู่หัวใจของเขาในทันทีเขาตะโกนออกไป “ไม่!”
แต่คนผู้นั้นกลับยิ้มอย่างใจดี สีหน้าเหมือนกันกับตอนที่แอบเข้ามาเพื่อช่วยเขา แต่มือของเขาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
นายท่านสามหลับตารอความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง
“แฮ่ก!” เสียงทุ้มต่ำอ่อนแรงราวกับอยู่ในจินตนาการ ตามด้วยเสียงร้องอื้อ จากนั้นก็มีเลือดไหลรดบนใบหน้าของเขา
นายท่านสามลืมตาขึ้น แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นสหายที่กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้พลางเอามือจับเอวไว้
สีหน้าของเขามืดมน สิ่งที่เขามองเห็นไม่ใช่หยางชูที่แทงเขาด้วยร่ม แต่เป็นหมิงเวยที่ยืนแยกตัวห่างออกจากเหล่าองครักษ์
“วิชาของท่านไม่เลวเลย!”
เขาแสยะยิ้มอย่างกระหายเลือด “อยู่ห่างไกลเพียงนั้น แต่ยังสามารถถอดยันต์กระจายวิญญาณของข้าออกได้ เสวียนชื่อในระดับนี้ข้าไม่ได้พบเจอมานานแล้ว ท่านมาจากที่ใดงั้นหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านชมเกินไปแล้ว ที่มาของข้าไม่สามารถบอกท่านได้ในตอนนี้ แต่ขอแก้ไขอะไรสักเล็กน้อย”
“อะไรรึ”
“ข้าไม่ใช่เสวียนชื่อ แต่ข้าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต”
คนผู้นั้นตกใจ “อะไรนะ!”
ไม่รอให้หมิงเวยตอบกลับเหล่าองครักษ์ก็พร้อมใจกันปีนขึ้นไป คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ เขามองนายท่านสามที่คร่ำครวญไม่หยุดแล้วหัวเราะเสียงเย็น
“เหลากุ่ย[1] จงสร้างบุญกุศลให้มากเถิด!”
พูดจบเขาก็กระโดดทะยานออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ไล่ตามไป!” หัวหน้าองครักษ์ตะโกนขึ้น
เหล่าองครักษ์ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างเชี่ยวชาญ กลุ่มที่จำนวนน้อยอยู่ดูแลอารักขา กลุ่มที่จำนวนคนมากก็ไล่ตามออกไป
หยางชูก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าศีรษะของนายท่านสาม “อยากตายงั้นหรือ แต่คราวนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”
เขายึดคางอีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้ฆ่าตัวตายด้วยวิธีนั้นอีก หมิงเวยเดินเข้ามา มองนายท่านสามที่นอนไร้เรี่ยวแรงบนพื้นแล้วถอนหายใจ
นายท่านสามในตอนนี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ขาข้างหนึ่งได้รับแรงระเบิดจนมีแผลฉกรรจ์เลือดโชก กระดูกสะบักแทงทะลุ สภาพเขาในตอนนี้ดูน่าสลดใจมากจนแทบมองไม่เห็นถึงท่าทางมีชีวิตชีวาก่อนหน้านี้เลย
หมิงเวยพบว่าอารมณ์ของตนสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่าไม่เคยมีมนุษย์ที่เป็นคนดีโดยเนื้อแท้ มนุษย์บางคนบนโลกนี้เกิดมาชั่ว ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีความรู้สึกผิด”
นางมองลงไปยังนายท่านสาม “พอได้พบท่าน ข้าก็เชื่อแล้ว”
นายท่านสามถูกยึดคางจนพูดอะไรออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงมองมาที่นางด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย
หลังจากนั้นไม่นานหัวหน้าองครักษ์ก็พาคนกลับมา เขารายงานด้วยความละอายใจ “คุณชาย เขาหนีไปได้ขอรับ”
หยางชูถอนหายใจ “ไม่แปลกที่พวกท่านตามไม่ทัน วิชาตัวเบาของข้าก็ไม่มีทางไล่ตามเขาได้ทันเช่นกัน”
เขาชี้ไปที่นายท่านสามที่นอนไร้เรี่ยวแรง “พาเขากลับไป!”
“ขอรับ”
…………
ฉีตงจวิ้นอ๋องลุกขึ้นยืนทันที “ใต้…ใต้เท่าเจี่ยง!”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ให้ท่านอ๋องรอเสียนาน อู่อี้ผู้นั้นได้สารภาพแล้ว อีกไม่นานคำสารภาพทั้งหมดจะอยู่ในมือของข้า”
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนจนฉีตงจวิ้นอ๋องสับสนอยู่พักหนึ่ง ตกลงอู่อี้ได้พูดเรื่องของตนออกไปหรือยัง เขาอาจจะไม่ได้พูด…
ไม่ๆๆ เขาไม่น่าโชคดีเพียงนั้น
อู่อี้ผู้นั้นพยายามทุกวิถีทางซ่อนตัวอยู่ในจวนอ๋องเป็นสิบปีแล้วหวังจะให้เขาปกป้องตนเองงั้นหรือ อย่าฝันไปหน่อยเลย!
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้คือการปกป้องตัวเอง
ถึงแม้เขาจะรู้เห็นด้วย แต่เรื่องทุกอย่างผู้อื่นก็เป็นคนทำ เขาไม่เคยเห็นชุดเกราะทหารมาก่อน แค่เพียงซ่อนอาหารพวกนั้นก็เท่านั้น และอาหารพวกนั้นยังไม่เคยผ่านมือเขาเลย!
แล้วเขาต้องทำอย่างไรถึงจะปกป้องตนเองได้ เสด็จอาจะเชื่อเขาหรือไม่
ฉีตงจวิ้นอ๋องนึกถึงชะตากรรมของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องลูกพี่ลูกน้องของเขาความคิดสองอย่างนี้ลอยเข้ามาในหัวของเขา
“…อู่อี้ผู้นั้นแม้เขาจะทำผิดครั้งใหญ่จนไม่อาจให้อภัยได้ แต่เขาก็สารภาพได้ทันเวลา ถือว่าเป็นการยืนหยัดเพื่อชดเชยความผิด ข้าจึงไม่ตัดสินให้เขาได้รับความทุกข์ทรมาน รอเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานต่อฝ่าบาทให้พระองค์ทรงมอบความชอบให้แก่เขา”
สารภาพได้ทันเวลา ยืนหยัดเพื่อชดเชยความผิดงั้นหรือ!
สองประโยคนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจเขา ฉีตงจวิ้นอ๋องได้สติขึ้นมา
“ใต้เท้าเจี่ยง! ข้ามีความผิดโปรดช่วยเหลือข้าด้วย!”
…………………………………………………….
[1] เหลากุ่ย :คำเรียกที่ภรรยาเรียกสามี พี่ใหญ่ พี่ชาย