คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 158 มาแล้ว
หมิงเวยหันหลังวิ่งหนี ชิงหลินทะยานกระโดดไม่กี่ก้าวและใช้แรงที่ทรงพลังคว้านางเอาไว้
ทั้งอินทรีตัวใหญ่ ทั้งจรวดล้วนเป็นการอำพราง เป้าหมายของพวกเขาก็คือหญิงสาวที่ถูกขนานนามว่าปรมาจารย์แห่งชีวิตต่างหาก
อีกฝ่ายอาจเก่งกาจในเรื่องเคล็ดวิชา แต่ในเรื่องวรยุทธ์กลับอ่อนแอมาก หากลวงอีกฝ่ายมาหาได้ก็เท่ากับว่าหมูในอวยเลย ชิงหลินตบไหล่หมิงเวยทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา นางชักมือกลับมาและเห็นว่ากลางฝ่ามือของตนเป็นรูเล็กๆ มีหยดเลือดไหลออกมา เพียงแค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว
หยดเลือดไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีดำ!
ผิวของนางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “นี่ท่านวางยาพิษงั้นหรือ”
หมิงเวยถูกนางคว้าตัวจนเดินโซเซ เมื่อยืนได้มั่นคงจึงหันกลับมายิ้ม “ข้าไม่ได้วางยา แต่เป็นตัวท่านจับโดนเองไม่ใช่หรือ”
ชิงหลินมองนางอย่างแค้นเคืองไม่แสร้งทำตัวเป็นผู้สูงส่งอีกต่อไป “ยาถอนพิษล่ะ” หมิงเวยยิ้มแต่ไม่ตอบ
อาหว่านเยาะเย้ย “ให้ยาถอนพิษแก่ท่าน คิดว่าพวกเราโง่หรือไง!”
ชิงหลินหัวเราะเสียงเย็น “มองดูพวกท่านสองคนที่ยังเยาว์และงดงามแล้ว เดิมทีข้าไม่ได้อยากทำเช่นนี้เลย แต่ในเมื่อพูดด้วยดีๆ ไม่ยอมทำตามก็คงต้องใช้กำลังบังคับ อย่าได้โทษข้าล่ะ…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงดังออกมาจากหมอกหนา “นกนางแอ่นเฒ่า ข้าบอกแล้วไงว่าจับนางไม่ง่ายขนาดนั้น ทีนี้เชื่อหรือยัง”
เป็นเสียงที่พวกนางคุ้นเคย และคนที่ออกมาจากหมอกนั้นก็คือซูรื่อฉู่
หมิงเวยเบนสายตาไปมองนางแทน “ท่านคือเวยเยว่เยี่ยนงั้นหรือ”
ชิงหลินไม่ปฏิเสธ นางแค่นหัวเราะและตอบกลับคำพูดของซูรื่อฉู่ “ก็แค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร”
พูดจบนางก็ตะโกนเสียงดัง “มาจับพวกนางไว้ซะ!”
เมื่อพูดจบก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นในสายหมอก “เจ้าค่ะ”
นักพรตหญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าพวกนางออกมาจากไหน แต่ละคนถือกระบี่ล้อมรอบพวกนางไว้ อาหว่านเห็นอย่างนั้นก็ร้อนใจถึงตนจะไม่ได้อ่อนแอ แต่มีแค่นางตัวคนเดียว สองหมัดก็ยากจะสู้สี่มือ
นางผลักหมิงเวยไปอยู่ด้านหลังแล้วกระซิบ “ท่านมีวิธีอะไรอีกก็รีบนำออกมา ไม่อย่างนั้นข้าไม่สามารถปกป้องท่านได้แล้วนะเจ้าคะ” ไม่รอให้หมิงเวยตอบเหล่านักพรตหญิงก็พุ่งเข้ามาโจมตีทันที
อาหว่านลุกขึ้นสู้
หมิงเวยที่ยืนอยู่ด้านหลังนางพูดขึ้น “ไม่ได้มีแค่พวกท่านสองคนใช่หรือไม่ แล้วท่านป้าที่ปรากฏตัวที่สถานีส่งสารวันนั้นล่ะ”
ไม่จำเป็นต้องให้ทั้งสองคนตอบก็มีเสียงโกรธอีกเสียงดังก้องจากในสายหมอก “เจ้าเรียกใครว่าป้ากันฮะ!”
เป็นหญิงสาวที่อยู่กับซูรื่อฉู่ในวันนั้น ดวงตาเป็นประกายเพลิงจ้องมองมาที่พวกนาง หมิงเวยทำเป็นไม่ได้ยิน “ท่านป้ามีนามว่าอะไรหรือ”
หญิงสาวนางนั้นโกรธมาก “ข้าคนนี้มีนามว่าหนี่ถู่ฝู หากเจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าท่านป้าอีกล่ะก็ข้าจะฉีกปากเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!”
ชิงหลินพูดเสียงเย็น “เจ้าจะไปตีฝีปากกับนางทำไม ยังไม่ไปจัดการพวกนางอีก!”
หนี่ถู่ฝูกลัวอีกฝ่ายเล็กน้อย นางชักกระบี่อ่อนออกจากเอวโดยไม่พูดอะไรแล้วเดินไปหาหมิงเวย อาหว่านพยายามสลัดตัวเองให้หลุดออกจากเหล่านักพรตหญิง หันกลับมาสกัดกั้นกริชปะทะเข้ากับกระบี่อ่อน
กระบี่อ่อนนั้นได้ตวัดพันรอบกริชแล้วพุ่งเข้าหาหน้าอกของอาหว่าน
อาหว่านรีบเปลี่ยนท่าตัวนางนั้นไม่เป็นอะไร แต่ผ้าพันของนางถูกตัดออก
หนี่ถู่ฝูพูดเสียงเย็น “ยัยหนู! คืนนั้นข้าไม่ได้ระวังตัวเลยทำให้พวกเจ้าคิดว่ามีชัยเหนือกว่า เจ้าคิดว่าตนเองจะเอาชนะข้าได้งั้นหรือ”
ในตอนนั้นเองเหล่านักพรตหญิงที่ถูกอาหว่านสลัดออกมาก็เข้ามาล้อมนางอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางกำลังพัวพันอยู่จึงเปลี่ยนเข้าไปจับหมิงเวยแทน
หมิงเวยหยิบขลุ่ยออกมา นางก้าวเท้าผิดจังหวะเลยหลบหลีกคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามาได้ เหล่านักพรตหญิงมีมากมายหลายคนเดิมทีพวกนางคิดว่าหากไม่มีอาหว่านคอยปกป้องคงจัดการนางได้สบายมาก
คาดไม่ถึงว่าฝีเท้าของอีกฝ่ายนั้นแปลกมากเห็นได้ชัดเลยว่าต้องการจะจับอีกฝ่ายหลายครั้งแล้วแต่นางก็ถอยมาได้
ชิงหลินเลิกคิ้วแล้วหันไปหาซูรื่อฉู่ “เจ้ายังไม่รีบเข้าไปอีก หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปจนอีกฝ่ายมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเราจะพลาดทั้งๆ ที่ใกล้สำเร็จแล้วนะ”
ซูรื่อฉู่เหลือบมองมือขวาของนางที่บวมอย่างกับขาหมูแล้วถอนหายใจ “เข้าใจแล้ว”
ชั่วพริบตาร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าหมิงเวย วรยุทธ์ของซูรื่อฉู่นั้นมีพื้นฐานมาจากความตัวเล็กคล่องแคล่ว ท่าของเขาจึงราวกับภูติผีไม่ปาน เขาคาดเดาทิศทางที่หมิงเวยจะก้าวไปและปิดกั้นนางได้อย่างง่ายดาย
หมิงเวยเปลี่ยนจังหวะก้าวเท้าทันทีซูรื่อฉู่เลิกคิ้วและก้าวตามนางไป
ทั้งสองเป็นยอดฝีมือในด้านนี้ พลิกแพลงตามสถานการณ์ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนจังหวะก้าวเท้าไปแล้วสิบรูปแบบ
ซูรื่อฉู่รู้สึกประหลาดใจในตอนแรกจากนั้นก็ตื่นเต้นและรู้สึกสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ “คุณหนูหมิงที่นี่มีเพียงพวกท่านแค่สองคน พวกท่านไม่สามารถหลบหนีฝ่ามือของพวกเราไปได้หรอก ท่านติดตามพวกเรากลับไปดีหรือไม่ ท่านมีความสามารถขนาดนี้พวกเราไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจเลย”
หมิงเวยยิ้มแล้วถามกลับไป “ไม่อยากให้ข้าลำบากใจ พวกท่านคิดจะทำอะไรงั้นหรือ”
ซูรื่อฉู่ตอบไปว่า “พวกเราล้วนเป็นคนท่องยุทธภพ ฟ้าสูงธารน้ำกว้างล้วนเป็นอิสระ เหตุใดต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อราชสำนักด้วยเล่า ท่านกลับไปกับพวกเราดีกว่าด้วยความสามารถของท่านไม่กัดก้อนเกลือกินอย่างแน่นอน”
“ท่านหมายถึงทำงานให้พวกท่านงั้นหรือ”
ซูรื่อฉู่ยิ้ม “ไม่ใช่ทำงานให้พวกเรา แต่ทำเพื่อตัวท่านเอง ท่านตามพวกเขากลับจะได้ประโยชน์อะไร ท่านเป็นสตรีทำราชการไม่ได้อยู่แล้วต่อให้ท่านสร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่ได้อีกก็แค่ได้รางวัลเป็นเงินจำนวนหนึ่งจะไปมีความหมายอะไรกัน”
“แล้วถ้าข้าตามพวกท่านกลับไปจะทำอะไรได้”
“ทำได้หลายอย่างเลย!” ซูรื่อฉู่บุ้ยหน้าไปทางด้านหลัง “ท่านดูสองคนนั้นสิ พวกนางเป็นสตรีด้วยกันทั้งคู่ สำหรับพวกเราตราบใดที่ท่านแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นท่านก็สามารถขึ้นไปอยู่จุดที่สูงกว่าได้ มันง่ายกว่าการที่ท่านเข้าเมืองหลวงเยอะเลยมิใช่หรือ”
หมิงเวยหรี่ตาลงเล็กน้อยท่าทางดูสนใจ “ฟังดูเหมือนจะใช่”
ซูรื่อฉู่ยิ้ม “จริงหรือ มาๆๆ กลับไปกับพวกเรา! ข้าคนนี้ไม่เคยอิจฉาคนที่มีคุณธรรมและความสามารถเกินตัว หากท่านต้องการทำได้ชื่อซูรื่อฉู่ก็สามารถให้ท่าน…”
หมิงเวยยังไม่ทันตอบรับก็ได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจดังมาจากในสายหมอก “อย่าเลย ซูรื่อฉู่ ชื่อนี้น่าเกลียดเกินไป ข้าไม่อยากเรียกท่านด้วยชื่อนั้นในอนาคต!”
ได้ยินเสียงนั้นซูรื่อฉู่ก็ตอบสนองอย่างรุนแรงมือขวาของเขากลายเป็นกรงเล็บจ่อไปที่ลำคอของหมิงเวย จากนั้นเขาก็เห็นหมิงเวยยกขลุ่ยในมือขึ้นแล้วก็มีแสงจากของมีคมปรากฏขึ้นหลายดวง
ซูรื่อฉู่นึกถึงฝ่ามืออาบยาพิษของชิงหลินก็รีบหลบออกมาทันที
อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในขลุ่ยถูกยิงออกไปเขาได้ยินเสียง ‘อา’ เป็นเสียงของเหล่านักพรตหญิงที่หลบไม่ทันโดนอาวุธนั้นเข้าไปเต็มๆ
ในชั่วพริบตาเดียวลมแรงเข้าปะทะพร้อมปลายคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามา ซูรื่อฉู่กลิ้งลงไปกับพื้นเพื่อหลบ จากนั้นลุกขึ้นยืนก็เห็นหยางชูยืนถือร่มอยู่
เขาหยิบกระบี่ออกจากด้ามร่มและยัดร่มหนังฉลามใส่มือของหมิงเวย “ซ่อนได้ดี”
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของเขาสีหน้าของชิงหลินก็เปลี่ยนไป “ท่านมาถึงเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”
หยางชูมีท่าทีสงบ “ทำไมข้าถึงมาเร็วไม่ได้กัน”
“หมอกนั่นสามารถตัดการเชื่อมต่อลมหายใจของคนได้…”
แล้วก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกท่านคิดว่าพวกเรามีเสวียนชื่อแค่คนเดียวงั้นหรือ” เป็นเหลยหงที่พาคนเข้ามา เขาโบกมือแล้วพลทหารธนูก็เข้าล้อมรอบพวกเขาไว้
ชิงหลินตกตะลึง “พวกเราเฝ้ามองมาครึ่งเดือนจะมีเสวียนชื่อคนไหนอีก…” ประโยคหลังติดอยู่ในลำคอเมื่อเห็นตัวฝูโผล่ออกมาจากหมอก
“เป็นนางงั้นหรือ” น้ำเสียงของชิงหลินดูไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร คิดทำลายเคล็ดวิชาของข้าหากไม่ได้ฝึกฝนมาสิบปีไม่มีทางทำได้!”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านคิดว่านางเป็นแค่สาวใช้เลยประเมินนางต่ำไปใช่หรือไม่ เมื่อครู่ข้าย้ายแท่นบูชาท่านไม่สังเกตหรือ การทำลายกลวิธีของท่านจำเป็นต้องชี้นำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยก็เท่านั้น”
……………………