คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 167 บุตรนอกสมรส
วันรุ่งขึ้นจี้หลิงได้ไปส่วนราชการเพื่อโอนสิทธิ์จวนที่อยู่ข้างเคียงให้เป็นชื่อของหมิงเวย
ฮูหยินจี้เรียกคนให้มาซ่อมแซมจวนอย่างกระตือรือร้นไม่เพียงแต่ให้ทั้งสองจวนเชื่อมต่อกัน แต่นางยังคิดต่อเติมสวนเล็กๆ ตรงกลางด้วย ดั้งนั้นนางจึงใช้เวลาทั้งวันในการคำนวณค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมกับลูกสะใภ้ตน
ในส่วนนี้หมิงเวยไม่ได้ออกค่าใช้จ่าย
หนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตระกูลจี้สามารถออกส่วนนี้ได้ สอง นางสามารถออกค่าใช้จ่ายได้ แต่คงทำให้ตระกูลจี้รู้สึกไม่สบายใจ
จี้เสียวอู่มาถามตัวฝูเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา หมิงเวยนั่งตรงระเบียงทางเดิน นางหลับตาพักสมอง แต่จริงๆ แล้วกำลังฝึกฝนอยู่
งูขาวนั่งบนไหล่ของนางอย่างเชื่อฟังและดูดซับพลังที่แผ่กระจายออกมาจากตัวนาง การปรากฏตัวของศัตรูเก่าทำให้หมิงเวยรู้สึกว่าตนเองต้องเร่งรีบเข้าแล้ว
นางต้องฝึกฝนไปทีละขั้น แต่เกรงว่าจะไม่สำเร็จจึงจำเป็นต้องหาทางลัด
หากต้องเดินทางลัดมีอยู่สองทาง ทางที่หนึ่งคือการรับพลังจากผู้อื่นเช่นเดียวกับตัวฝู แต่โอกาสเช่นนี้หาได้ยากมากและตนก็ไม่อาจฉกฉวยเอาพลังของผู้อื่นมาเป็นของตนเองได้
ทางที่สองคือใช้ของมีค่าในการให้กำเนิดพลัง เงิน ตอนนี้นางไม่ขาดแคลนเรื่องนี้ แต่ของล้ำค่าที่สามารถให้กำเนิดพลังนั้นไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปละกัน
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หมิงเวยลืมตาขึ้นและเห็นจี้เสียวอู่คุกเข่าพัดให้นางอยู่ข้างๆ ตอนนี้เข้าสู่เดือนห้าแล้วอากาศจึงเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
แต่จี้เสียวอู่ไม่ได้ทำเพื่อนาง แต่เพื่อเอาใจตัวฝู จึงออกรับหน้าที่นี้มาไว้ที่ตนเอง
เมื่อเห็นหมิงเวยลืมตาขึ้นเขาก็เบะปากแล้ววางพัดลง “เจ้าสามารถหลับได้จริงๆ ทานอาหารเช้าเสร็จก็หลับยาวจนถึงกลางวัน ทานอาหารกลางวันเสร็จก็หลับยาวจนถึงเย็น ชีวิตของเจ้ามีแค่กินกับนอนอย่างนั้นหรือ”
หมิงเวยคิด “ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วมีอะไรอีก” จี้เสียวอู่มองนางอย่างสงสัย
“ยังมีซื้อๆๆ ไง!” นางกวักมือเรียกตัวฝูแล้วส่งรายการที่เขียนไปให้นาง “ให้คนไปซื้อยาพวกนี้ หากความรู้ไม่เพียงพอไม่ต้องเรียกมา” ตัวฝูรับคำแล้วเดินเข้าไปในห้องเพื่อหยิบเงิน
จี้เสียวอู่มีสายตาที่ดีมองแวบหนึ่งเขาเห็นว่ารายการที่เขียนไปนั้นคือโสม เขากวางอ่อน และบัวหิมะก็ตกใจจนพูดไม่ออก “ของพวกนี้ราคาสูงมาก! เจ้าจะซื้อไปทำอะไรกัน”
“แน่นอนว่า…เพื่อความงามไงเจ้าคะ!” นางหัวเราะและเชิดคางขึ้นให้เขาเห็นถึงความงามที่น่าตื่นตา
“เพื่อความงามต้องจ่ายเงินมากมายขนาดนี้เชียวหรือ” จี้เสียวอู่รู้สึกว่ามุมมองทั้งสาม[1]ของเขาพังทลาย “ข้าเห็นท่านแม่กับพี่สะใภ้แค่ทาปากเอง…”
“นั่นเป็นเพราะครอบครัวไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นไงเจ้าคะ!” หมิงเวยมองเขาอย่างสมเพช “ท่านคิดว่าความงามดั่งบุปผานั้นร่วงหล่นมาจากสวรรค์งั้นหรือ ไม่มีเงินแล้วจะดูดีได้อย่างไร ตอนนี้ท่านรู้หรือยังว่าท่านป้า ท่านลุง พี่ใหญ่และพี่สะใภ้เสียสละมากแค่ไหน”
จี้เสียวอู่ที่คุกเข่าอยู่มีแววตาสับสนเขาถามนางไปว่า “ภายภาคหน้าเจ้าต้องดูแลความงามเช่นนี้หรือไม่”
“แน่นอนเจ้าค่ะ เป็นสตรีหากมีทางเลือกก็ต้องสวยให้ถึงที่สุด”
“…..”
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ห้องโถงใหญ่พลางพึมพำออกไปว่า “ข้าต้องถอนหมั้น เลี้ยงไม่ไหวต่อให้ขายตนเองก็เลี้ยงไม่ไหว!”
หมิงเวยอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ตัวฝูที่กลับมาจากลานบ้านมองนางด้วยความงุนงง “คุณหนูเจ้าคะ ยาพวกนี้คุณหนูใช้อาบเพื่อฝึกตนไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดต้องไปโกหกคุณชายว่าเพื่อความงามด้วย”
หมิงเวยหัวเราะ “เขาถูกส่งมาช่วยงาน ไม่หาอะไรให้ทำฆ่าเวลา ก็น่าเสียดายไปหน่อยนะ”
เสียงก่นด่าของฮูหยินจี้ดังมาจากห้องโถงใหญ่ “เสียวอู่ ไม่หาเรื่องสักวันไม่ได้เลยหรือ อยู่ๆ เจ้ามาพูดเรื่องถอนหมั้น นี่เป็นการตกลงกันของพ่อเจ้ากับท่านอาหญิง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจกัน”
…………
จวนโป๋วหลิงโหว
วันนี้หยางชูสวมชุดจิ่นเผาสีดำทำให้รูปร่างสูงบางของเขาดูสง่างามขึ้นไปอีก ปราศจากภาพลักษณ์โอ้อวดของคุณชาย แต่ดูหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น
เขาเดินผ่านห้องโถงประจวบเหมาะกับนางหลูฮูหยินของซื่อจื่อที่กลับมาจากพบแขก นางเห็นเขาที่แต่งตัวเรียบร้อยเป็นพิเศษ อีกทั้งยังสวมเครื่องประดับทุกอย่างพร้อมสรรพก็ยิ้ม “น้องสามจะเข้าวังหรือ”
“อืม” หยางชูตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“น้องสามมีกุ้ยเฟยที่รักราวกับบุตรในครรภ์ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!”
หยางชูไม่ตอบรับ เขาทำเพียงประสานมือให้นาง “ตอนนี้ยังไม่เช้า พระสนมกำลังรออยู่ข้าขอตัวก่อน”
“เดินทางปลอดภัยล่ะ อย่าให้พระสนมต้องรอนาน” นางหลูมองเขาจากไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ทันทีที่เงาของเขาลับสายตารอยยิ้มบนใบหน้าของนางหลูก็หายไป
“ไอ้ลูกนอกสมรส กล้าดียังไงมาวางท่าต่อหน้าข้า!”
สาวใช้ข้างกายนางหลูได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจแล้วรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ
“ฮูหยินเจ้าคะ ระวังคนอื่นจะได้ยินเข้านะเจ้าคะ!”
นางหลูยกมือจัดผมด้านข้างแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “ได้ยินแล้วอย่างไร คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ทราบกันดี! ท่านน้าอะไรกัน หากไม่ใช่มารดาแท้ๆ จะปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นหรือ”
สาวใช้ทำอะไรไม่ถูก นางปิดปากตนเองสนิทตลอดทางจนกระทั่งเข้าไปในห้องพร้อมนางหลู เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่แล้วจึงเปิดปากพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฝ่าบาทโปรดปรานกุ้ยเฟยมากหากคำพูดนี้หลุดไปถึงหูผู้อื่นเข้าจะแย่เอานะเจ้าคะ!”
นางหลูเปลี่ยนเสื้อผ้าไปพูดไปว่า “เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดเรื่องนี้นี่” เมื่อคิดอีกทีนางก็ไม่พอใจ
“ข้าก็แค่โกรธก็รู้กันอยู่ว่าเขาเป็นลูกนอกสมรสที่ถูกนำกลับมาแต่ท่านปู่ท่านย่ากลับรักมันอย่างกับอะไร แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ต่างยกมันไว้เหนือหัว ซื่อจื่อทำได้แต่ต้องอดทนเท่านั้น”
สาวใช้รู้สึกอยากตายขึ้นมากะทันหัน “ฮูหยินเจ้าคะ ลูกนอกสมรสใช่คำที่จะพูดออกมาได้ตามใจหรือเจ้าคะ!”
นางหลูหัวเราะเสียงเย็น “มันไม่ใช่คนตระกูลหยาง อยู่ในตระกูลหยางไม่ใช่ลูกนอกสมรสแล้วเป็นอะไร”
“แต่เขาแซ่เจียงนะเจ้าคะ!” สาวใช้โพล่งออกไป
นางหลูมองกระจก “ดูสิ แม้แต่เจ้าก็ยังรู้ แต่เขาแซ่เจียงแล้วอย่างไร สายเลือดมังกรที่แท้จริงจะต้องได้รับการยืนยันจากราชนิกูลตั้งแต่แรกเกิดก่อนถึงจะสามารถบันทึกลงในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ได้ ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นบุตรนอกสมรส เจ้าดูมันในตอนนี้สิ องค์ชายหลายพระองค์ถูกมันขัดใจไปกี่หน รอให้ฝ่าบาทมีพระชนมายุพันปีก่อนเถอะมันถึงจะมีความผิด!” เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
“ฮึ!” นางหลูมองใบหน้าของตนในกระจก ในใจคิดมนุษย์ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็สู้ชะตาชีวิตไม่ได้หรอก
ตอนแรกครอบครัวจะให้นางเข้าวังนางคิดว่าด้วยรูปลักษณ์ของตนนั้นสามารถดึงดูดสายตาของฝ่าบาทได้แน่ ผู้ใดจะรู้ว่าด้วยคำพูดอันแผ่วเบาของเผยกุ้ยเฟยทำให้นางต้องดับความคิดนั้นลง
เมื่อนึกถึงสตรีนางนั้นใบหน้าของนางหลูก็มืดครึ้ม ตนด้อยกว่าสตรีมีอายุนางนั้นตรงไหน คิดว่าเรื่องอื้อฉาวของนางจะซ่อนผู้คนในใต้หล้าได้จริงหรือ
นางเผยมีบุตรสาวสองคน คนหนึ่งออกเรือนกับหลานชายคนโตของฮ่องเต้ อีกคนแต่งเข้าจวนโป๋วหลิงโหวเป็นสะใภ้รองขององค์หญิงหมิงเฉิง
ไม่นานหลังจากที่บุตรชายคนรองขององค์หญิงเสียชีวิตด้วยอาการป่วย จวนโหวประกาศออกไปว่าสะใภ้รองก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วยด้วยเช่นกัน จากนั้นเผยกุ้ยเฟยก็ปรากฏขึ้นในวัง
แล้วตอนนั้นหยางชูเกิดมานานแค่ไหนงั้นหรือ เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวยและยศศักดิ์แล้วทารกในห่อผ้ายังสามารถทอดทิ้งได้ ช่างร้ายกาจจริงๆ!
แต่ก็ช่างเถอะหยางชูยิ่งเติบใหญ่ยิ่งไม่มีความคล้ายคลึงกับคนในตระกูลหยางเลยสักนิด นอกจากจะเหมือนเผยกุ้ยเฟยแล้วยังค่อนข้างคล้ายกับฝ่าบาทอีกด้วย
น่าสนใจ เดิมทีเผยกุ้ยเฟยไม่ได้เป็นคนขโมยชีวิตคนก่อนเข้าวัง!
ในฐานะอา แย่งภรรยาของหลานชายทั้งยังให้กำเนิดบุตรแล้วโยนให้พี่สาวเป็นคนเลี้ยงดูอีก ส่วนตนเองก็ยึดมั่นในธรรมพาคนเข้าวังไปเป็นสนมดูฟังขึ้นหรือไม่เล่า
ต้องขอบคุณความใจกว้างขององค์หญิง สะใภ้รองถูกน้องชายแย่งไป ไม่นึกเลยว่าจะนำบุตรนอกสมรสนั่นมาเลี้ยงจริงๆ
ใช่ เขาเป็นคนตระกูลเจียง!
………………
[1] มุมมองทั้งสาม : ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อคุณค่า