คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 175 เข้าเรียน
หมิงเวยไม่คิดว่าสถานศึกษาที่ท่านป้าพานางมาจะเป็นสถานศึกษาหมิงเฉิง
สถานศึกษาแห่งนี้สร้างโดยองค์หญิงหมิงเฉิง เจ็ดสิบปีผ่านไปที่นี่ยังคงมีชื่อเสียง หลังการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงหมิงเฉิง สถานศึกษาแห่งนี้สะใภ้ของท่านก็ได้เข้ามารับช่วงต่อ
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่โป๋วหลิงโหวฮูหยินจะมาดูแลสถานศึกษาแห่งนี้ได้ทุกวัน ซึ่งงานเฉพาะทางนี้เหล่าอาจารย์จะเป็นผู้รับผิดชอบแทน
จี้ฮูหยินพาหมิงเวยมาที่สถานศึกษานี้ และยังได้นำของที่ต้องมอบให้อาจารย์ในช่วงที่เพิ่งเข้ามาเป็นลูกศิษย์เพื่อแสดงความขอบคุณมาเพื่อขอพบอาจารย์ของสถานศึกษาแห่งนี้อีกด้วย
อาจารย์แซ่เฮ่อท่านหนึ่งได้มาพบพวกนาง
อาจารย์เฮ่อท่านนี้ในช่วงที่สามีของนางยังมีชีวิตอยู่เขาดำรงตำแหน่งฮั่นหลิน[1] ส่วนตนเองก็มาจากครอบครัวที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมอันดีงามจึงค่อนข้างมีความรู้ความสามารถ เมื่อตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่นางสอนหนังสือควบคู่ไปกับการทำงานที่บ้าน แต่หลังจากที่สามีเสียชีวิตไปหน้าที่ต่างๆ ถูกส่งต่อให้ผู้เป็นสะใภ้ นางจึงจดจ่ออยู่กับการศึกษาค้นคว้ามากขึ้น
อาจารย์และโป๋ชื่อ[2]ในสถานศึกษาหมิงเฉิงเกือบทุกคนเป็นเช่นนี้ หากมีครอบครัวก็จะเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานควบ แต่หากไม่มีครอบครัวก็จะสามารถจดจ่อกับงานนี้ได้ไม่แพ้บุรุษ
อืม ดูเหมือนว่าบุรุษจะเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้สตรีได้สร้างโลก
หมิงเวยจิตใจล่องลอย นางนั่งเรียบร้อยบนเก้าอี้ตัวเล็กฟังท่านป้าและอาจารย์เฮ่อพูดคุยกันมองอีกฝ่ายกล่าวทักทายกันเป็นครั้งคราว
เนื่องจากนายท่านจี้และสามีของนางเคยทำงานร่วมกัน จี้ฮูหยินกับอาจารย์เฮ่อจึงถือว่ารู้จักคุ้นเคยกันมาบ้าง ทั้งสองคนทักทายกันและจี้ฮูหยินก็พูดเข้าประเด็น
อาจารย์เฮ่อตอบว่า “สถานศึกษาแห่งนี้เปิดการเรียนการสอน หลานสาวของท่านต้องการเข้าเรียนทางเราย่อมยินดีอยู่แล้ว แต่ว่าการสอบเข้าในปีนี้ได้ผ่านไปแล้วเมื่อเดือนสาม…”
จี้ฮูหยินเอ่ยขอร้อง “เด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลม พวกเราไม่ต้องการส่งนางเข้าเรียนสถานศึกษาอื่นรบกวนท่านช่วยผ่อนผันด้วยเถิด”
อาจารย์เฮ่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริงมีห้องเรียนหนึ่งที่ยังสามารถเข้าเรียนได้ แต่นักเรียนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงคงไม่น่าเข้ากันได้…”
จี้ฮูหยินรีบตอบไปว่า “หลานสาวของข้าคนนี้นิสัยอ่อนโยน มั่นคง รู้ความเป็นอย่างดี ไม่เกิดความขัดแย้งกับคุณหนูทั้งหลายแน่นอน” อาจารย์เฮ่อยิ่งลังเล ที่นางกลัวไม่ใช่หมิงเวยไปขัดแย้งกับผู้อื่น แต่เป็นสู้ไม่ได้ต่างหาก…
แต่จี้ฮูหยินเอาแต่พูดอย่างเดิมซ้ำๆ ไปมา เมื่อนึกถึงนายท่านจี้ นางก็ผ่อนคลายลง “เอาล่ะ พรุ่งนี้ท่านพานางมาทดสอบเพื่อดูระดับความรู้ของนางก่อนเถิด”
อีกทั้งยังบอกเนื้อหาการสอบให้แก่พวกนาง
สถานศึกษาหมิงเฉิงนั้นคล้ายกับสถานศึกษาทั่วไป มีแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย วิชาขงจื๊อ วิชาคำนวณ หลักคุณธรรมเป็นวิชาบังคับ กวีประพันธ์ เขียนภาพ ดนตรี ขี่ม้ายิงธนูเป็นวิชาเลือก วิชาบังคับจำเป็นต้องสอบ ส่วนวิชาเลือกเลือกได้สองอย่าง
หมิงเวยนั่งสังเกตเงียบๆ แล้วนางก็ได้ยินอาจารย์เฮ่อพูดว่า “ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับฮูหยินเลยที่นายท่านจี้ได้เลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้”
จี้ฮูหยินตกใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ ท่านพี่…”
อาจารย์เฮ่อแปลกใจ “จี้ฮูหยินยังไม่ได้ข่าวหรือ เรื่องที่นายท่านจี้ได้เลื่อนตำแหน่ง” ด้วยเหตุนี้นางถึงได้พูดดีด้วยไม่แน่ว่าสักวันอาจจะต้องพึ่งพาอีกฝ่าย
จี้ฮูหยินตกใจมาก ก่อนหน้านายท่านจี้เป็นโป๋ชื่อ ดูแลแค่ส่วนการสอนเขาเป็นคนที่มีบุคลิกตรงไปตรงมา ยิ่งทำให้อยู่ยากขึ้นแทบไม่รู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ในกั๋วจื่อเจียนเลยด้วยซ้ำ
ตำแหน่งซือเย่[3]มีหน้าที่ดูแลระเบียบวินัย มีตำแหน่งเป็นรองแค่หัวหน้าเท่านั้น ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การเลื่อนขั้นธรรมดา แต่เป็นการเลื่อนขั้นแบบก้าวกระโดด!
อาจารย์เฮ่อยิ้มและกล่าวว่า “รายงานคงประกาศออกมาแล้วฮูหยินกลับจวนไปคงได้รับข่าว” จี้ฮูหยินกล่าวขอบคุณนางและพาหมิงเวยกลับจวน
แน่นอนว่าเมื่อนายท่านจี้กลับมาถึง ทุกคนต่างอยู่ในความสับสนราวกับตกอยู่ในความฝันและพูดถึงเรื่องที่เขาได้รับการเลื่อนขั้น
จี้เสียวอู่เป็นคนแรกที่ลุกขึ้น “ท่านพ่อได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสี่งั้นหรือ ข้าได้เป็นลูกของขุนนางระดับสูงแล้วหรือ”
“ขุนนางขั้นสี่ ชั้นโท” จี้หลิงแก้ไข
จี้เสียวอู่เอามือเท้าเอวแล้วหัวเราะเสียงดัง “ไม่สนๆ ขุนนางขั้นสี่ ชั้นโทก็คือขุนนางขั้นสี่! ท่านพ่อ ท่านช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้ามาให้ได้แล้วข้าจะกลายเป็นผู้ดีไปชั่วชีวิต! ไอหยา!” เขาลูบศีรษะที่ถูกพี่ชายเขกใส่จนน้ำตาเล็ด
นายท่านจี้ไม่สนใจบุตรชายคนเล็กที่ไม่เอาถ่านของตนแล้วหันไปพูดกับภรรยาและบุตรชายคนโต “มันแปลกไปหน่อยนะ หลายวันมานี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงได้เลื่อนขั้นกัน ตำแหน่งซือเย่ว่างมาครึ่งปีแล้ว แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงมาตกลงที่ข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนบอกข้าว่านี่เป็นประกาศโดยตรงจากเบื้องบน และไม่มีการให้กั๋วจื่อเจียนแนะนำคนเลย”
จี้ฮูหยินเองก็รู้สึกงงงวยเช่นกัน แต่จี้หลิงกลับตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
เขาหันไปมองหมิงเวย แต่เห็นว่านางกำลังเล่นทายสิ่งของอยู่กับจูเอ๋อร์ ราวกับว่านางไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด เรื่องที่เกิดขึ้นในตงหนิงช่างน่าตื่นเต้น จี้หลิงกลัวบิดามารดาจะตกใจจึงพูดแค่เรื่องทั่วไปเท่านั้น
ตกดึก เขาพลิกตัวไปมาอยู่นานแต่ก็นอนไม่หลับเสียที ดังนั้นเขาจึงปลุกภรรยาและคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง
ภรรยาของเขาสงสัย “เรื่องนี้เป็นเรื่องดี เหตุใดท่านถึงนอนไม่หลับกัน”
จี้หลิงพยายามแสดงความกังวลของตนเองออกมา “ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของน้องหญิงค่อนข้างซับซ้อน ข้าเกรงว่าหากท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า…”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดออกมา”
“แต่ว่า…”
“มีแต่อะไรอีกเล่า คนที่น้องหญิงติดต่อนั้นซับซ้อนแค่ไหน แต่นางก็ไม่ได้พาเขามาที่นี่ไม่ใช่หรือ อีกอย่างเขาทำให้พวกเราได้รับผลประโยชน์ ให้ท่านพ่อได้เลื่อนขั้น มิฉะนั้นด้วยบุคลิกของท่านพ่อแปดร้อยปีคงไม่ได้ดำรงตำแหน่งซือเย่”
จี้หลิงตกตะลึง “ก็มีเหตุผล…”
ภรรยาของเขาหาวก่อนพูดต่อ “พี่จี้ ท่านอย่าไปกังวลเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องเดียวผ่านสมองของท่านคงต้องผ่านไปอีกแปดร้อยหยัก นอนกันเถอะเจ้าค่ะ หากมีเวลาคิดเรื่องนี้สู้เก็บพลังสมองไว้สำหรับการสอบประเมินปีหน้าดีกว่า…” แล้วนางก็หลับไป
“….” จี้หลิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำสมองแปดร้อยหยักของเขาให้โล่ง แล้วไปหาท่านโจวกง[4]
เช้าวันถัดมาหมิงเวยได้ไปสถานศึกษาอีกครั้ง และการสอบของนางก็ผ่านไปอย่างราบรื่น วิชาเลือกที่นางเลือกสอบก็คือดนตรีและขี่ม้ายิงธนู ซึ่งผู้สอนมีท่าทีพอใจเป็นอย่างมากและนำชื่อของหมิงเวยเข้าสู่บัญชีรายชื่อ
ดังนั้นหมิงเวยจึงกลายเป็นนักเรียนของสถานศึกษาหมิงเฉิง ห้องหลิงหาน
สถานศึกษาแห่งนี้มีทั้งหมดสิบสองห้องเรียนซึ่งตั้งชื่อได้น่าสนใจมาก หานอิง จ้าวอิ่ง ชูฉุ่ย เหมยอวี่…
หมิงเวยคิดดูแล้วพบว่าเป็นการตั้งชื่อตามสภาพอากาศตามเดือนทางจันทรคติ เดือนหนึ่งวสันตฤดูเยือน เดือนสองดอกซิ่งทอดเงา เดือนสามงานเลี้ยงสุรา เดือนสี่พิรุณตกไม่ขาดสาย…และความหนาวอันเย็นเยียบในเดือนสิบสอง
ผู้ใดบอกว่านางเข้าช้า แต่เพราะนางอยู่ได้แค่ห้องหลิงหานต่างหาก
วันที่เข้าเรียนนางเห็นจี้เสียวอู่ยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทางไร้อารมณ์
“พี่ห้า ท่านมายืนทำอะไรตรงนี้กัน”
จี้เสียวอู่ตอบอย่างเฉื่อยชา “รอเจ้าไง!”
หมิงเวยตอบ “ข้ามีตัวฝูอยู่เป็นเพื่อนแล้วไม่ต้องการให้ใครมาส่งหรอก”
จี้เสียวอู่หัวเราะใส่ “เจ้าคิดว่าข้ามาส่งเจ้างั้นหรือ ท่านแม่บอกว่าสถานศึกษาของพวกเราอยู่ข้างกันก็ให้ไปด้วยกัน”
หมิงเวยประหลาดใจมาก “ข้างสถานศึกษาหมิงเฉิงคือกั๋วจื่อเจียน พี่ห้าท่านเรียนที่กั๋วจื่อเจียนงั้นหรือ”
จี้เสียวอู่เกาหัว “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร…”
กั๋วจื่อเจียนในราชวงศ์นี้คัดคนเข้าศึกษาเข้มงวดมาก ทั้งบุตรชายขุนนางชั้นสูง ผู้เป็นเลิศทางวิชาการ จี้เสียวอู่จะไปเทียบได้อย่างไร
“ข้าเรียนอยู่ที่สถานศึกษาซิ่วชาน อยู่ข้างๆ กั๋วจื่อเจียน…”
หมิงเวยไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงถามไปอีกรอบ “สถานศึกษาซิ่วชานมีความเป็นมาอย่างไรหรือ”
จี้เสียวอู่ตอบคลุมเครือ “ที่มางั้นหรือ ก็แค่สถานศึกษาแห่งหนึ่งไม่ใช่หรือ เจ้าอย่าเอื่อยเฉื่อยเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ ข้าไปสายไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเจ้าสายคงดูไม่ดีได้ยินว่าสถานศึกษาหมิงเฉิงเข้มงวดมาก” แล้วทั้งสองก็พาตัวฝูไปสถานศึกษาพร้อมกัน
เดิมทีหมิงเวยคิดว่าในเมื่อสถานศึกษาซิ่วชานอยู่ติดกับกั๋วจื่อเจียนก็ควรเป็นสถาบันการศึกษาที่มีภูมิหลังด้วย หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่ามีภูมิหลังจริงๆ แต่ไม่เหมือนอย่างที่นางคิดเอาไว้…
…………….
[1] ฮั่นหลิน : บันทึกและแก้ใขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ รวมไปถึงการวางแผนการศึกษา และการสอบเพื่อเฟ้นหาบัณฑิตเข้ารับราชการ
[2] โป๋ชื่อ : ดอกเตอร์
[3] ซือเย่ : รองผู้อำนวยการกั๋วจื่อเจียน
[4] โจวกง : เทพแห่งความฝันผู้นำข่าวสารมาบอกทางความฝัน