คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 182 เทศกาลชีซี
ชีวิตของหมิงเวยในสถานศึกษาดูเหมือนจะเข้าสู่เส้นทางปกติ นางได้รู้จักเพื่อนร่วมชั้นหลายคนผ่านเว่ยเสี่ยวอัน และสถานการณ์ของซุนเว่ยก็ดีขึ้นอย่างช้าๆ หมิงเวยได้มีโอกาสพูดคุยกับอีกฝ่ายบ้าง
แต่ที่น่าแปลกก็คือพี่น้องตระกูลเหวินที่เห็นได้ชัดว่าเกลียดตนมาก แต่กลับไม่มาสร้างปัญหาอะไร หมิงเวยไม่คิดว่าพวกนางตกใจกลัวหากตกใจกลัวจริงๆ เหตุใดถึงได้มองนางด้วยแววตาบูดบึ้งอยู่ซ้ำๆ เล่า หรือว่ากำลังหาโอกาสอยู่กันแน่
และแล้วเวลาก็ได้เข้าสู่เดือนเจ็ด วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด หนุ่มชาวนากับสาวทอผ้า ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุข หยุนจิงยิ่งเจริญรุ่งเรือง ในช่วงเทศกาลชีซี[1] ร้านค้าต่างๆ แย่งกันแขวนโคมไฟเป็นร้านแรกทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
จี้ฮูหยินจัดเตรียมผลไม้ เข็มและด้าย กล่องใส่ของเล็กๆ แล้วพูดกับลูกสะใภ้อย่างอารมณ์ดีว่า “ตั้งแต่ลูกสามกับลูกสี่ออกเรือนไปบ้านเราไม่เคยฉลองเทศกาลชีซีอีกเลย”
ลูกสะใภ้ของนางยิ้มก่อนเอ่ย “อีกไม่กี่ปีจูเอ๋อร์จะได้ฉลองเทศกาลแล้วเจ้าค่ะ”
จูเอ๋อร์ยังเล็กจึงยังสนเข็มร้อยด้ายไม่ได้ แต่นางชอบเรียนรู้ เมื่อเห็นหมิงเวยและตัวฝูกราบไหว้สาวทอผ้า นางจึงไหว้ตามจากนั้นสายตาก็มองไปยังผลไม้บนถาดแล้วถามว่า “ท่านแม่ จะได้กินเมื่อไรหรือเจ้าคะ จูเอ๋อร์อยากกิน”
นางลูบหัวบุตรสาวก่อนเอ่ยตอบ “รอแมงมุมชักใยก็ทานได้แล้ว”
“แล้วเมื่อไรแมงมุมจะชักใยหรือเจ้าคะ”
“ลูกต้องถามท่านอาแล้วล่ะ”
จี้เสียวอู่ลุกขึ้นจากเตียงไม้ไผ่อย่างจนใจ “ได้ๆ ข้าจะไปจับเดี๋ยวนี้”
ตัวฝูรีบส่งกล่องเล็กๆ ไปให้ “คุณชายห้าเจ้าคะ จับมาให้คุณหนูหนึ่งตัวด้วยเจ้าค่ะ”
จี้เสียวอู่เม้มปากและรับมันมาอย่างไม่เต็มใจ ในใจเขาคิดว่าคนอย่างนาง แม้กล่องจะมีใยแมงมุมอยู่เต็มแต่คงร้อยได้ไม่ไหวแน่
ผ่านไปไม่นานจี้เสียวอู่จับแมงมุมกลับมาได้สองตัว ตัวหนึ่งใส่ไว้ในกล่องส่งให้หมิงเวย อีกตัวเอาไว้แกล้ง โดยแสร้งว่ามันคลานเข้าไปในถาดผลไม้แล้วครอบครัวก็แบ่งผลไม้ทานกันอย่างมีความสุข
เมื่อทานไปได้สักพักบ่าวก็เข้ามารายงานว่ามีคนมาหาลูกพี่ลูกน้องหญิงของตน เป็นเว่ยเสี่ยวอันและคนอื่นๆ มาชวนหมิงเวยออกไปเดินเล่น
หมิงเวยไม่ได้อยากไป แต่จี้ฮูหยินกลับดูมีความสุขมาก “เด็กสาวก็ควรไปเล่ยกับเด็กสาวด้วยกัน ไปเถอะๆ!” แล้วนางก็เรียกจี้เสียวอู่ “เจ้าไปเป็นเพื่อนน้องหน่อย ตอนเย็นคนเยอะมากมายต้องดูแลนางให้ดีๆ”
เมื่อมีเหตุผลให้ออกไปข้างนอกจี้เสียวอู่ดีใจมาก “เข้าใจแล้วขอรับ รับรองว่าน้องหญิงจะกลับมาอย่างปลอดภัย” จี้เสียวอู่เดินไปเป็นเพื่อนพวกนางจนถึงปากซอย แล้วก็พบเข้ากับกลุ่มเพื่อนของเขาพอดี
พวกเขาล้วนเป็นลูกหลานของขุนนางระดับสูงในกลุ่มนั้นมีเด็กสาวบางคนที่รู้จักกับหมิงเวยแล้วยังมีญาติห่างๆ ของพวกเขาด้วย ทั้งสองกลุ่มก็มารวมกันเป็นกลุ่มเดียวแล้วเดินไปด้วยกันอย่างคึกคัก
เว่ยเสี่ยวอันพูดขึ้นว่า “พวกเราไปที่สระฉางเล่อกันที่นั่นดูคึกคักมาก!”
ทางด้านจี้เสียวอู่กับคุณชายเหล่านั้นยิ้มจนปากฉีกไปถึงใบหูพวกเขาแอบส่งสายตากันด้านหลัง หมิงเวยที่หูดีได้ยินว่าพวกเขากระซิบกระซาบกันว่าวันนี้ที่สระฉางเล่อมีสมาคมคณิกาเลื่องชื่อ
สระฉางเล่อเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มีเรือสำราญจำนวนมากแล่นในทะเลสาบตลอดทั้งปี ภายในเรือมีสาวงามมากมายนับไม่ถ้วน
มีร้านอาหารใหญ่มากมายอยู่ริมทะเลสาบ พ่อค้าผู้เก่งกาจทั้งหลายนั่งอยู่ในร้านอาหาร เมื่อช่วงเวลาแห่งความสนุกมาถึงพวกเขาก็เปิดหน้าต่างฝั่งริมทะเลสาบแล้วเรียกเรือสำราญที่แล่นผ่านมาให้แสดงร้องเพลงเต้นรำให้ชม
หากทำการแสดงดีก็จะมีรางวัลมากมายที่โยนออกมาจากหน้าต่างของร้านอาหาร จึงเกิดเป็นอาชีพหาเงินทางน้ำอย่างหนึ่ง
พวกเขาเดินไปอย่างช้าๆ พร้อมกับการไหลบ่าของผู้คนเมื่อเดินทางมาถึงสระฉางเล่อ พวกเขาก็ได้เห็นเรือสำราญขนาดใหญ่จอดอยู่กลางทะเลสาบ
โคมไฟและดอกไม้นับไม่ถ้วนทำให้เรือสำราญกลายเป็นเวทีขนาดใหญ่แล้วสมาคมคณิกาเลื่องชื่อก็เริ่มต้นขึ้น ฝั่งทะเลสาบเต็มไปด้วยผู้คนจนแทบไม่มีที่ยืน คุณชายท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่าเขาได้จองที่นั่งในเจ๋อกุ้ยโหลวไว้แล้วสามารถขึ้นไปนั่งได้เลย
เหล่าคุณหนูที่ถูกเบียดพร่ำบ่นตลอดทางมีหรือจะไม่ยินดีพวกนางพาสาวใช้ของตนเข้าไปในเจ๋อกุ้ยโหลวอันเลื่องชื่อ ที่นั่งชั้นพิเศษของเจ๋อกุ้ยโหลวมีขนาดไม่เล็กมาก มีฉากที่กั้นห้องตรงกลางห้องและโต๊ะสองตัว อาหารและสุราชั้นดีถูกลำเลียงเข้ามา พวกเขารับประทานอาหารเลิศรสไปดูการแสดงไปเพลิดเพลินใจเป็นอย่างมาก
หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลายปีต่อมา นางเคยชมงานอันยิ่งใหญ่ที่สระฉางเล่อ น่าเสียดายที่อีกไม่กี่ปีต่อมาอาณาจักรก็ล่มสลายเหลือเพียงความย่อยยับ
อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ยังต้องดำเนินต่อไป
เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวหัวเราะกันสนุกสนานทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากนอกประตูมีคนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “นั่นไท่จื่อ ไท่จื่อจริงๆ ด้วย”
“แน่นอน คนที่ทำให้คุณชายจวนเฉิงเอินโหวให้ความเคารพได้ไม่ใช่ไท่จื่อแล้วจะเป็นผู้ใดกัน”
หมิงเวยมองเห็นผ่านๆ แล้วคนกลุ่มนั้นก็เดินผ่านพวกเขาไปยังที่นั่งพิเศษด้านข้าง มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นในกลุ่มคนพวกนั้น “เปี่ยวเกอ ลี่จือเกา[2]ของเจ๋อกุ้ยโหลวแห่งนี้อร่อยมากหาทานที่อื่นไม่ได้”
จากนั้นเสียงอันอบอุ่นของบุรุษดังขึ้น “น้องหญิงบอกอร่อยถ้าอย่างนั้นคงต้องลองเสียแล้ว”
หมิงเวยยังไม่ทันได้พูดอะไรเว่ยเสี่ยวอันก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี “นั่นเสียงของคุณหนูสามตระกูลเหวินใช่หรือไม่”
คุณหนูคนอื่นพูด “คุณหนูสามตระกูลเหวินผู้นี้ต่อหน้าพวกเราทั้งเย่อหยิ่งทั้งไม่สนใจไยดีไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้…” เสียงเมื่อครู่นี้ช่างไพเราะเสียเหลือเกิน!
อีกคนแสดงสีหน้าดูถูก “เมื่อครู่พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ ลูกพี่ลูกน้องของนางคือไท่จื่อ ต่อหน้าไท่จื่อนางจะปฏิบัติตัวเหมือนตอนอยู่กับพวกเราได้อย่างไร” คนอื่นได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย
จู่ๆ ก็ได้พบไท่จื่อเช่นนี้เลยหรือหมิงเวยถอนหายใจ นี่คงเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตมา ก้าวแรกที่นางต้องทำการเปลี่ยนแปลงก็คือป้องกันไม่ให้เฉียนเฟ่ยจี้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เฉียนเฟ่ยตี้ไม่ใช่ไท่จื่อองค์ปัจจุบัน
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีองค์ชายห้าพระองค์ เติบโตเป็นผู้ใหญ่สามพระองค์ ไท่จื่อเกิดจากภรรยาคนแรก เมื่อนางได้รับตำแหน่งฮองเฮาเขาจึงได้รับตำแหน่งไท่จื่อไปโดยปริยาย
มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายรองคือฮุ่ยเฟย แต่เขาก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานและใช้ชีวิตเพียงธรรมดาสามัญ ส่วนองค์ชายสามเกิดจากนางสนมยิ่งแทบไม่มีตัวตนอยู่เลย ดังนั้นแม้ฮองเฮาจะล่วงลับไปแล้ว แต่ตำแหน่งของไท่จื่อก็ยังมั่นคงอยู่มาก
ผู้ใดใช้ให้เผยกุ้ยเฟยผู้เป็นที่รักของฮ่องเต้ไม่มีบุตรกันเล่า
อย่างไรก็ตามไม่กี่ปีต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไท่จื่อองค์นี้ เขาเมามายจนสูญเสียคุณธรรมก่อเรื่องขึ้นในวังหลัง ฮ่องเต้พิโรธหนักและปลดเขาออกจากตำแหน่ง สุดท้ายคนที่ได้ครองบัลลังก์ก็คือองค์ชายรอง หรือก็คือเฉียนเฟ่ยตี้
องค์ชายรองผู้นี้ก่อนขึ้นครองราชย์เขาเป็นคนซื่อสัตย์ แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยหลังเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์เป็นคนโหดร้าย เสเพล ไร้มนุษยธรรม ขุนนางท่านใดตักเตือนก็จะถูกลงโทษจนตาย วันๆ เอาแต่เล่นอยู่กับสนมในวังหลัง ใช้อำนาจยึดสนมของเหวินตี้มาครอบครองแล้วยังคิดสังหารน้องชายอีกสามคนที่เหลืออีก
องค์ชายสามเห็นโอกาสก็รีบกลับไปยังแผ่นดินที่ได้รับพระราชทานเพื่อปกป้องตนเองเขาจึงยกธงต่อต้าน
แคว้นฉีเหนือในตอนนั้นกองทัพยังคงแข็งแกร่ง แต่เฉียนเฟ่ยตี้กลับทำสิ่งที่เกินพอดีไป ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างย้ายไปอยู่ข้างองค์ชายสามกันหมด
การต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ครั้งนี้สิ้นสุดลงในไม่ช้าองค์ชายสามขึ้นครองบัลลังก์กลายเป็นหลิงตี้ในเวลาต่อมา
ช่วงสองปีแรกก็ยังดีอยู่ แต่พอผ่านไปไม่นานเขาก็เริ่มใช้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้สาระ ครั้งนี้ไม่มีน้องชายคนไหนคิดโค่นเขา ส่วนบรรดาขุนนางเห็นว่าเขาก็ดีกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจึงทำได้แค่ทนไปเท่านั้น
ทนไปทนมาจนเวลาผ่านไปสิบแปดปีแคว้นฉีเหนือก็ตกต่ำลงจนถึงคราวสิ้นสุดลง
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าองค์ชายสองและองค์ชายสามเชื่อถือไม่ได้ หมิงเวยอยากรู้ว่าไท่จื่อองค์นี้เป็นเช่นไร หากว่าที่ฮ่องเต้พระองค์นี้สามารถไว้วางใจได้ ก็จัดการทรราชทั้งสองพระองค์นั้นซะ!
………………
[1] เทศกาลชีซี : วันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ถ้าในปฏิทินสากล จะอยู่ในเดือนสิงหาคมของทุกปี นับว่าเป็นเทศกาลแห่งความรักของจีน
[2] ลี่จื่อเกา : เครื่องดื่มนี้ทำจากบ๊วยอูเหมย(บ๊วยชนิดหนึ่ง)ผสมกับสมุนไพรอีกหลายชนิด